หลายคนอาจลืมไปแล้วว่าเคยมีกรณีเสนอสินบนตุลาการรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2550 จนกลายเป็นข่าวเกรียวกราวในช่วงนั้น คดียุบพรรคไทยรักไทยถือเป็นคดีใหญ่มาก สืบเนื่องจากข้อกล่าวหาว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อหนีเกณฑ์ต้องได้เสียง 20%ในเขตที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียว หลังพรรคประชาธิปัตย์และพรรคขนาดเล็กอื่นๆ บอยคอตการเลือกตั้งเมื่อปี 2549 คดีนี้ตุลาการรัฐธรรมนูญลงมติด้วยคะแนน 9-0 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย เพราะคณะตุลาการเห็นว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหา ครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็โดนยื่นคำร้องให้ยุบพรรคด้วยเช่นกัน แต่รอดคดีมาได้... คดียุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คนเป็นเวลา 5 ปี หลายคนมองว่าเป็นต้นตอหนึ่งของวิกฤติขัดแย้งทางการเมือง และบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งของบ้านเมืองในเวลาต่อมา แต่ฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากการโจมตีคำพิพากษาคดีนี้พยายามไม่กล่าวถึง"รอยด่าง"ครั้งสำคัญในกระบวนการยุติธรรม คือ การเสนอสินบนให้กับตุลาการที่มีอำนาจวินิจฉัย ตุลาการที่ยอมเปิดตัวว่าได้รับการเสนอสินบน คือ ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ อดีตรองประธานศาลฎีกา ซึ่งไปดำรงตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญในฐานะตัวแทนจากศาลฎีกา ส่วนผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เสนอสินบน คือ พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อดีตผู้กำกับการ สภ.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งทั้งสองรู้จักกันในฐานะที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 09 ด้วยกัน คดีนี้แม้การจ่ายหรือรับสินบนไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 167 เขียนเอาไว้ชัดว่า แค่เสนอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตุลาการ ก็เป็นความผิดแล้ว กฎหมายเขียนเอาไว้แบบนี้"ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำใดอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท" ต่อมาเมื่อมีการดำเนินคดี พ.ต.อ.ชาญชัยได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน และมีข่าวเจ้าตัวอ้างว่าได้พูดกับ ม.ล.ไกรฤกษ์ ให้ช่วยเหลือเกี่ยวกับคดียุบพรรคไทยรักไทย พร้อมเสนอตัวเลขให้จริง แต่เป็นแค่การ "พูดเล่น" ตามประสาเพื่อนฝูงเท่านั้น เหตุการณ์นี้เกิดมาตั้งแต่กลางปี 2550 ตอนแรกก็เป็นข่าวครึกโครม แต่ภายหลังก็แผ่วและเงียบหายไป เคยมีข่าวด้วยซ้ำว่าตำรวจอาจสรุปสำนวนพร้อมเสนอความเห็น "สั่งไม่ฟ้อง" เพราะหลายช่วงเวลาที่คดีนี้เดินไปตามขั้นตอน อำนาจทางการเมืองไปเปลี่ยนขั้วไปอยู่กับฝ่ายพรรคที่ถูกยุบ แต่ก็ยังดีที่สุดท้ายพนักงานสอบสวนที่มี พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ เป็นหัวหน้า ได้สรุปสำนวนส่งให้อัยการ พร้อมความเห็นสมควรฟ้อง และอัยการมีความเห็น "สั่งฟ้อง" กระทั่งคดีขึ้นสู่ศาล และนัดเปิดคดี พร้อมสืบพยานนัดแรกในวันนี้ คุณวีระ สมความคิดเลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้าน คอร์รัปชัน ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องสินบนตุลาการในช่วงที่เกิดเรื่อง มีชื่อเป็นพยานปากสำคัญในคดีด้วย คุณวีระให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรุงเทพธุรกิจว่า คดีนัดสืบพยานนัดแรกที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก และเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ได้เข้าพบอัยการเพื่อซักถามข้อมูล"ผมเป็นคนเปิดเรื่องนี้เอง จึงมีชื่อเป็นพยานโจทก์ แม้จะเป็นคดีที่ใช้เวลานานมากกว่าจะถึงศาล แต่ก็มั่นใจว่าพนักงานสอบสวนน่าจะหาพยานหลักฐานได้ครบถ้วน" ตลอดเส้นทางของความขัดแย้งและการต่อสู้ทางการเมือง หลายเรื่องราวถูกบิดเบือนและทำให้หลงลืมไป ดังเช่นคดีถุงขนม 2 ล้านที่ไปมอบให้กันถึงอาคารศาลฎีกา แต่ถึงที่สุดแล้วอัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่าองค์ประกอบความผิดไม่ครบ หวังว่าคดีนี้จะเป็นอีกหนึ่งคดีตัวอย่างในยุคที่ใครๆ ในประเทศไทยก็พากันแสดงเจตนาต่อต้านคอร์รัปชัน! http://www.bangkokbiznews.com/home/...21/612397/ÊԹº¹ÈÒŤ´ÕÂغ-·÷.-ʾÂҹ¹ѴááÇѹ¹Õé.html http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9500000092755 o_O เจ็ดปี... เห๊อะๆๆ ดียังไม่แก่ตายซะก่อนนะขอรับ... เฮ้อออออ...
แต่มันช้าเกินไป....เฮ้อออ...กระบวนการยุติธรรมทำไมมันถึงช้าขนาดนี้หนอ ทีกับคดีชาวนาชาวไร่ ทำไมมันไวจริงๆ
อืม!!!!!!!!!!!!!!..............ใช้เวลาสืบนานขนาดนั้นเลยหรา.......สงสัยมันคงเป็นคดีที่ยากมากๆสินะ.....กรั่ก กรั่ก กรั่ก.....
ผมเดาว่า การนัดสืบพยานจะอืดเป็นเรือเกลือ เพราะฝ่ายจำเลยจะใช้มุก เลื่อนไปเรื่อย ๆ พร้อมกับมุก ขอเพิ่มพยานไปเรื่อย ๆ จนเวลาใกล้ จะหมดอายุความ พนักงานสัดสวน+อัยโกง ก็จะทำเป็นรีบตาลีตาเหลือก รีบสรุปสำนวนส่งฟ้องแบบลวก ๆ แม้จะมีสำนวนฟ้อง 100 กล่องกระดาษ แต่เป็นประเภท น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง สุดท้ายจะไม่สามารถเอาผิดจำเลยสำคัญได้ เพราะสืบพยานไม่ทันบ้าง อัยโกงทำพยานสับสนซะเองบ้าง เอาผิดได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย ลูกกระจ๊อกไร้สาระ