และเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง มันจะทำลายประเทศตัวเอง ---------------------------------------------------------------------------------------- อดีตประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์ ที่เคยขึ้นเป็นประธานาธิบดีช่วงปี ค.ศ.1977-1981 แถมยังเคยได้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์อีกด้วยต่างหาก เพิ่งให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ Super Soul Sunday ของนาง โอปราห์ วินฟรีย์ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้นี่เองว่า...ประชาธิปไตยอเมริกันได้ตายไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว เหลือแต่ คณาธิปไตย (Oligarchy) เท่านั้น ที่พยายามควบคุม ปกครอง ชาวอเมริกันและชาวโลกอยู่ในทุกวันนี้... คาร์เตอร์ ชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันในทุกวันนี้ จะต้องมี เงินหาเสียง ไม่น้อยไปกว่า 200-300 ล้านดอลลาร์อเมริกัน หรือมากไปกว่านั้น และนั่นเองที่ทำให้ผู้ที่ขึ้นมาควบคุม ปกครอง ชาวอเมริกันทุกวันนี้ จึงไม่ได้เป็นผู้ที่มาจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนแต่อย่างใด แต่กลับมาจากบรรดาผู้สนับสนุนทางการเงินทั้งหลาย หรือมาจากพ่อค้า โดยพ่อค้า และเพื่อพ่อค้าซะเป็นหลักใหญ่ จนทำให้อดีตประธานาธิบผู้นี้ถึงกับต้องใช้คำว่า ก่อให้เกิดความเสียหายที่เลวร้ายที่สุดต่อศีลธรรมและจริยธรรมขั้นพื้นฐาน ในวงการการเมืองอเมริกันนับตั้งแต่ผมประสบมาในชีวิต... http://www.thaipost.net/?q=ประ-ชาธิปไตยอเมริกันตายแล้ว
บทความนี้ยังมีเพิ่มเติมอีกนิด ไม่ทราบยังจะเห็นด้วยไหมครับ -------------------------------------------------------------------------- ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Prabhat Ranjan Sarkar... “Democracy can be successful only where the following essential factors are present at least among 51 per cent of voters…morality, literacy and socio-economic-political consciousness. Otherwise it is an instrument to befool the public.- ประชาธิปไตยจะประสบผลสำเร็จ เฉพาะเมื่อประชาชนไม่น้อยกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ประกอบด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้ 1.ศีลธรรม 2.ความรู้หนังสือ 3. ความตื่นตัวทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง มิฉะนั้นแล้ว...ประชาธิปไตยเป็นได้แค่ เครื่องมือหลอกลวงประชาชน...”
เห็นด้วยอีก แต่ที่สำคัญ อย่าไปคิดว่าคนอื่นไม่มี 1.ศีลธรรม 2.ความรู้หนังสือ 3. ความตื่นตัวทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง แล้วคิดว่า มีแต่พวกตัวเองที่มีเท่านั้น นะค่ะ
อันนี้ขอบอกว่า ไม่เห็นด้วยว่า จะเติบโตเฉพาะในระบอบเผด็จการ เพราะคนจนจะเป็นคนส่วนใหญ่ ของเกือบทุกประเทศในโลกนี้ ไม่ว่าประเทศนั้น จะปกครองด้วยระบอบใด
แต่ที่สำคัญ ขอให้เสียงส่วนใหญ่มี 1.ศีลธรรม 2.ความรู้หนังสือ 3. ความตื่นตัวทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เท่านี้ผมก็พอใจแล้วละครับ เพราะเวลาประเทศมีปัญหา มีหนี้สินรุงรัง ผมและคนทั้งประเทศ ก็ต้องพลอยโดนร่วมรับกรรมกับเขาด้วย
มันขึ้นอยู่กับว่า ความจริงสิ่งที่เป็นคืออะไรครับ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ ไม่มี 3 ข้อที่ว่าจริงๆ ก็จบข่าวครับ ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องฝ่ายแพ้ เผด็จการแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่การปฎิวัติประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคงสำเร็จเข้าซักวัน ความเป็นจริงของประเทศไทยคือยังไง? เสื้อแดง หรือ กปปส. ที่มองความจริงได้ถูกต้องตามที่มันเป็นกันแน่นะ?? ยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็เลือกไปแล้ว...... ผมว่าเมืองไทย ก็ต้องประชาธิปไตยแหละ แค่ไม่ใช่ในแบบที่ท่านพ่อของเสื้อแดงใฝ่ฝันถึง
เคยได้ยินมาว่า คนรวยมีเงิน คนชั้นกลางมีปัญญา คนจนมีความจริงใจ ตอนผมออกสำรวจข้อมูลชาวบ้าน มีน้อยคนมากที่เข้าใจเรื่องภาษีอย่างถูกต้อง เขาคิดว่าภาษีนั้น มีแต่คนรวย เท่านั้นที่ต้องจ่าย แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ในสิ่งอุปโภคบริโภคทุกอย่างก็มีภาษีเช่นกัน แม้แต่เหล้าที่กลุ่มทุน ผลิตทั้งหลาย นี่ตัวภาษีตัวหนักเลย พวกเขาจ่ายภาษีไปกับสิ่งเหล่านี้มากมายโดยไม่รู้ตัว จริง ๆ เป็นไปได้ทำยังไงให้เขารู้ในสิ่งนี้ ไม่งั้นนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนก็จะหาผลประโยชน์จากสิ่งนี้ เพราะประชาชนคิดว่านี่คือหนี้บุญคุณที่นักการเมืองสร้างไว้ให้กับพวกเขา และพวกเขาต้องตอบแทน
ความจริงน่าจะหาทาง พยายามให้เขาเลิกกินเหล้าซะ ดีกว่าพยายามให้เขารู้ว่าเขาจ่ายภาษีหนักมากกับราคาค่าเหล้า เพราะคนจนหลายๆครอบครัว จนหนักกว่าเดิมเพราะพ่อบ้านหรือแม่บ้านติดเหล้า ปัญหาในครอบครัวก็เพิ่มมากขึ้น ****ความรุนแรง ตบตีคนในบ้านเพราะเมาเหล้า ลูกๆอาจกลายเป็นที่รองรับความรุนแรงนั้น ****เมาหนักก็ทำงานไม่ไหว เงินไม่มีเข้าบ้าน แต่คนในบ้านยังต้องกินต้องใช้ ทำบ่อยๆก็เกิดภาระหนี้สินตามมา ****สุขภาพเสื่อมโทรม เมื่อร่างกายทนไม่ไหวก็เกิดการเจ็บป่วย ตายก่อนวัยอันควร ฯลฯ เปลี่ยนความคิดใหม่เถอะครับ ชวนให้เขาหยุดเหล้า ดีกว่ากรอกหูว่าเขาเสียภาษีแพง
หลายศาสนาห้ามกินเหล้าก็เพราะเหตุนี้ เพราะความมึนเมาขาดสติ สามารถสร้างปัญหาใส่ตัวและครอบครัวตัวเองได้ทุกเรื่อง แต่บางคนเลือกกินแค่วันละแก้วก่อนอาหาร กินเพื่อเจริญอาหาร ก็พอได้ แต่อย่ากินแทนน้ำ
ส่วนมากปัญหามาจากการใช้แรงงานหนักครับ สิ่งนี้ช่วยให้เค้าหลับได้ หรือลืมความทุกข์ต่าง ๆ ไปชั่วคราว แต่พอกินไปประจำมันก็ติด ตอนหลังก็เลิกยากหรือเลิกไม่ได้ไปเลย ไม่ว่าจะเป็นยังไงต้องกิน มันเหมือนติดบ่วงชีวิต แต่บางคนก็ติดเครื่องดื่มชูกำลัง คนที่ผมรู้จักคนนึงติด เพราะดูโฆษณาว่ามีวิตามินบี12 กินกระหน่ำทุกวัน วันละ 2 ขวดเช้าเย็น จนมีอุปทานเป็นของตัวเองว่า ถ้าไม่กินแล้วทำงานไม่ได้ ง่วง เพลีย ผลคือ กินติดกันหลายวันเข้าใจสั่น หน้ามืด ต้องหยุดงานไป 2 ถึง 3 วัน แต่สิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือเรื่องสังคมครับ เลิกงานเสร็จไม่รู้จะทำอะไร จะไปเดินห้าง ก็ไม่รู้จะไปทำไม เพราะไม่มีเงินจะซื้อของ ก็ตั้งวงร่ำสุรากัน เพราะมีมิตรแบบนี้ชีวิตเหมือน วนอยู่ในโอ่ง แต่ถ้าเราสามารถแนะนำคนกลุ่มนี้ได้ เขาจะเป็นกำลังหลักที่ดีของชาติได้เลยทีเดียว คับ
ก็อยากคิดครับ แต่ไอ้ 3 อย่างที่ป้าพูดเนี่ยมันไม่ปรากฎในการเลือกตั้ง ปี 54 เท่าไหร่เลยนะ เพราะ ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศ บางคนเลือกแค่จะเอาชนะ มันคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตาม แต่ละฝ่ายก็คิดว่า ตนมี 3 ข้อครบแต่หารู้ไม่ ส่วนใหญ่ขาดข้อหนึ่ง เราต้องปลูกจิตสำนึกสาธารณะให้คนไทยเสียก่อนครับ บ้านเมืองเราจึงจะเดินหน้าได้อย่างคล่องตัว
เรื่องระบอบการปกครองไม่มีผลเลยสักนิดครับ เพราะไม่ว่าการปกครองแบบไหน ช่องว่างระหว่างฐานะยังคงปรากฎทั่วโลก อยู่ที่ผู้ปกครองต่างหากว่า ปกครองได้ดีแค่ไหน บริหารบ้านเมืองได้ขนาดไหน เรื่องฐานะของประชาชน ขึ้นอยู่กับการทำอาชีพด้วยครับ รัฐบาลทำได้เพียงสนับสนุนอ้อมๆ เพราะถ้าสนับสนุนตรง ประชาชนจะไม่มีทางอยู่ได้ด้วยตัวเอง ถ้าวันไหนรัฐบาลเกิดบริหารผิดพลาดขึ้นมา คนที่เอาชีวิตตัวเองไปผูกกับรัฐบาลนี่ซวยนะครับ
ผมว่า เราควรปลูกฝังให้ใช้ธรรมะเข้าช่วยมากกว่าเหล้า สุรา เราต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงพิษภัย เพราะเมื่อก่อนธุรกิจประเภทนี้ สามารถโฆษณาตามสื่อต่างๆได้ พอกฎหมายห้าม ก็ใช้วิธีสปอนเซอร์ตามสื่อต่างๆ หรือไม่ก็ออกผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้แบรนด์เดียวกัน
คาร์เตอร์แกพูดจริงถึงกึ๋นเลย เรื่องการซื้อหาและครอบครองอาวุธปืนในอเมริกาอธิบายสิ่งที่แกพูดมาได้ดีที่สุด
คนที่ใช้เงินไม่เยอะ แต่เลวมากก็มีครับ ***สร้างภาพเก่ง ***ใช้อิทธิพลบังคับ ใช้เงินเยอะ(แต่ไม่ใช่ซื้อเสียงนะครับ) แต่เป็นคนดี ก็มี ***ใช้กับการโฆษณาตัวเอง ให้ชาวบ้านรู้จัก ***ใช้เงินตัวเองล้วนๆ ไม่ได้เป็นลูกจ้างนายทุน ***มีเงินแล้วรู้จักคิดจะทำประโยชน์ให้สังคม ไม่ใช่คิดจะเข้ามาถอนทุน(มีน้อยจนหาไม่ค่อยเจอ)