จากการที่นั่งดูอยู่ ระยะหนึ่ง ในที่สุดกุญแจตัวสุดท้ายก็ไขออกมาให้เห็นความระยำตำบอนของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ทีี่โกนหัวห่มผ้าเหลือง รวมทั้งที่แฝงตัวในแวดวงการเมือง ทั้งหัวดำหัวหงอก เพื่อกุมผลประโยชน์ที่สร้างมาจากความเชื่อและความศรัทธา ผลประโยชน์มันยิ่งใหญ่มาก กับการสร้างสายคะแนนนิยมที่มีผลต่อการเลือกตั้ง รวมทั้งธุรกิจใหญ่ที่ต้องการหลบภาษีและข้าราชการที่ต้องการฟอกเงิน ธรรมกาย และ ทักษิณ และ สายแดง ที่ไม่เอาเจ้า ต่างก็สนิทสนมกันแน่นแฟ้น เกื้อกูลกันมานาน ต่างก็คิดจะสร้างความยิ่งใหญ่ในอำนาจตัวเอง วิธีที่พวกนี้คิดก็คือ ถามกลับว่า "ทำไมพระมหากษัตริย์ไทย ถึงได้ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้" คำตอบมีเยอะแยะมากมาย หนึ่งในนั้น คือ พุทธศาสนา ที่เกื้อกูลราชบัลลังก์ในส่วนของศรัทธาความเชื่อซึ่งกันและกัน พุทธศาสนามีพระสงฆ์จำนวนมาก และกระจายไปทุกพื้นที่ สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทุกพื้นที่ เป็นศูนย์กลางชุมชน ถ้าใครสามารถคุมพระสงฆ์ได้ ก็คุมคะแนนเสียงได้ไม่ยาก ขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ได้ ไม่ยาก ที่สำคัญคือ การจะเล่นกับสถาบันกษัตริย์ ก็จะทำได้ง่ายขึ้น การเปลี่ยนแปลงพรบ.สงฆ์ ปี 2535 มันเกิดขึ้นพร้อมกับการร่างรัฐธรรมนูญปี 35 หลังจากพฤษภาทมิฬ และรัฐธรรมนูญปี 35 ที่ให้กำเนิดระบอบทักษิณนี่เอง จากเดิมที่ระบุว่า การแต่งตั้งสังฆราช ให้เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ 100% กลายมาเป็น นายกและมหาเถรสมาคม ส่งชื่อสังฆราชให้ กษัตริย์ โปรดเกล้าแต่งตั้ง นี่ก็คือลดอำนาจกษัตริย์ลงไปเยอะมาก ให้ ไปอยู่ในมือ นักการเมืองและพระเถระกลุ่มหนึ่งเลือกให้พระองค์ แต่เนื่องจากบุญญาบารมีขององค์สมเด็จญาณ สมเด็จพระสังฆราช มีอายุยืนยาวยิ่งนัก จึงยังไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ คือต้องรอให้ท่านละสังขารก่อน จนกระทั่งรอไม่ไหวจึงเกิดปรากฎการณ์ แต่งตั้ง ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนพระสังฆราช คือ สมเด็จเกี่ยว สมเด็จเกี่ยวเป็นพระสายดามาพงษ์ เนื่องจากวัดสระเกศเป็นที่เก็บกระดูกของตระกูลดามาพงษ์ การปรับแก้กฎหมายสงฆ์ ก็ โผล่สันดานแท้จริงของจุดประสงค์มา อย่างหนึ่ง คือ ต้องการให้ตัวนักการเมืองมีอำนาจแต่งตั้งผู้นำสูงสุดของสังฆมณทล แต่นั่นยังไม่พอ เพราะ ในกฎหมายสงฆ์ยังมีเขียนว่า เป็นพระราชอำนาจของกษัตริย์อยู่ สุดท้ายทีมงานระยำก็คิดออก เขียนในรัฐธรรมนูญ ให้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มันซะเลย เพื่ออะไรล่ะ ก็ถ้ารัฐธรรมนูญมันเขียนไว้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติ ต่อไป การแต่งตั้งสังฆราช มันจะไม่ใช่พระราชอำนาจอีกต่อไป มันจะสามารถแต่งตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎรได้เลย มันจะมีกระทรวงพุทธศาสนา แทนที่จะเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พัดยศก็จะอยู่ในมือนักการเมือง ราชาคณะชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้น ต่อไปนักการเมืองก็จะแต่งตั้งชั้นหมาไหนๆก็ได้อีก สุดท้าย มหาเถรสมาคม ก็อยู่ในมือนักการเมือง พระสงฆ์ก็ต้องเข้าหานักการเมือง เป็นพระสงฆ์ของพรรคการเมือง แล้วสุดท้าย สถาบันกษัตริย์ที่ปราศจากพุทธศาสนาค้ำจุน ก็ จะโค่นได้ไม่ยาก เมื่อวันก่อนที่หมาไปชุมนุมกันที่พุทธมณทล มันบอกว่า ต่อต้านการล้มล้างการปกครองของคณะสงฆ์ จริงๆมันคือ การล้มล้างการปกครองคณะสงฆ์โดยพวกนักการเมือง นั่นแหละ เวลานี้ การที่ไม่ยอมแต่งตั้งตาช่วงเป็นสังฆราช มันทำให้แผนของ ธรรมกายและสายแดง มีปัญหา เพราะเขาจะต้องกุมการเลือกตั้งในครั้งต่อไปให้ได้ และเขาต้องการสร้างสายงานทางสงฆ์เพื่อมาค้ำจุนอำนาจของการเมืองเขาต่อไป สุดท้ายก็คือการลดบทบาทของสถาบันกษัตริย์ กับ พระพุทธศาสนา นี่คือเบื้องหลังว่า ทำไม ต้องมีม๊อบพระ กะอีแค่ตำแหน่งสังฆราช ทำไมต้องบรรจุให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แผนนี้ลึกล้ำ และเลวระยำสิ้นดี แต่ยอมรับว่า เนียนมาก จนเราแทบหลงทางไป สุดท้ายแล้ว นักการเมืองก็ไม่สนหรอกว่า พุทธศาสนาจะล่มจมหรือไม่ และถ้าพุทธศาสนาล่มจมแล้ว ชาติไทยก็จะต้องล่มสลายไปด้วย เพราะมันจะไม่มีศูนย์รวมของจิตใจอีกต่อไป
อย่าหลงประเด็นครับ ง่ายๆ วิธี ที่จะทำให้ โยม หรือ พระเห็นด้วย ในม๊อบ หรือ หลอกพระมา อาจจะมีข้อความเล็กน้อย เพื่อเป็นข้ออ้าง เช่นนำเอาพระพุทธศาสนา เป็นศาสนา ประจำชาติ เราอย่าหลงประเด็นครับ หลอกพระวัดอื่นมาก็มี เพียงใช้ ข้อ 5 ข้อเดียว ถ้าต่อสู้ เพื่อธรรมกาย หรือ ยศ ของสมเด็จช่วง อย่างเดียว คงไม่มีใครมา
สรุปง่ายๆคือ จะชิงมงกุฎมาให้พวก แล้วกินรวบ แต่เชื่อเถอะ ความไม่รู้จักพอจะพาลให้พัง ครั้งนี้ธรรมกายอาจพังได้เพราะจะเอาพวกเป็นสังฆราชก็เป็นได้ ทั้งๆที่ทำมาหากินได้อย่างสบายๆมาแสนนาน
มานั่งพะวงกับศาสนาประจำชาติ แต่พวกที่ไปเฮ้ว ๆ ที่ห่มเหลืองนั่นน่ะเป็นผู้อยู่ในศาสนาไหม เป็นนักบวชนักพรตในศาสนาพุทธไหม ถ้าใช่เท่ากับว่าประกาศให้ชาติอื่น ๆ ในโลกได้รับรู้ว่า ศาสนาประจำชาติไทยคือศาสนาพุทธใครอย่ามาแหยม เดี่ยวเจอขย่มรถนะจะบอกให้ ลำพังแค่จัดการสงฆ์ทั้งหลายให้อยู่ในกรอบในจารีตทำให้ได้ก่อนเถอะแล้วค่อยว่าอย่างอื่นกัน ลำพังแค่จะแต่งตั้งสังฆราชยังวุ่นวายขนาดนี้ ถ้าถึงวันนั้นที่สิ่งที่อยากได้กันเรื่องศาสนาประจำชาติเกิดมีขึ้นมาความวุ่นวาย ที่จะมีในหมู่สงฆ์จะวุ่นวายขนาดไหน แล้วประชาชนตาดำ ๆ จะไปแตะต้องคนห่มเหลืองได้แค่ไหน เอาแค่กันไม่ให้ก่อม๊อบให้ได้ก่อนเถอะนะ อย่างอื่นค่อยว่ากัน
คาดว่า น่าจะใช้อำนาจของสังฆราช ที่่ชูขึ้น ทาน หรือ คาน พระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช องค์ก่อน เพื่อชำระมลทิล ให้ ธัมมชโย โดยมี มส. ทั้งหมด หนุน อีกที เอาง่ายๆ แบบหักคอไก่หละครับ
ปัญหา ทั้งมวล ติดตรงพระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราช องค์ก่อน การจะยกเอา อัยการ ที่ยกฟ้อง ถอนฟ้อง ไม่ฟ้องต่อ มาเป็นคำของศาสดา ก็ย่อมได้ เมื่อ มส. เอง สมเด็จช่วงเอง เห็นดีเห็นงาม
ผมคิดว่าประเด็นศาสนาประจำชาตินั้น น่าจะอยากใช้อำนาจรัฐมาค้ำจุน เพราะพระ โดยเฉพาะพระไม่ค่อยดี พระธุรกิจ ย่อมสำผัสได้ถึงความไม่น่าเคารพ ความเสื่อม ของตัวเอง
การบัญญัติศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ คิดอีกมุมก็ขัดกับเสรีภาพในการนับถือศาสนา คนเราจะนับถือศาสนาอะไร หรือไม่นับถือเลย ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล ชาติ เป็นเรื่องของคนทุกคนในประเทศ และแต่ละคนก็มีความเชื่อทางศาสนาที่หลากหลาย อย่าลืมว่าบ้านเราไม่ได้มีแค่พุทธศาสนิกชน ยังมีศาสนิกชนอีกหลายศาสนา การยกเอาศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ก็เท่ากับให้ศาสนานั้นมีสิทธิพิเศษและมีอิทธิพลกับรัฐ เหมือนแบ่งชนชั้นอีกนั่นแหละ คนนับถือศาสนาอื่นหรือไม่นับถือเลยก็เป็นพลเมืองชั้นสอง
มันต้องบัญญัติในรัฐธรรมนูญต่อครับ ว่าจะไม่ไปริดรอนหรือกีดกันผู้ที่นับถือศาสนาอื่น หรือให้ความคุ้มครองหรือมีสิทธิในการนับถือศาสนาและประกอบพิธีทางศาสนาของตนเอง พูดง่าย ๆ ว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับศาสนาอื่น ๆ เพราะรัฐจะค้ำจุนดูแลแต่พุทธ ก่อนประกาศใช้ชีวิตยังไงหลังประกาศก็ใช้ชีวิตแบบเดิม คาดว่าไม่น่ามีปัญหา ผมแค่สงสัยว่าถ้ารัฐคุ้มครองศาสนา และสงฆ์ทั้งหลายรัฐจะดำเนินการอย่างไร ขนาดยังไม่สามารถทำได้ยังมีหน่วยงานที่ดูแลยังเอื้อประโยชน์กับสงฆ์ และถ้าประกาศขึ้นมาจะไม่ไปกันใหญ่หรือ อย่าลืมว่า บ่อเงิน บ่อทอง บ่อสมบัติ ที่ใคร ๆ แตะไม่ถึงทุกวันนี้มันยังมีและล้มไม่ได้ด้วย ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายการเมืองลงไปผสม คงสนุกน่าดู
คนเลวไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในวงการไหน มีหรือครับที่จะทำให้วงการนั้นดีขึ้น ยิ่งมีคนเลวเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสื่อมเร็วขึ้นเท่านั้น เราถึงได้สนับสนุน ให้กำจัดคนเลวๆออกไปจากวงการ ก่อนที่คนเลวกลายเป็นพวกหมู่มาก จนทำให้คนไม่เหลือความเชื่อมั่น ความศรัทธา
ผมคิดว่าเป็นการที่ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายแล้วครับ เพราะไม่เหลืออะไรให้เล่นแล้ว คดีความต่างๆก็งวดเข้ามาเรื่อยๆ หลายๆคดีก็จะเชื่อมโยงเข้าหากันหมด นายทุน ผู้อยู่เบื้องหลัง อาจดูน่าเป็นห่วงสำหรับความวุ่นวายที่จะประดังเข้ามาหลายๆเรื่อง แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ผู้ควบคุมอำนาจรัฐอยู่ คือใคร
หลอกพระหลอกฆราวาสด้วยหลายเหตุผลเรื่องอื่น เพือให้จำนวนคนเยอะๆ แค่นั้นแหล่ะ เหตุผลจริงให้ดูข้อ 1-4 เพราะ 5 เขาก็รู้อยู่แล้วว่าใช่หน้าที่รัฐบาลใหม ส่วนระดมพลใหม่ ก็วันพระใหญ่หน้าละกัน เหตุผลสับขาหลอกก็เตรียมไว้แล้ว ถ้ายังไม่จบเรื่องสมเด็จช่วงท่านนะ
การเปลี่ยนแปลงพรบ.สงฆ์ ปี 2535 มันเกิดขึ้นพร้อมกับการร่างรัฐธรรมนูญปี 35 หลังจากพฤษภาทมิฬ และรัฐธรรมนูญปี 35 ที่ให้กำเนิดระบอบทักษิณนี่เอง จขกท. เอาความรู้ใหม่จากในกะลามาเล่าให้ฟังอีกแล้ว รัฐธรรมนูญปี 35 ให้กำเนิดระบอบทักษิณ
ฝ่ายความมั่นคง กำชับให้ตำรวจ จับตาความเคลื่อนไหวเครือข่ายพระสงฆ์ ที่จะออกมาชุมนุม หลังมีการดำเนินครอบครองรถหรู ของสมเด็จช่วง กับ ดคีพระธมมยโย หลังจากออกมาส่งสัญญาณแสดงพลังเมื่อ 15 กพ.ที่ผ่านมา เผยส่วนหนึ่งที่ร่วมชุมนุมมาจากวัดพระธรรมกาย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มเครือข่ายคณะสงฆ์ และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ รวมตัวกันที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่าง ทหารและคณะสงฆ์ และได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.ชาญเวช เสสะเวช ผบช.ภ.7 ว่า ส่วนหนึ่งที่มาร่วมชุมนุมมาจากวัดพระธรรมกาย สำหรับเรื่องข้อเรียกร้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้รับหนังสือไปแล้ว ขอเวลาให้รัฐบาลพิจารณาก่อน หากผลการพิจารณาข้อเรียกร้องไม่ถูกใจกลุ่มพระสงฆ์ ก็เป็นเรื่องของรัฐบาล ตำรวจเป็นเพียงผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ย้ำว่า การชุมนุมไม่ว่ากรณีใด ต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ชุมนุมในที่สาธารณะ ดังนั้น หากบุคคล หรือ กลุ่มใด จะออกมาชุมนุมจะต้องปฎิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย มีรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยว่า ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของเครือข่ายพระสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท ที่จะออกมาเคลื่อนไหวในคดีสำคัญ 2 คดี คือ การครอบครองรถหรูผิดกฎหมายของ สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตกเป็นผู้ต้องหาฐานความผิดฟอกเงิน หรือรับของ โจร ฐานรับเช็คเงินสดจากศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯ และในข้อเสนอ 5 ข้อ ที่เครือข่ายสงฆ์ยื่นให้กับรัฐบาลนั้นมี 3 ข้อที่เกี่ยวโยงกับ 2 คดี คือ ห้ามหน่วยงานภาครัฐเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ และขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงามที่กระทำสืบกันมา คือการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจาก มส.ก่อน ซึ่งการเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาล
ผมเคยฟังกลุ่มที่เขาเรียกร้อง และไปยื่นข้อเรียกร้องต่อ กมธ ร่างรัฐธรรมนูญ รู้สึกว่าเหตุผลคือต้องการให้ศาสนาพุทธมีความมั่นคง เพราะกำลังถูกภัยคุกคาม แต่ไม่ได้พูดรายละเอียดว่าภัยคุกคามคืออะไร ไปยื่นข้อเรียกร้องได้ไม่นาน ก็เห็น อ มีชัย ออกมาพูดว่า ถ้ากลัวเรื่องภัยคุกคาม ก็ไม่มีปัญหา ป้องกันได้ ไม่ต้องไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ เล่นเอากลุ่มนี้ ลมเสีย ไปเหมือนกัน เพราะมองว่า อ มีชัย ตอบเหมือนไม่ได้ตอบ เพราะฉะนั้นจะดำเนินการเรียกร้องต่อไป แต่จะไม่สร้างความวุ่นวายชุมนุมอะไร เขาบอกอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้น กลุ่มที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องนี่ น่าจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าฉวยโอกาสผสมโรงด้วย หรือมีวัติถุประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ เพราะตอนร่าง รธน 40 50 ก็มีการเรียกร้องกัน เหตุผลก็แนว ๆ นี้แหละ โดยเฉพาะในตอนนั้น พระในสามจังหวัดชายแดนใต้ ถูกฆ่าบ่อย เขาก็อาจมองว่ามันเป็นภัยต่อศาสนาพุทธจึงเรียกร้องให้กำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมันก็ไม่เคยได้รับการตอบสนอง เพราะรัฐบาลเองก็คงมองว่ามันจะเป็นการยกระดับการก่อการร้ายในพื้นที่มาเป็นเรื่องระหว่างศาสนา โดยใช่เหตุ นั่นแหละ แต่กลุ่มนี้คนที่เป็นแกนนำเป็นไม่ใช่พระ ชื่ออะไรผมจำไม่ได้แล้ว เขายืนยันว่าจะไม่มีการชุมนุมประท้วง อ มีชัย ไม่รับ เขาก็จะเรียกร้องอย่างสงบต่อไป
เรื่องสังฆราชมันเกี่ยวกับ รธน. ปี 2535 หรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือ หัวหน้ายาม ตอนปี 2535 นี่เปลี่ยนชีวิตจากมนุษย์เช็คเด้ง ให้กลายเป็นมหาเศรษฐีมาแล้วนะเออ ใช่มั้ย ???
ผมรู้ต้องนำภาพนี้มา ตกลงระบอบทักษิณเกิดจากรัฐธรรมนูญปี 35 หรือเนี้ย สมแล้วที่เป็นขงเบ้งผู้หยั่งรู้ดินฟ้าอากาศ แต่ไม่รู้เรื่องไหนจริง
เราไม่เคยสนใจเรื่อง ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติอะไรบ้าบอนั่นเลย เพราะถ้าเป็นพุทธ อยู่ที่ไหนก็เป็นพุทธ มีหนังสือชักชวนให้ลงชื่อส่งมาหลายครั้ง แต่เราไม่เคยสนใจ เพราะเราถือว่า พุทธแท้นั้นอยู่ที่ใจและการปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ในรัฐธรรมนูญหรือกฏหมายฉบับใด
หลังปี 35 หลังพฤษภาทมิฬ มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับนึง แล้วประกาศใช้ตอนปีไหนไม่จำหรอก เพราะเราจำแค่ว่า เพราะเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ มันเลยทำให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมา ซึ่งเปิดโอกาศให้เกิดระบอบทักษิณขึ้น ซึ่งมันก็เป็นเหมือนกับการเปิดศักราชกฎหมายใหม่ขึ้นมา ช่วงนั้นแหละ แต่ประเด็นตรงนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙ ประเด็นหลักคือ การที่จะต้องการให้เขียนในรัฐธรรมนูญว่าให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งดูเผินๆแล้ว มันไม่น่าเสียหายกับเราชาวพุทธ แต่จริงๆแล้ว มันมีเบื้องลึกซ่อนอยู่ คือเรื่องของการเมือง ทั้งในหมู่สงฆ์และการเมืองในหมู่นักการเมืองบางกลุ่ม โดยเฉพาะทางฝั่งที่กำลังต้องการล้มล้างบางอย่างที่ดีๆของประเทศไทยเรา เบื้องหลังมันก็คือ 1. การสร้างอำนาจในการปกครองสงฆ์ โดยไม่ต้องเป็นพระราชอำนาจกษัตริย์อีกต่อไป 2. เมื่อเป็นศาสนาประจำชาติ การแต่งตั้งพระสังฆราช หรือ การตั้งยศของพระ หรือความดีความชอบต่างๆ จะอยู่ในมือของนักการเมืองเป็นหลัก 3. เมื่อกุมทุกสิ่งทุกอย่างในสังฆมณทลได้แล้ว การล้มล้างสถาบันบางสถาบันที่ดีๆในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เรามาเปิดโปงแผนระยำต่ำช้าของไอ้พวกเดนนรกนี้ให้ทุกคนได้ทราบกัน เพื่อจะได้รู้ว่า เบื้องหลังม๊อบหมาที่มาชุมนุมกันที่พุทธมณทลในวันนั้น มันคืออะไร ความหมายของโปสเตอร์ที่เขียนว่า "ต่อต้านการล้มล้างการปกครองคณะสงฆ์" คืออะไร เมื่อไหร่ก็ตามที่ช่วงได้ขึ้นเป็นสังฆราช สายธรรมกายจะสามารถรุกคืบเข้าศาสนจักรทางมหานิกายได้เต็มที่ มันมีนัยถึงการเมืองหลังจากคสช.เปิดให้มีการเลือกตั้งด้วย นี่คือประเด็นสำคัญที่เราต้องการจะเปิดโปง เอาไอ้เรื่องรัฐธรรมนูญปีไหนปีไหนมาดิสเครดิต บ้าๆบอๆ ไม่บอกด้วยล่ะว่า เราเขียนคำว่า พุธมณทล ผิดด้วย เอามาดิสเครดิตด้วยดิ่ แล้วเหมือนกับเฝ้าโพสต์เลยเข้ามาตอบเป็นตัวแรก แล้วไม่มีประเด็นด้วย ทำงานขยันมากแต่ไม่มีสมองเลย เฮ้อ..... (ส่ายหน้า)
ธรรมกาย ไม่ใช่แค่วัด แต่มันเป็นเครื่องมือในการครอบครองอำนาจในประเทศ รวมทั้งสามารถล้มล้างอำนาจเก่าได้ด้วย
ถ้าจะโทษกันที่รัฐธรรมนูญ 40 นี่ก็ต้องด่ารวมไปถึง นายมีโชย ด้วยครับทำอะไรอยู่เป็นถึงประธานวุฒิสภา กลั่นกรองกฎหมาย ยังไงให้เกิดระบอบทักษิณได้ ที่เกิดรัฐธรรมนูญฉบับ 40 ก็เพราะเขาเหม็นเบื่อระบบการครองและสืบทอดอำนาจของทหาร ไงครับ ปล. ไม่เคยปรากฏว่าเพชรแท้โดนขีดข่วนจากโลหะแล้วจะเป็นรอยนะครับ เพราะฉะนั้นไม่เห็นต้องกลัว
ตลกดีนะ เรื่องนี้ควายแดงดิ้นรนเหมือนตอนช่วยนายเหลี่ยมเลย เอ๊ะ เมื่อวานเห็นผ่านๆ ในเฟส มีควายแดงโพสเอาน้ำไปให้ม๊อบจิ้งเหลืองนี่หว่า สรุป ม็อบจิ้งเหลืองนี่เป็นแค่หาข้ออ้างเคลื่อนไหว + ควายแดงแปลงร่างสินะ สนับสนุนกันออกนอกหน้าขนาดนี้ ฮ่าๆๆ
ผมมองว่ารัฐธรรมนูญ 40 คือ รัฐธรรมนูญคนโลกสวยรักประชาติปปะตัย ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่พอดีมีตัวเหี้ย เห็นช่องทางหาแดก ในรัฐธรรมนูญโลกสวยรักประชาติปปะตัยอันนี้
เบื่อม๊อบพระจัง ถ้าเอาม๊อบพระมาอยู่ชายแดนใต้ เสื้อแดงจะถามอีกไหมว่ามีทหารที่พวกมันเรียกสารเขียวไว้ทำไม
ดีเอสไอเตรียมสอบ "สมเด็จช่วง" รับของโจรหรือไม่ กรมสอบสวนคดีพิเศษสั่งรับเรื่องรถหรูสมเด็จช่วงเป็นคดีพิเศษ เพื่อพิสูจน์ความผิดและหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี หลังพบความผิดปกติใน 4 ประเด็น คือ การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ / การประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์ / การชำระภาษีสรรพสามิต และ การจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ซึ่งพบว่ารถจดประกอบผิดกฎหมาย ส่วนสมเด็จช่วงมีเจตนารับของโจรหรือไม่รอการสืบสวนต่อไป อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง แถลงผลตรวจสอบเกี่ยวกับรถยนต์เมอร์ซิเดส เบนซ์ ทะเบียน ขม 0099 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถจดประกอบที่อยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งเป็นประธานมหาเถรสมาคมว่า เป็นรถที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งจากการสืบสวนของดีเอสไอ ในประเด็นเกี่ยวกับการจดประกอบรถดังกล่าว มี 4 ขั้นตอนด้วยกัน คือ 1.การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ 2.การประกอบชิ้นส่วนขึ้นเป็นรถสมบูรณ์ 3.การชำระภาษีสรรพสามิต และ 4.การจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก 1.ขั้นตอนการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ พบว่าเครื่องยนต์ / ตัวถังรถยนต์ มีเอกสารการซื้อและนำเข้าถูกต้อง แต่อุปกรณ์ส่วนควบอื่น ๆ เช่น ฝากระโปรงหน้า-หน้า ไฟหน้า-หลัง ไฟเลี้ยว เบาะ ประตู กันชนหน้า-ท้าย ไม่พบหลักฐานการนำเข้าแต่พบหลักฐานว่าซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง แต่จากการตรวจสอบพบว่าสถานที่ประกอบการไม่มีจริง และ ห้างหุ้นส่วน ดังกล่าวก็ไม่มีในสาระบบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีไม่มีในสาระบบของกรมสรรพากร จึงเป็นการทำเอกสารปลอม เพื่อให้เข้าใจว่าอุปกรณ์ ส่วนควบมีที่มาจากการซื้อภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นความผิดฐานพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร หรือการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงบทกฎหมายและข้อจำกัดใด ๆ อันเกี่ยวแก่การนำของเข้า ส่วนผู้ครอบครองอาจเป็นความผิดฐานเลี่ยงอากร ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสาร เป็นความผิดฐานที่จะดำเนินการควบคู่กันไป รวมทั้งความผิดอื่นที่อาจพบในภายหลังด้วย 2.ขั้นตอนการประกอบชิ้นส่วนรถ 1 ใน 2 บริษัทที่รับประกอบรถไม่มีใบอนุญาตประกอบอุตสาหกรรม แต่มีการใช้ชื่ออู่อื่นที่จัดทะเบียนถูกต้อง ในการประกอบรถยนต์ ดังนั้นการประกอบรถยนต์คันนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนั้นยังอาจเป็นความผิดฐาน ขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือ เสียภาษีไม่ครบถ้วน อีกฐานหนึ่งด้วย 3.ขั้นตอนการชำระภาษีสรรพสามิต พบหลักฐานว่ามีการปลอมลายมือบุคคล แสดงตนเพื่อขอชำระภาษีประกอบรถยนต์, ปลอมลายมือ ในหนังสือมอบอำนาจ และยื่นเอกสารขอจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่ามีการประกอบรถยนต์ ทำให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อและรับชำระภาษี ตามที่มีการยื่นขอ อันเป็นความเท็จและเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527และประมวลกฎหมายอาญา ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม 4.ขั้นตอนการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก พบหลักฐานว่ามีการปลอมและใช้เอกสารปลอม ทั้ง แบบคำขอโอนและรับโอนของกรมการขนส่งทางบก (โอนลอย) / มีการปลอมลายมือชื่อบุคคลในหนังสือมอบอำนาจ / ปลอมและใช้ ใบเสร็จรับเงิน / ใบกำกับภาษี ค่าแรงประกอบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อ อันเป็นความเท็จทั้งสิ้น รถยนต์ดังกล่าวจึงไม่สามารถจดทะเบียนเป็นรถยนต์ได้ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และ ระเบียบกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยการดำเนินการเกี่ยวกับทะเบียนและภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ.2531 ซึ่งจากการสืบสวนพบว่า มีการกระทำความผิดในทุกขั้นตอน กรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน กระทำผิดเป็นขบวนการ และมีบุคคลที่เกี่ยวข้องและอยู่ในข่ายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาหลายคน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงมีคำสั่งให้รับเรื่องดังกล่าวไว้สอบสวนเป็นคดี พิเศษ เพื่อพิสูจน์ความผิดและหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป เจ้าคุณประสารโต้ดีเอสไอ "ไม่ยึดหลักการ-มุ่งทำลาย" ด้าน พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร) หรือ "เจ้าคุณประสาร" ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กล่าวว่าเรื่องนี้ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายที่ต้องเคารพอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าสมเด็จช่วงมีความบริสุทธิ์ และไม่รู้เห็นแน่นอนว่ารถหรูคันดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นเพียงแต่ลูกศิษย์ที่จัดหามาถวายเท่านั้น พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวว่า คงไม่เคลื่อนไหวกับเรื่องนี้ เพราะมั่นใจว่าดีเอสไอคงไม่ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือรัฐบาลมากลั่นแกล้ง หรือทำให้พระสงฆ์ต้องมัวหมอง และสมเด็จช่วงก็บริสุทธ์ ดังนั้น คสพ.ไม่ได้หนักใจกับเรื่องดังกล่าว พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวว่า เรื่องนี้มิใช่หมายความว่า คณะสงฆ์จะแยกตัวเป็นอิสระ แต่อย่าทำลายล้างทางการเมือง ดีเอสไอเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็เปลี่ยนอธิบดี คนเคยเป็นมิตร กลายเป็นศัตรู ไม่ใช่ยึดหลักการ เป็นเครื่องมือทำลายล้างการเมือง ดีเอสไอควรรู้อะไรควร-ไม่ควร อะไรคือข้อกฎหมาย ส่วนการยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อต่อรัฐบาล ในข้อ 3 พูดถึงเรื่องการเร่งรัดแต่งตั้งสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราช พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวว่า รอฟังจากรัฐบาล ที่จะหารือนายกรัฐมนตรีเมื่อกลับมาจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาพวกเราไปให้น้ำหนักกับพระ 1 รูป คน 1 คนที่สร้างเรื่อง หาเรื่องทุกวัน เรื่องนี้จะลุกลามไม่มีที่สิ้นสุด พระส่วนใหญ่ไม่สบายใจมาก จะก่อตัวไปในวันข้างหน้า ลุกลามจนรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เจ้าคุณประสาร กล่าวว่า การวิจารณ์เรื่องไม่ควรเสนอสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชไม่ได้ยินจากฝ่ายใคร นอกจากพระ 1 รูป-คน 1 คน เรื่องนี้เป็นเรื่องข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมาย แต่ไปตีความว่าท่านไม่สมควร ใช่หรือไม่ เป็นหลักการหรือไม่ หรือเป็นเรื่องตัวบุคคล ส่วนกรณีดีเอสไอระบุเรื่อง "หลวงพี่แป๊ะ" เป็นผู้จัดหารถโบราณหรูให้สมเด็จช่วง เจ้าคุณประสาร กล่าวว่า ไม่ทราบว่าหมายถึงใคร และเรื่องอะไร ไม่เข้าใจในความหมายจริงๆ
เห็นเขาว่าไว้ ว่า... ------------------------- ------------------------- ------------------------- -------------------------
แกะสำนวนคดีพิเศษรถหรูของ "สมเด็จช่วง" เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ : "ไพบูลย์ นิติตะวัน" ให้ความเห็นกรณี DSI แถลง สมเด็จช่วงฯ ครอบครองรถหรูผิด กม. สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ : พระเมธีธรรมาจารย์ ให้ความเห็นกรณี DSI แถลง สมเด็จช่วงฯ ครอบครองรถหรูผิด กม. (รายงาน) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงรถหรูสมเด็จช่วงฯ ผิดกฎหมาย
เครือข่ายองค์กรชาวพุทธฯแจ้งจับพระพุทธอิสระฐานแจ้งความเท็จอ้างกล่าวหาบิดเบือนม็อบพระสงฆ์ที่พุทธมณฑลล็อคคอทหาร วันที่(18ก.พ.59)ที่สถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เครือข่ายองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย ประมาณ 20 คน นำโดยนาย อัยย์ เพชรทอง ประธานเครือข่าย เดินทางเข้าพบ พันตำรวจเอก วรพล ยิ่งเจริญ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ฐานแจ้งความเท็จ นาย อัยย์ บอกว่า พระพุทธะอิสระ ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจก่อนหน้านี้ โดยกล่าวหาว่าพระสงฆ์ ที่มาร่วมชุมนุมที่พุทธมณฑล ทำการล็อคคอทหาร ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้พระสงฆ์ได้รับความเสียหาย ทั้งที่ความจริงวันนั้นพระสงฆ์มาที่พุทธมณฑล เพื่อร่วมปฎิบัติธรรม อย่างไรก็ตามหลังรับเรื่อง พ.ต.อ. วรพล ได้สอบปากคำเบื้องต้นและบันทึกไว้เป็นหลักฐาน สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ดินทรรัตน์ บุญฉลวย เรื่องขั้นตอนการจดทะเบียนรถจดประกอบ
เอ.. สงสัยครับ เครือข่ายอะไรสักอย่างนั้น แจ้งความผู้อื่นเรื่องแจ้งความเท็จได้ด้วยหรือ ? ในเมื่อตัวเองไม่ใช่เจ้าทุกข์
1. การสร้างอำนาจในการปกครองสงฆ์ โดยไม่ต้องเป็นพระราชอำนาจกษัตริย์อีกต่อไป กำลังบอกว่าอำนาจในการปกครองสงฆ์ อดีตและปัจจุบันเป็นพระราชอำนาจใช่ไหมครับ
มหาเถรฯ สังฆราชา มีไว้ทำไม? นอนดู "ยำโล้น" มา ๒ วัน เข็ดฟันจัง! อยากบอกว่า........... กองทัพโล้น "ไอซิสคลุมเหลือง" ใต้คอนโทรล "ระบอบทักษิณ" โดย "อลัชชีประสาร" ที่ยกกำลัง "บุกพุทธมณฑล" ๒-๓ วันก่อนนั้น ทำแนวรบทั้งด้านศาสนจักรและทั้งด้านอาณาจักร ตามแผน "แดงทั้งแผ่นดิน" ของระบอบทักษิณ ............"พังไม่เป็นท่า"! ทำไมจึงพัง...? ก็ดูซี "สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ" ก็ตั้งอยู่พุทธมณฑล "รัฐบาลสงฆ์" คือมหาเถรสมาคม ก็ตั้งอยู่ที่นั่น "สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์" หรือที่เรียกกันว่า "สมเด็จช่วง" วัดปากน้ำ ที่ทำงาน "ประธานมหาเถรฯ" ของท่าน ก็อยู่ที่นั่น "พุทธมณฑล" เปรียบก็คือ "ทำเนียบรัฐบาล"! แล้วสุมหัวดำ-หัวโล้น ใต้ระบอบแดง ทำกันอย่างนี้-ที่ทำเนียบสงฆ์ในอำนาจสมเด็จช่วง ไม่เท่ากับเผยไต๋ "รู้เห็น-เป็นใจ" กันหรือนั่น? แทนที่ "ทำเนียบรัฐบาล" ของนายกฯ ประยุทธ์จะสะเทือน ด้วยอิทธิฤทธิ์ไอซิสเหลือง "ล็อกคอ-ยกรถ" ทหาร กลายเป็น "ทำเนียบสงฆ์" ของสมเด็จช่วง ตกเป็นประเด็นให้ถามกันขรม "พยักหน้าให้เข้ามาเล่นปาหี่กันหรือเปล่า?" ริยำต่อหน้า-ต่อตา-ต่อสถานที่ขนาดนี้ แล้วผู้ปฏิบัติหน้าที่ "ประมุขสงฆ์" หายไปไหน? ทำไมไม่มี "มติ" ทางคณะปกครองสงฆ์ "อย่างใด-อย่างหนึ่ง" ออกมาให้เห็นว่า...นี้ ไม่ดี-ไม่งาม-ผิดธรรม-ผิดวินัย ไม่ใช่วิสัยสงฆ์ พร้อมห้ามปราม ว่ากล่าวตักเตือน ให้สาธุชนทั้งหลาย ได้อนุโมทนาว่า วงการสงฆ์ไทยยังมี "หัวหลัก-หัวตอ" ให้ยึดถืออยู่!? อุเบกขา แบบหลับตาให้โจรเช่นนี้........... ยากที่จะไม่ให้ชาวบ้านครหา...หรือประมุข "มหาเถรฯ" เห็นดี-เห็นงาม ส่งเสริม-สนับสนุน ไอซิสเหลืองก่อการ ....เพื่อกดดันให้รีบตั้ง "สังฆราชา" และข่มขู่ฝ่ายบ้านเมือง ประมาณว่า อย่ามายุ่งกับ "ข้าวหมา-ตัณหาพระ" ในทุกเรื่อง!? ชาวบ้านเขารู้มาตั้งนานแล้วล่ะ....ว่าพวกเจ้าดังที่โผล่หน้าออกมา อยู่ในลัทธิระบอบทักษิณ ฝ่าย "แดงในดงเหลือง" -แดง นปช. หน้าที่เป็นฝ่ายยึดอาณาจักร -แดงดงเหลือง หน้าที่เป็นฝ่ายยึดศาสนจักร แล้วทั้งอาณาจักร-ศาสนจักร "รวมศูนย์" แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา! สายธรรมทูตตามต่างประเทศ สายสมเด็จซึ่งเป็น "พ่อธัมมชโย" ในฐานะอุปัชฌาย์ "วัดพี่-วัดน้อง" และ นปช.เพื่อไทยสายทักษิณ ทั้งภาพถ่าย-ลายแทง มันประจักษ์แจ้งหมดแล้ว ปิดหัว-หางก็โผล่, ปิดหาง-หัวก็โผล่! ฉะนั้น ไม่ต้องปิด ทุกอย่างมันทนโท่ และที่ออกมาวานซืน เจ้าทนายธัมมชโยก็โชว์ตัวหรา ฉะนั้น สาธุชนทั้งหลาย....... การวิพากษ์-วิจารณ์อะไร โปรดอย่าด่าพระสงฆ์! พระสงฆ์ คือพระสาวกผู้ปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบตามคำสั่งสอนสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนโล้นคลุมเหลืองพวกนี้ ไม่ใช่พระสงฆ์ หากแต่มาจากบุคคล ๒ ประเภท คือ ๑.อลัชชี คือพวกประพฤตินอกพระธรรมและพระวินัย เช่นโล้นประสาร โล้นธัมมชโย โล้นโช โล้นเหยิน เป็นต้น ๒.เดียรถีย์ คือพวกปลอมตัวเป็นพระ หรือพวกนอกศาสนาปลอมเข้ามาทำทีบวช หวังบ่อนทำลาย-ชอนไชพระพุทธศาสนา เช่น ที่เห็นเอาจีวรคลุมตัวมาชุมนุม เอารูปทักษิณบ้าง ยิ่งลักษณ์บ้างแขวนคอ กินเหล้า-เมายา-ปาระเบิด อย่างที่เห็น ที่เป็น-ที่ริยำอยู่ขณะนี้ นี่คือพวกเดียรถีย์-อลัชชี หมกมุ่นอยู่กับ กิน-กาม-เกียรติ-โกง ไม่ใช่พระสงฆ์ ฉะนั้น แยกประเภทให้ชัด "ก่อนด่า" เดี๋ยวจะ "ตกนรก" แบบไม่ตั้งใจกันหมด! ที่อลัชชี-เดียรถีย์ ไม่สิ้นเชื้อ เพราะคนแถวปทุมธานี แถวกรุงเทพฯ แก๊งหนึ่ง มันจ้าง-วานประจำ พวกนี้เลยยึดเป็นอาชีพ แต่ก็แปลก...ทนโท่ขนาดนี้ ไม่เคยปรากฏว่า มหาเถรฯ ก็ดี สำนักพุทธก็ดี จะมองเห็นภัย แล้วทำหน้าที่ให้ประชาชนเห็นว่า ได้ปกป้องภัย-พิทักษ์พระพุทธศาสนาแต่อย่างใดเลย? ตำแหน่ง "สังฆราชา" นั้น ผู้มีสมณศักดิ์สูงบางราย อยากได้ แต่ไม่เห็นผู้มีสมณศักดิ์สูงหรือต่ำรูปไหน อยาก "ป้องภัย" ให้พระพุทธศาสนาเลย? มิหนำซ้ำ ส่อว่าคล้าย "ยักคิ้ว-หลิ่วตา" ให้พวกอลัชชี-เดียรถีย์ ทำหน้าที่ "ออกรบให้" ด้วยซ้ำ? เห็นทหารถูกพวกอลัชชี-เดียรถีย์ล็อกคอ-ชีล้วงกระเป๋า ก็อยากเสนอทางปฏิบัติให้ นั่นคือ.... ไอซิสเหลืองอยากมาอีก มาเลย..ไม่ห้าม แต่ต้อง "ตรวจบัตร" ตามกฎ เหมือนที่พวกเขาเคยปฏิบัติเอง "ตรวจใบสุทธิ" โล้นเหลืองทุกคน ก่อนอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ชุมนุม! ตามกฎสงฆ์และกฎหมาย พระทุกรูป ต้องมีใบสุทธิ ใบสุทธิคือ "บัตรประชาชนพระ" ในใบสุทธิ จะระบุ ชื่อ-นามสกุล สังกัดวัด ใครเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ บวช วัน/เดือน/ปี ไหน ที่ไหน พ่อ-แม่ชื่ออะไร บอกหมด เนี่ย...ถ้าคนไหนไม่มี แสดงว่าปลอมเป็นพระมาชุมนุม จับดำเนินคดีได้เลย ถ้ามีใบสุทธิ ทำเรื่องฟ้องพระอุปัชฌาย์ เจ้าคณะตำบล-อำเภอ ว่าพระในสังกัดปกครองท่าน ประพฤตินอกพระธรรมวินัย ให้พิจารณาลงโทษเลย ถ้าเจ้าคณะต่างๆ ไม่จัดการ ในฐานะที่เขาเป็น "เจ้าพนักงาน" ดำเนินคดีตามมาตรา ๑๕๗ เลย ไม่บาปหรอก ได้ขึ้นสวรรค์ "ฐานทำกุศลต่อพระพุทธศาสนา" ด้วยซ้ำ! ใน"มหาปรินิพพานสูตร"มีว่า............ ก่อนที่พระพุทธองค์จะดับขันธปรินิพพาน พระองค์ไม่ได้ทรงตั้งสาวกองค์ใดให้รับตำแหน่งเป็นพระศาสดาปกครองพระสงฆ์สืบต่อจากพระองค์ โดยตรัสแก่ "พระอานนท์" ว่า "ดูกร อานนท์........... ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงไว้ และบัญญัติไว้ด้วยดี นั่นแหละ จักเป็น 'พระศาสดา' ของพวกท่านสืบแทนเราตถาคต เมื่อเราล่วงไปแล้ว" ชัดเจนที่สุด พระธรรมและพระวินัย คือพระศาสดาของพระสงฆ์สาวกทุกองค์ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่พระสังฆราช อย่างที่พวกอลัชชี-เดียรถีย์ และที่คนไม่รู้หลงเข้าใจ เอะอะก็...ต้องตั้งทันที พระธรรม-วินัยตะหาก คือพระศาสดา คือสังฆราชา ของพวกเธอผู้เป็นพุทธบุตร โปรดทำความเห็นให้ตรง! เราจะเห็นว่า อริยสงฆ์ทั้งหลาย เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ชา หลวงตาบัว สมเด็จพระญาณสังวร หรือที่เรียกกันว่า "พระป่า"ท่าน "เคร่งครัด-เคารพ-ปฏิบัติตาม" พระวินัย เพราะนี้คือพระศาสดาแท้จริง ท่านเชื่อมั้ย....ทุกวันนี้ คนต่างชาติ-ต่างภาษา มุ่งเข้าพุทธศาสนา-หาธรรม ตรงข้ามกับคนไทย มุ่งเข้าพุทธศาสนา-หากิน! ทุกวันนี้ ฟังธรรม ให้เข้าถึงธรรม ต้องฟังจากพระฝรั่ง ฟังพวกหัวโล้น-ห่มเหลือง ได้รถเถื่อน ได้เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก สักยันต์ ค้อนอันละ ๓ แสน สวรรค์ชั้นละ ๒๐ ล้าน ก่อการยึดชาติ-ยึดศาสนา ขึ้นเวที...ฆ่ามัน..ฆ่ามัน! จงดีใจกันเถิด ที่เกิดเหตุ "ไอซิสเหลือง" เพราะทำให้สังคม "รู้แจ้ง" หายเคลือบแคลง ไหนพระ-ไหนโจรหัวขนเม่น? พระพุทธศาสนา มาถึงจุด "ไหนน้ำ-ไหนน้ำมัน" ซึ่งแยกตัวออกจากกันตามธรรมชาติเองแล้ว พระธรรมวินัย มีทำไม? มหาเถรสมาคม มีทำไม? สังฆราชา มีทำไม? "คำสอนสุดท้าย" ของพระพุทธองค์มีว่า “ภิกษุทั้งหลาย .......... บัดนี้ ตถาคตขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย เสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”. เปลว สีเงิน คอลัมน์"คนปลายซอย" หนังสิอพิมพ์ไทยโพสต์
ท่านขงเบ่งผู้หยั่งรู้ดินฟ้าอวกาศ โปรดชี้แนะข้าน้อยด้วยเถิด 1. การสร้างอำนาจในการปกครองสงฆ์ โดยไม่ต้องเป็นพระราชอำนาจกษัตริย์อีกต่อไป กำลังบอกว่าอำนาจในการปกครองสงฆ์ อดีตและปัจจุบันเป็นพระราชอำนาจใช่ไหมครับ 2. เมื่อเป็นศาสนาประจำชาติ การแต่งตั้งพระสังฆราช หรือ การตั้งยศของพระ หรือความดีความชอบต่างๆ จะอยู่ในมือของนักการเมืองเป็นหลัก เมื่อยังไม่ได้เป็นศาสนาประจำชาติ การแต่งตั้งพระสังฆราช การตั้งยศของพระ หรือความดีความชอบต่างๆนานา อยู่ในมือใครอ่ะครับ
นั่งคุยกับเด็กเมื่อวานซืนที่โง่แล้วไม่รู้จักหาความรู้ใส่ตัว เสียเวลา ถามคำถามก็รู้ว่าโชว์โง่ ยังไม่รู้ตัวอีก