ป๋าเปลว เขียนไว้ให้ได้อ่าน และพิจารณากันครับ... ------------------------------------- "แต่ละคน 'บนเส้นทาง' ที่ต้องเดิน"... เอาล่ะ...จากวันนี้ (๒๖ เม.ย.๕๙) เป็นต้นไป "ปากผู้นำ" ด้วยการสื่อสาร และคำพูด-คำจา ถ้า "ตั้งสติ-ตั้งลำ" ได้.....! ที่เกลียดก็จะกลับมารัก ที่เป็นปฏิปักษ์จะกลับมาปกป้อง ที่ปองร้ายก็จะคลายเป็นหวังดี ที่ไม่เคยเข้าใจ ก็กลับกระจ่างอยู่กับทางบ้านเมือง! พวกองค์กรต่างด้าว-คนต่างแดน ที่หาเหตุจ้องทิ่ม-จ้องตำสยามประเทศมาตลอด ๒ ปี ต่อจากนี้ ถ้าจะมี ก็คงเป็นวาระส่งท้าย จากนั้น พวกเขาจะมีเป้าหมายใหม่ ที่จะหันไปจ้องจิกแทน! เมื่อวาน เห็นนายกฯ ประยุทธ์ กับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ภาคกลาง ๖ จังหวัด ร่วม ๔ พันคน ร่วมพูด-ร่วมคิด-ร่วมฟัง ด้วยกัน ในปัญหาบ้านเมืองที่ต้องร่วมทำ-ร่วมรับผิดชอบด้วยกัน ที่หอประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต บอกได้คำเดียว ดีใจเงียบๆ....... แสดงว่า นายกฯ "เห็นหัวชาวบ้าน" จากฐานรากขึ้นไปจริงๆ แล้ว! ยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี ที่นายกฯ ตั้ง และหวังนำไทยสู่อนาคตใหม่ที่ยั่งยืนนั้น จะเป็นดังหวังได้ยาก ถ้า...ท่านนายกฯ ไม่เริ่มจาก "กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน" ด้วย! ประชาชนกว่า ๖๕ ล้าน ต่อให้ใช้เวลา ๔๐ ปี ถ้ารัฐบาลใช้แต่ข้อมูลและรายงานจากข้าราชการ ตั้งแต่ระดับอำเภอ-จังหวัด ถึงระดับกระทรวง ทุกอย่าง...รากหญ้า จะได้แค่ ๑ ส่วน ระดับยอดหญ้า เอาไป ๒ ส่วน นอกนั้น ที่เหลืออีก ๗ ส่วน ระดับยอดยางและหอคอย สอยไปแดกเรียบ! กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านนั่นแหละ รู้ปัญหาพื้นที่ รู้ใจ-รู้ความต้องการคนในพื้นที่มากที่สุด ที่ว่ากำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน "ตัวกิน" นั่นน่ะ .......... ส่วนใหญ่ แรกๆ ก็ "กินด้วยจำใจ" เพราะระดับเหนือขึ้นไปคล้าย "บังคับให้กิน" เป็นการรวมพวกและปิดปาก นานๆ เข้า เออ..ก็ดีนี่หว่า ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งอิงอำนาจ-บารมี "กังฉิน" สบายกว่า "ตงฉิน" นอกจากไม่ได้กินแล้ว ซื่อตรง-ทำดี ก็ไม่เคยมีใครเห็น แถมกระเด็นจากตำแหน่ง-หน้าที่ได้ง่ายๆ เพราะการเป็น "คนดีหัวเน่า" เขาก็ไม่เอาเข้าพวก-เข้าฝูง นี่...สังคมบริหารปกครองท้องถิ่น ที่ผ่านๆมาจะลักษณะนี้ "ระดับบน".......... ใช้ทั้งอำนาจและค่าทางสังคมกดสถานะกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านไว้ ตีราคาปรามาสว่า ต่ำต้อย-ด้อยความรู้-ด้อยปัญญา เป็นตำแหน่ง "คร่ำครึ-น่าขัน" ไม่มีค่า ประมาณนั้น! ด้วยทัศนคติ "ดูถูก-กดทับ" ตำแหน่งกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านมาเรื่อยๆ ในระบบบริหารราชการงานเมือง จึงไม่เคยฟัง ไม่เคยเคารพความคิดเขา เอาแต่ชี้นิ้วสั่งและใช้เขาเหมือนข้าทาสบริวารในระบบ! คำว่า "อำมาตย์-ไพร่" ที่ นปช.ทักษิณเลือกมาใช้ทางแบ่งชนชั้นในการปลุกระดม เนี่ย....มันก็มาจากทัศนคติพวกเขาที่มีและใช้กับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านมาด้วยตัวเองนั่นแหละ เมื่อต้องการปลุกระดมเรื่องชนชั้นให้เกลียดชังกัน ก็เลยสะท้อนสันดานตัวเองออกมาเป็น "ไพร่-อำมาตย์" ดูตอนพวกเขาเป็นอำมาตย์ซี ข้าราชการต้องคลานเข่าไปหาบ้าง ยื่นตีนให้ข้าราชการถอดรองเท้าให้บ้าง กับข้าราชการกระทรวง นักเลือกตั้งระบอบทักษิณยังทำขนาดนี้ ก็ไม่ต้องคิดแล้วว่า กับระดับ "กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน" พวกเขาจะตีราคาให้อยู่ระดับไหน? ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง......... ดังนั้น คนระบบราชการ-ระบบการเมืองที่สมประโยชน์ จึงใช้กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านเป็นลูกมือ "ทำผิด-ทำชั่ว" ให้มาตลอด จนกลายเป็นค่าสังคมที่รู้กัน "กำนัน-ผู้ใหญ่" นั้น ของนักการเมือง โดยนักการเมือง และ เพื่อนักการเมือง! เมื่อกำนัน-ผู้ใหญ่ เป็นเครื่องมือนักการเมือง ไปควบคุมชาวบ้านให้เป็น "บริวารนักการเมือง" การบริหาร-การปกครองไทยจึงเป็นอย่างที่ปรากฏ จังหวัดนี้ พวกนี้ เลือกเรา ก็เอางบ "บังหน้า" ไป แต่เจตนาบังหลังคือ "ข้า....ข้างบน" คำใหญ่ "เอ็ง...ข้างล่าง" คำเล็ก! ก็ตามค่านิยมประชาธิปไตยกินเมืองระบอบทักษิณ "โกงไม่เป็นไร ได้แล้วแบ่งกัน" เป๊ะเลย จะเจาะจงว่าเฉพาะระบอบทักษิณ ก็ดูอคติไป เพราะความจริง มันเป็นแบบนี้ทุกระบอบรัฐบาลเลือกตั้งแหละ! ในเมื่อนายกฯ ประยุทธ์ขออีก ๕ ปี เพื่อให้ยุทธศาสตร์ ๒๐ ปี หยั่งราก ก็หมั่นอยู่กับดิน คลุกอยู่กับดิน ศึกษา-เข้าใจดินคือ "กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน" อันเป็นฐานราก นี่แค่ภาคกลาง ๓,๘๗๘ คน...... ยังภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้อีก กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งหมดคงหลายหมื่น ถ้าหวังให้ไทยเดินหน้าชนิดฐานรากยั่งยืน ได้ใจนักธุรกิจ-พ่อค้า นั่นแค่ "ไม้ค้ำ" ถ้ารัฐบาล คสช.โดยนายกฯ ประยุทธ์ ได้ใจกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านได้ใจนายกฯ นั่นคือ "รากแก้ว"! ผลงานกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ในยุคนักเลือกตั้งครองเมือง วัดที่ทำให้ฐานเสียงนักเลือกตั้งมั่นคง แต่ขณะนี้ เมื่อ คสช.ครองเมือง ก็หวังว่า นายกฯ ประยุทธ์ จะวัดความดี-ความชอบกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จากผลงานที่ทำให้ฐานประเทศมั่นคง นักต่อสู้ที่คนชื่นชม จะเป็นลักษณะ "พูดน้อย-ต่อยหนัก" ประเภท "พูดมาก-ต่อยวืด" คนจะหยัน ที่ "พูดมากด้วย-ต่อยหนักด้วย" คนยอมรับและชื่นชมมีคนเดียว คือ "เคสเซียส เคลย์" หรือ มูฮัมหมัด อาลี ที่พูด ๔ คำ....."กลับบ้านเถอะลูก" แล้วอยู่จนเบื่อ ๘ ปี จนต้องออกปากว่า "ผมพอแล้ว" ก็มีอยู่คนเดียว คือ "พลเอกเปรม ติณสูลานนท์"! เนี่ย...มันก็มี "สินค้าตัวอย่าง" ให้เลือกเป็นต้นแบบอยู่หลากลักษณะ แต่ถ้าใครไม่อยากเลียนแบบใคร ต้องการเป็นสินค้านวัตกรรม นั่นก็ต้องดูว่า นวัตกรรมนั้น...... ทำแล้วพาเด่น หรือพาดับ!? แต่ที่เห็นทีถึงคราวดับจริงๆ น่าจะเป็นอลัชชีโล้น "ธัมมชโย" แห่งลัทธิธรรมกาย ไปนรก ไปสวรรค์ ไปเยี่ยมสตีฟ จอบส์ไปได้........ แค่ดีเอสไอเขามีหมายเรียกไปรับทราบข้อหาฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรเมื่อวาน (๒๕ เม.ย.) กลับอ้างป่วยด้วยสารพัดโรค ไม่ยอมไปตามนัด นี่...เขาขอหมายศาลจะมาจับตัวแล้วรู้มั้ย? อะไรกัน มีวิชาวิเศษ ท่องนรก-ท่องสวรรค์-จัดสรรวิมานขาย-ปัดระเบิดได้เป็นพวงๆ ไหง...ถูกข้อหาหน่อยเดียว ป่วยกระเสาะ-กระแสะซะแล้ว ดูตามรายการอ้างป่วย ถ้าจริงตามนั้นทั้งหมด น่าจะไม่รอด! ก็ดูแต่ละโรคที่อ้างเป็นเหตุไม่สามารถมาพบดีเอสไอได้ซี -เวียนศีรษะ -บ้านหมุน -ทรงตัวไม่อยู่ -ปวดหลัง -ปวดขาซ้าย -กล้ามเนื้ออักเสบรุนแรง -เบาหวาน -ภูมิแพ้ -เส้นเลือดอุดตันโคนขาซ้าย -แผลติดเชื้อที่เท้า โห...หมอคนไหนเซ็นใบรับรองแพทย์ให้นะ แพทยสภาน่าจะเชิญไปเชิดชูเกียรติซะหน่อย เมื่อกระบวนการกฎหมายเดินหน้า อาชญากรโล้นที่มากเงิน-มากพวก-มากอิทธิพล-มากเล่ห์ จะเดินแต้มไหนต่อไป สนใจจัง ธัมมชโยกับผมนี่ สงสัยราศีเดียวกัน ธัมมชโยถูกหมายเรียก ผมก็ถูกตำรวจโรงพักทองหล่อเรียกไปเป็นผู้ต้องหาเหมือนกัน ต่างกันเพียงข้อหา ของธัมมชโย-บุญหนัก เลยถูกข้อหาฟอกเงิน รับของโจร ส่วนผม-บุญน้อย ถูกแค่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ให้ลูกน้องไปแจ้งความว่าหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์หมิ่นประมาทเขา อ้างเป็นพระ แต่เบี้ยว ไม่ดีหรอก ผมเป็นโจรแท้ๆ ยังไม่เบี้ยวเลย ต่างคน-ต่างไป, ต่างคน-ต่างติด "เอาฤกษ์-เอาชัย" ดีมั้ย...ไชยบูลย์เอ้ย! http://www.thaipost.net/?q=แต่ละคน-บนเส้นทาง-ที่ต้องเดิน ------------------------------------ เหอๆๆ… ป๋าเปลวแก ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่พอเหลาลงไป กลายเป็น คดีธัมมี่ ไปเสียฉิป...