คนไทยหลายคนยังเข้าใจผิดๆว่า เศรษฐกิจพอเพียง คือต้องปลูกผัก กินเอง อะไรทำนองนั้น แต่จริงๆแล้ว เศรษฐกิจพอเพียง คือการทำอะไรพอดีกับฐานะของตน ไม่เป็นหนี้ ไม่เดือดร้อนคนอื่น ตามพระราชดำรัสที่ได้อัญเชิญมาครับ
ผมว่ายากครับ พอเพียง มันออกในแนวปรัชญามากกว่า ซึ่งต้องมีการตีความ ความพอเพียงก็ไม่เท่ากันทุกคนด้วย และก่อนจะพอเพียงก็ต้องมีเพียงพอ มีพอกินก่อนถึงจะทำได้ด้วย ดังนั้นมันจึงต้องออกมาในแนวคติการดำรงชีวิตมากกว่า ซึ่งก็แล้วแต่คนอีกเช่นกัน มันไม่สามารถกำหนดเป็นนโยบายตรงตัวได้ มีแต่ต้องทำนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาแล้วให้นโยบายนี้ มีคติพอเพียงกำกับอยู่ อะไรแบบเนี้ย ส่วนเกษตรทฤษฎีใหม่ เอาเข้าจริง มันก็ต้องใช้ความรู้พอสมควรนะ ดังนั้นมันจึงยากกว่าเกษตรเชิงเดี่ยว (ในแง่การปฎิบัติ) เกษตรกรด้อยความรู้ไม่อาจเข้าใจได้หรอกครับ ปลูกข้าวอย่างเดียวยังเอาไม่รอด ปลูกหลายอย่างและต้องทำนู่นทำนี่มากมาย แถมต้องทน ได้รายได้แบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยในระยะแรกๆ อีก แบบนี้เค้าไม่เข้าใจหรอกครับ คนที่ทำได้ต้องมีความรู้มีทุนพอสมควร ซึ่งก็ไม่พ้นนายทุน หรือปัญญาชน ซึ่งถ้าเก่งมากๆ เค้าก็วางแผนธุรกิจเกษตรเชิงเดี่ยวให้ได้กำไรเต็มๆได้อยู่แล้ว คนที่ทำเกษตรทฤษฎีใหม่จริงๆ จึงมีน้อยไง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ จริงๆแนวความคิดมันดีมาก หากทำได้เราจะไม่มีปัญหารัฐต้องเสียเงินภาษีมาอุดหนุนภาคเกษตรอีกเลย แถมความเหลี่ยมล้ำยังลดลงด้วย แต่การจะทำให้ประสบความสำเร็จได้ แต่ผมมองว่า รัฐ ต้องช่วยเหลือชาวบ้านเยอะๆ ครับ ต้องทำมากกว่าแค่ส่งเสริม แล้วปล่อยชาวบ้านลองผิดลองถูกไปตามยถากรรม แบบนี้ ชาวบ้านเค้าไม่ทำหรอกครับ หากเป็นไปได้รัฐต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดเลยครับ ต้องให้ชาวบ้านมั่นใจ ว่าจะทำได้ และเป็นประโยชน์ต่อตัวเค้าเองครับ เค้าจะยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ เค้าจึงจะกล้าทำอย่างจริงจังครับ เอาง่ายๆ คือ "คติพอเพียง กับเกษตรทฏษฎีใหม่" หากเป็นชาวนาญี่ปุ่น คงเข้าใจ และทำกันเองได้ไม่ยาก แต่ชาวนาไทย ไม่มีปัญญาหรอกครับ เละแน่ๆ ถ้ารัฐไม่ควบคุมดูแล คอยสอน คอยจ้ำจี้จ้ำไช เอาใจใส่และให้ความช่วยเหลือที่มากพอ
ผมกลับคิดว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนเกษตรกรทั่วๆไปก็ทำเกษตรเชิงผสมผสานมาตลอดนะครับ และก็ยังมีคนทำเกษตรแบบนี้อยู่พอสมควร น้องๆที่เป็นพนักงานรายวันที่โรงงานที่ผมเคยคุยด้วยหลายคนก็บอกว่ากลับบ้านไปแทบไม่ได้ใช้เงินเลยเพราะว่ามีกินอยู่แล้ว อะไรที่เก็บมาแล้วเหลือๆก็เอาไปขายต่อ จะว่าไปแล้วเห็นเป็นสาวโรงงานแบบนี้นี่ที่บ้านต่างจังหวัดเค้ามีที่ดินเยอะพอสมควรครับ หลายคนเลยถ้าเทียบกับผมที่มีบ้านเฉพาะที่อยู่อาศัยเฉยๆ น้องเค้าเป็นเศรษฐีเลยล่ะครับ ผมแค่เป็นลูกจ้างที่ได้เงินเดือนเยอะกว่าเค้าเท่านั้นเอง การเกษตรแบบเชิงเดี่ยวเข้ามาตอนเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนถ้าจำไม่ผิด พอเกษตรกรไปทำการเกษตรแบบนี้มากขึ้นก็ลืมการเกษตรสมัยก่อนไปจนหมด เพราะห้าสิบกว่าปีนี่มันข้าม generation ของคนไปแล้ว
ญาติพี่น้องผมเขาบอกว่าทำสวน ไร่นา ออกทะเล ไม่พอกินแล้ว ต้องขายสวน ทำบังกะโล รีสอร์ท ออกรถยนต์ป้ายแดง ถึงจะพอกิน พอไม่มีฟรั่งเข้า ก้อโทษ คสช. โทษรัฐบาลทหาร มันงี่เง่าสุดๆ สุดท้ายเป็นหนี้พวกหมวกกันน๊อคกันเกลื่อน
คนที่จะผลักดันให้เกิดเรื่องแบบนี้ มีแต่กลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มที่จะขับเคลื่อนประเทศมังครับ เศรษฐกิจพอเพียง มีความสำคัญได้ผ่านปากนักการเมือง ก็เพราะเป็นแนวพระราชดำริ หากไม่ใช่ เป็นแต่เพียงขอเสนอของประชาชน ผมว่าเรื่องนี้คงหายไปจากปากของนักการเมืองตั้งแต่แรกแล้ว นักการเมือง เศรษฐกิจประเทศ หรืออะไรต่อมิอะไรในการขับเคลื่อนประเทศ ล้วนต้องอ้างอิงกลุ่มธุรกิจ ที่อยู่คนละขั้วข้างกับเศรษฐกิจพอเพียงทั้งนั้น ทีนี้ มันก็อยู่ที่ว่า ผู้บริหารประเทศจะเลือกให้ความสำคัญกับคนกลุ่มไหนมากกว่ากัน การเปลี่ยนบ้านแปลงเมืองให้เป็นไปตามระบบเศรษฐกิจที่ต่างออกไปจากเดิม ต้องเปลี่ยนทัศนคติการบริโภค รสนิยม ซึ่งย่อมต้องใช้เวลานาน ผมไม่เชื่อว่า จะมีนักการเมืองหน้าไหนอยากทำอะไรที่เกินไปกว่าเวลา 4 ปี (หรือน้อยกว่านั้น) แน่ๆ ครับ