แต่ไม่รู้ว่าทำไมในสมัยนังโง่ กฏหมายนี้จึงไม่ถูกนำมาใช้ซักที ********************************************************** อันนี้ตัวกฏหมายฉบับเต็ม ลงในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 11 พฤษภาคม 2554 http://www.fpo.go.th/FPO/member_profile/it-admin/upload/file/1(10).pdf ********************************************************* แต่พอมารัฐบาลนังโง่ กลับมาดองกฏหมายนี้ซะ 2 ปีกว่า ไม่ประกาศใช้ จนหลายฝ่ายต้องออกมาทวงกันใหญ่ 'กรณ์'อัด'พท.'ไม่ยอมตั้งกองทุนการออม http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/578814?view=desktop นักวิชาการนิด้า จี้คลังเร่งเดินหน้ากองทุนการออมแห่งชาติ http://www.isranews.org/thaireform-news-labor-quality/item/34394-thaireform161157.html ยุบ "กองทุนการออมแห่งชาติ" "บำนาญประชาชน" ต้องรอกันต่อไป? http://www.naewna.com/scoop/66808 *********************************************************** แต่ล่าสุด ลุงตู่ได้เดินหน้าโครงการณ์นี้ต่อแล้ว ต่อไปประชาชนในยามแก่ชราจะได้มีเงินสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้น รัฐบาลเตรียมตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ดูแลคนไทยในวัยเกษียณที่ไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญราชการ หวังสร้างนิสัยการออมทุกช่วงวัย แนะออมเร็วออมมาก ยิ่งสบายยามชรา เริ่ม 18 ส.ค.นี้ ล่าสุดขณะนี้ได้จัดเตรียมระบบรองรับใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งในวันเปิดโครงการ นายกรัฐมนตรีจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกคนแรก เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระที่มี อยู่กว่า 30 ล้านคน ได้ออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ โดยที่รัฐจะช่วยจ่ายสมทบให้ส่วนหนึ่ง และเมื่อผู้ออมมีอายุครบ 60 ปีก็จะได้รับเงินบำนาญพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายเดือนตลอดชีพ ซึ่งผู้สนใจสามารถยื่นสมัครได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และที่ ธกส. โดยใช้หลักฐานเพียงบัตรประชาชนอย่างเดียว ทั้งนี้เงินสะสมขั้นต่ำสามารถส่งได้ตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี โดยภาครัฐจะจ่ายเงินสมทบให้ตามสัดส่วนของอายุ คืออายุตั้งแต่ 15 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี รัฐจ่ายสมทบให้ร้อยละ 50 ของเงินสะสม แต่ไม่เกิน 600 บาทต่อปี แต่ถ้าอายุ 30 ปี แต่ไม่เกิน 50 ปี รัฐสมทบให้ร้อยละ 80 แต่ไม่เกิน 960 บาทต่อปี และอายุ 50 ปีขึ้นไป รัฐสมทบ 100 % แต่ไม่เกิน 1,200 บาท เกณฑ์การจ่ายเงินสมทบภาครัฐ 1.อายุ 15-30 ปี รัฐสมทบให้ 50 % แต่ไม่เกิน 600 บาท/ปี 2.อายุ 31-50 ปี รัฐสมทบให้ 80 % แต่สูงสุดไม่เกิน 960 บาท/ปี 3.อายุ 51 ปีขึ้นไป รัฐสมทบให้ 100 % แต่สูงสุดไม่เกิน 1,200 บาท/ปี
กองทุนนี้มันสำหรับประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการหรือแรงงานที่สังกัดสำนักงานประกันสังคมนะครับ พูดง่ายๆ ถ้าเป็นสิทธิการรักษาพยาบาล ก็คือบัตรทอง 30 บาทนั้นละครับ
ประกันสังคม มาตรา 40 คุณสมบัติในการสมัคร ต้องเป็นผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ ณ วันสมัครไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 (ไม่เป็นลูกจ้างในสถานประกอบการ) หรือผู้ประกันตนโดยสมัครใจ มาตรา 39 สมัครโดยลงลายมือชื่อในใบสมัครด้วยตนเองพร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และจ่ายเงินสมทบงวดแรกได้ที่สำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศเลือกทางเลือกใน การจ่ายเงินสมทบได้ 2 ทางเลือก คือ ทางเลือกที่ 1 จ่าย 100 บาท/เดือน (จ่ายเอง 70 บาท รัฐสนับสนุน 30 บาท) ทางเลือกที่ 2 จ่าย 150 บาท/เดือน (จ่ายเอง 100 บาท รัฐสนับสนุน 50 บาท) ความเป็นผู้ประกันตนจะเริ่มตั้งแต่วันที่จ่ายเงินสมทบงวดแรก http://www.sso.go.th/wpr/category.jsp?lang=th&cat=881
อีกหนึ่งโครงการของลุงตู่ครับ ครม.เห็นชอบให้เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด-1 ปี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 31 มี.ค.58 เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) เสนอแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย โดยให้จัดสรรงบประมาณสำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1 ปี จำนวน 400 บาท/คน/เดือน เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย โดยจะจ่ายให้กับผู้ที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ทั้งนี้ จะทดลองประเมินผล 1 ปี ผู้ที่อยู่ในข่ายต้องมีสัญชาติไทย เริ่มวันที่ 1 ต.ค.58 ถึงวันที่ 30 ก.ย.59 วงเงินงบประมาณ 600 กว่าล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าเพียงพอเนื่องจากปัจจุบันการเกิดลดน้อยลง เพื่อให้พ่อแม่ได้มีเงินสวัสดิการดูแลเด็กให้มีคุณภาพในอนาคต http://www.hfocus.org/content/2015/04/9665 ........................................................................................... เป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย อยากเชิญชวนให้คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ทราบว่า ตนเองจะคลอดบุตรในช่วง ตั้งแต่ วันที่ 1 ตค. 58 ถึงวันที่ 30 กย. 59 ให้ฝากครรภ์เพื่อรับคำแนะนำการดูแลตนเอง และเตรียมพร้อมการดูแลบุตรที่จะคลอดด้วย http://www.thaipost.net/?q=แนะคุณแม่ตั้งครรภ์รีบฝากท้องรับสิทธิเงินอุดหนุนจนครบ1ขวบ
ตอนนี้รัฐบาลลุงตู่ได้ขยายโครงการให้ครอบคลุมพนักงานเงินเดือนบริษัทและรัฐวิสาหกิจด้วย ข่าวดีมนุษย์เงินเดือน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ วันนี้ กระทรวงการคลัง เตรียมจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ เพื่อให้คนกลุ่มนี้ มีเงินใช้เพิ่มยามเกษียณอายุ เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือ สศค.ว่า ขณะนี้ กำลังเร่งสรุปการตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ หรือ กบช.เพื่อดูแลสวัสดิการทุกคนให้มีโอากาสได้รับเงินบำนาญเมื่อเกษียณอายุเพียงพอต่อการยังชีพอย่างเท่าเทียมเช่นเดียวกับสวัสดิการของข้าราชการที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข. โดยกองทุน กบช.จะดำเนินการแบบภาคบังคับ ครอบคลุมพนักงานรัฐวิสาหกิจ และ พนักงานบริษัทขนาดใหญ่ โดยการส่งเงินสมทบเข้ากองทุน กบช.จะมีลักษณะเดียวกับกองทุน กบข. แต่จะไม่มีภาระเพิ่มเติมกว่าที่เคยจ่ายในปัจจุบัน เช่น ปัจจุบันพนักงานส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 10% นายจ้างจะสมทบให้ 10% แต่หากมีกบช.ภาคบังคับ พนักงานจะลดเงินเข้ากองงทุนสำรองเลี้ยงชีพ 7% และ แบ่งไปสมทบในกบช. 3% โดยนายจ้างจะแบ่งสมทบในลักษณะเดียวกัน และ เมื่อเกษียณ จะนำเงินดังกล่าวจ่ายคืนให้เป็นบำนาญแบบรายเดือน โดยจะสรุปหลักเกณฑ์ และ เสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาในเร็วๆ นี้
พูดถึงเรื่อง "เอาเงินมาหมุน" นี่ นึกถึงเรื่องนี้กันเลยทีเดียว ************************************** ผ่าปมร้อนเงินกู้ช.พ.ค. 2.1พันล. "เดอะบิ๊ก" ยันถูกขู่ฆ่าเรียกสินบน ล้มบอร์ดสกสค. ? "...คำถามที่น่าสนใจ คือ สกสค. เชื่อมั่นได้อย่างไร ว่า บริษัทฯ ที่เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งแค่ปีเดียว จะสามารถทำโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ได้ โดยไม่มีปัญหาให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ขณะที่จัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดินจำนวน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ต้องผ่านขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานราชการหลายขั้นตอน โดยเฉพาะการขอใบอนุญาต.." เป็นอีกหนึ่ง "นักธุรกิจ" ที่กำลังถูกจับตามอง สำหรับ นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา หรือเดอะบิ๊ก นักธุรกิจพันล้านเจ้าของบริษัทสัญญาประกันภัย จำกัด (มหาชน) ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลทีมเพื่อนตำรวจ และผู้ถือหุ้นสโมสรฟุตบอลทีมเรดดิ้ง ของประเทศอังกฤษ หลังปรากฎตัวที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา เพื่อเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. กรณีถูกพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ปปป.) แจ้งข้อหาว่ากระทำการสนับสนุนข้าราชการโดยไม่ชอบ และผิดระเบียบวัตถุประสงค์การกู้ยืมเงินของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ทั้งนี้ นายสัมฤทธิ์ ระบุว่า เมื่อประมาณกลางปี 2556 ในฐานะเจ้าของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด จัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดินจำนวน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งหลังโครงการดังกล่าวจัดทำขึ้น สกสค.ได้มาร่วมลงทุนด้วย 2,100 ล้านบาท จากนั้นได้มีอดีตบอร์ดบริหารของ สกสค. รายหนึ่งเข้าแจ้งความที่ บก.ป.และบก.ปปป. ในข้อหาดังกล่าว ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะบริษัทบิลเลี่ยนฯ ไม่ได้กู้ยืมเงิน แต่สกสค.นำเงินมาร่วมลงทุนกันเท่านั้น นายสัมฤทธิ์ ยังระบุด้วยว่า มีอดีตบอร์ดคนหนึ่ง ติดต่อเพื่อขอนัดพบเมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยนัดกันที่ค่ายลูกเสือแห่งหนึ่ง ในอ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เมื่อไปถึงมีชายฉกรรจ์ 9 คน โดยที่ 4 คน มีอาวุธปืนครบมือ และอดีตบอร์ดคนดังกล่าวได้ข่มขู่ให้ตนถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด พร้อมมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ประกอบไปด้วย 1.ขอให้ล้มล้างบอร์ดบริหารของสกสค. 2.จากนั้นก็ให้อดีตบอร์ดคนดังกล่าวและทีมงานเข้ามาดำเนินการแทน เพื่อแลกกับการสนับสนุนเงินของกองทุน ซึ่งมีจำนวนหลายพันล้านบาท และขอให้จ่ายเงินค่าคอมมิชชั่นจำนวนร้อยละ 30 และ 3.เรียกเงิน 177 ล้านบาท โดยงวดแรกให้จ่ายก่อน 77 ล้านบาท นายสัมฤทธิ์ ยังระบุด้วยว่า เพื่อเป็นการเอาตัวรอดให้มีชีวิตปลอดภัย จึงรับปากว่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณา เมื่อกลับถึงบ้านที่กรุงเทพฯ อดีตบอร์ดคนดังกล่าวได้โทรศัพท์มาขอเงินงวดแรก เมื่อปฏิเสธไปจึงถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายและฆ่า โดยจะนำระเบิดมาวางไว้ที่บ้านและที่ทำงาน ผ่านมาถูกคุกคามตลอดจนทนไม่ไหว จึงไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่สน.วังทองหลาง และเข้ามาร้องเรียนที่ บก.ป. ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายเกษม คำมุงคุณ ตัวแทนสมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ ช.พ.ค. เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการบริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคงตามโครงการเงินกู้ ของ ช.พ.ค. ทั้งคณะ รวม 17 คน ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ , ความผิดตาม พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา, พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์, พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ จากกรณีที่คณะกรรมการบริหารดังกล่าวได้นำเงินกองทุนกว่า 2,100 ล้านบาท ไปลงทุนร่วมกับ นายสัมฤทธิ์ เจ้าของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ในโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี โดยไม่ผ่านมติของคณะรัฐมนตรี โดยนายเกษมระบุว่า เมื่อปี 2556 บริษัทของนายสัมฤทธิ์ขาดทุนกว่า 2 ล้านบาท แต่คณะกรรมการบริหารชุดดังกล่าวยังนำเงิน 2,100 ล้านบาท ไปร่วมลงทุนกับ นายสัมฤทธิ์ ในโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี โดยไม่ผ่านมติของคณะรัฐมนตรี / และหลายครั้งที่คณะกรรมการนำเงินไปจัดซื้ออุปกรณ์สมุด เครื่องเขียน โดยมิชอบ รวมถึงนำเงินไปลงทุนกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 6,000 ล้านบาท (หมายเหตุ : ข้อมูลข่าวจาก ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์) ทั้งนี้ หากพิจารณาจากข้อมูลจากทั้งสองฝ่าย ในส่วนของ นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา กับ ตัวแทนสมาชิก ช.พ.ค. ที่ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังกล่าว จะพบว่ามีข้อมูลที่ยืนยันตรงกัน คือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ได้เห็นชอบให้มีการนำเงินกองทุนกว่า 2,100 ล้านบาท ไปลงทุนร่วมกับ นายสัมฤทธิ์ เจ้าของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ในโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี ในช่วงปี 2556 ส่วนประเด็นที่ต้องมีการอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์พิจารณาประกอบ คือ 1. นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า การลงทุนดังกล่าว สกสค.นำเงินมาลงทุนด้วย ไม่ได้เป็นการกู้ยืมเงิน 2. นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า หลังการกู้ยืมเงินดังกล่าว ถูกอดีตบอร์ดคนหนึ่ง ข่มขู่ให้ล้มล้างบอร์ดบริหารของสกสค. และเรียกรับค่าคอมมิชชั่น โดยงวดแรกให้จ่ายก่อน 77 ล้านบาท 3. นายเกษม ตัวแทนสมาชิก ช.พ.ค. ระบุว่า บริษัทของนายสัมฤทธิ์ขาดทุนกว่า 2 ล้านบาท แต่คณะกรรมการบริหารชุดดังกล่าวยัง นำเงิน 2,100 ล้านบาท ไปร่วมลงทุนด้วย โดยไม่ผ่านมติของคณะรัฐมนตรี ขณะที่กระบวนการทำงานของคณะกรรมการ ถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องความไม่โปร่งใสหลายประการ เบื้องต้น ไม่ว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ปรากฎให้เห็นชัดเจนในขณะนี้ คือ บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด ของนายสัมฤทธิ์ ซึ่งกล่าวอ้างว่าจัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดินจำนวน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าป้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท แจ้งผลการดำเนินธุรกิจล่าสุดปี 2556 ระบุว่าขาดทุนอยู่2 ล้านกว่าบาทจริง ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 ทุนปัจจุบัน 2,000 ล้านบาท (ช่วงจัดตั้งบริษัทฯ แจ้งทุนไว้ที่ 100 ล้านบาท ก่อนปรับเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.56) ตั้งอยู่เลขที่ 57 อาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ชั้น 11 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจ การซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเองที่ไม่ใช่เพื่อเป็นที่พักอาศัย ปรากฎชื่อ นาย สิทธินันท์ หลอมทอง และนาย มงคล เยี่ยงศุภพานนทร์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ นาย สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา และนายณิศร์ เดินตามแบบ รวมเป็นกรรมการ รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 มี 4 ราย นาย สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ถือหุ้นใหญ่สุด 15,000,000 หุ้น มูลค่า 1,500,000,000 บาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจล่าสุด ปี 2556 แจ้งว่ามีรายได้รวม 16,760,733.80 บาท รวมรายจ่าย 19,535,907.82 บาท ขาดทุนสุทธิ 2,775,174.02 บาท ส่วนปี 2555 แจ้งว่า มีรายได้รวม 5,776.63 บาท รวมรายจ่าย 1,487,766.77 บาท ขาดทุน 1,481,990.14 บาท ส่วนสินทรัพย์ ปี 2555 แจ้งว่า มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 187,460.30 บาท มีเงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง 17,390,862.51 บาท มีที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 5,295,719.68 บาท มีหนี้สินรวม 148,010.81 บาท ส่วนสินทรัพย์ ปี 2556 (นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า สกสค.นำเงินมาลงทุนด้วยจำนวน 2,100 ล้านบาท ไม่ได้เป็นการกู้ยืมเงิน) ระบุว่ามีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 1,800,328,176.97 บาท มีเงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง 183,159,019.98 บาท รวมสินทรัพย์หมุนเวียน 1,986,080,822.50 บาท รวมที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 9,029,514.88 บาท มีหนี้สินรวม 144,231.69 บาท ทั้งนี้ หากโฟกัสงบการเงินของบริษัทฯ โดยเฉพาะในปี 2556 จะพบว่า มีเงินสดเป็นหลักพันล้านบาทไหลผ่านเข้ามา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการระบุข้อมูลว่า สกสค.นำเงินมาลงทุนด้วยจำนวน 2,100 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นเงิน 2 พันล้านบาท แต่สิ่งที่น่าสนใจ อยู่ที่ข้อมูลในส่วนของ มีที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ซึ่งบริษัทฯ ระบุว่ามีมูลค่ารวมกันแค่ 5,295,719.68 บาท ทั้งในงบการเงินปี 55 และ 56 ขณะที่บริษัทฯ อ้างว่า จัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดินจำนวน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท? กรณีนี้ สามารถพิจารณาได้ 2 ประเด็น คือ 1. โครงการอยู่ในช่วงเริ่มต้น บริษัทฯ ยังไม่ได้ทำอะไร 2.บริษัทฯ เตรียมที่จะนำเงินทุนที่ได้รับจาก สกสค. กว่า 2,100 ล้านบาท ไปใช้ในการดำเนินงานโครงการฯ คำถามที่น่าสนใจ คือ สกสค. เชื่อมั่นได้อย่างไร ว่า บริษัทฯ ที่เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งแค่ปีเดียว จะสามารถทำโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ได้ โดยไม่มีปัญหาให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ขณะที่จัดทำโครงการโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้ที่ดินจำนวน 1,200 ไร่ ในพื้นที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี งบประมาณ 6,500 ล้านบาท ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ต้องผ่านขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานราชการหลายขั้นตอน โดยเฉพาะการขอใบอนุญาต ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ก็จะย้อนกลับไปที่ตัวคณะกรรมการบริหาร สกสค. ต้องชี้แจงให้ชัดเจน ว่า การอนุมัติเงินมาลงทุนกับบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม. เพื่อนำเงินของข้าราชการนับพันล้านไปลงทุนทำธุรกิจ? ส่วนกรณีที่นายสัมฤทธิ์ ให้การยืนยันว่า หลังการกู้ยืมเงินดังกล่าว ถูกอดีตบอร์ดคนหนึ่ง ข่มขู่ให้ล้มล้างบอร์ดบริหารของสกสค. และเรียกรับค่าคอมมิชชั่น เรื่องนี้ คงไม่มีใครทราบข้อเท็จจริง ได้ดีเท่ากับ นายสัมฤทธิ์ และ อดีตบอร์ดคนนั้น แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจบางประการ คือ เหตุการณ์ถูกข่มขู่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นก็มีการข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายและฆ่า โดยจะนำระเบิดมาวางไว้ที่บ้านและที่ทำงาน ถูกคุกคามตลอดจนทนไม่ไหว แต่นายสัมฤทธิ์ เพิ่งตัดสินใจเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.58 ที่ผ่านมา และเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่ ตัวแทนสมาชิก ช.พ.ค. จะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่กี่ชั่วโมง และการปล่อยกู้เงินเริ่มเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐแล้ว ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลของสำนักข่าวอิศรายังพบว่า นายสัมฤทธิ์ นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นประธานบริหารสโมสรฟุตบอลทีมเพื่อนตำรวจแล้ว ยังปรากฎชื่อเป็นกรรมการบริษัท สโมสรฟุตบอลโล่ห์เงิน จำกัด (มหาชน) ด้วย บริษัท สโมสรฟุตบอลโล่ห์เงิน จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 ทุน 140 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 99 หมู่ที่ 18 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี แจ้งประกอบธุรกิจเงินสนับสนุนสโมสรฟุตบอล ขายสินค้าที่ระลึก บัตรเข้าชมการแข่งขันฟุตบอล ปรากฎชื่อ นาย สิทธินันท์ หลอมทอง นาย วสุ ชิวปรีชา นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา นายมงคล เยี่ยงศุภพานนทร์ พันตำรวจโทต่อศักดิ์ สารีรัตน์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ พล.ต.อ. วรพงษ์ ชิวปรีชา นาย กมล เอี้ยวศิวิกูล ร่วมเป็นกรรมการ รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ 30 เมษายน 2557 มีจำนวน 25 คน มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รวมถือหุ้นด้วยจำนวนหลายคน ได้แก่ พลตำรวจเอก วรพงษ์ ชิวปรีชา , พันตำรวจเอก เขตขัณฑ์ บำรุงรัตน์ ,พลตำรวจตรี เทพฤทธิ์ พรรณพัฒน์ , พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (สนช.), พลตำรวจตรี ภูมิรา วัฒนปาณี , พันตำรวจโท สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว , พลตำรวจเอก จุมพล มั่นหมาย , พันตำรวจโท ชุมพล ศักดิ์สุรีย์มงคล ,พลตำรวจตรี รณศิลป์ ภู่สาระ , พลตำรวจตรี วิรัช วัชรขจร , พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รองหัวหน้าคสช. , พันตำรวจเอก สมภพ พงษ์ฤกษ์ , พลตำรวจตรี ฐณพล มณีภาค , พันตำรวจเอก ฐิติพันธ์ อมรสุคนธ์ และพันตำรวจโท ทินกร รังมาตย์ ทั้งนี้ จากรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ทั้งหมด คงต้องยอมรับว่า "สถานะ" ทางสังคมของ นายสัมฤทธิ์ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว โดยเฉพาะสายสัมพันธ์ กับผู้มีอำนาจหน้าที่ในการรักษากฎหมายบ้านเมือง ปราบปรามกลุ่มผู้มีอิธิพลนอกกฎหมาย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดต่อว่า กรณีที่นายสัมฤทธิ์ อ้างว่าถูกบอร์ดคนหนึ่ง ข่มขู่ให้ล้มล้างบอร์ดบริหารของสกสค. และเรียกรับค่าคอมมิชชั่น ดังกล่าว ถ้าอดีตบอร์ดรายนี้ ไม่ได้มีอำนาจอิทธิพล แบบสุดๆ ก็ต้อง "กินดีหมีสวมหัวใจเสือ" อย่างมาก ถึงกล้ากระทำการกับ นายสัมฤทธิ์ แบบนี้ ทั้งหมดนี้ คือ ข้อมูลเบื้องต้นที่พอจะสังเคราะห์ออกมาได้ จากปัญหาอนุมัติเงินกองทุนช.พ.ค. จำนวน 2,100 ล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนกับเอกชน ที่กำลังถูกหน่วยงานรัฐเข้าตรวจสอบอย่างเป็นทางการในขณะนี้ ส่วนเรื่องนี้จะมีปัญหาซ้ำรอย เหมือนคดีการยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ที่ปรากฎเป็นข่าวดังอยู่หรือไม่ โปรดจับตามองต่อไป แบบห้ามกระพริบตาเด็ดขาด! http://www.isranews.org/isranews-scoop/item/37770-report03_37770.html *************************************************** แต่ล่าสุด คนหมุนเงินนี่เข้าไปนอนซังเตซะแล้ว ************************************************** คุมตัว"เดอะบิ๊ก"สอบคดีฉ่อโกงสกสค.หลายพันล้าน งานเข้า!! ''เดอะบิ๊ก'' สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ประธานฝ่ายบริหารทีมเพื่อนตำรวจ ถูกตำรวจรวบตัวในข้อหาฉ้อโกง สก.สค. เป็นจำนวนเงินกว่า 2,000 ล้านบาท เบื้องต้นไม่อณุญาตให้ประกันตัว ก่อนฝากขังต่อศาลอาญา ในวันที่ 19 ม.ค. นี้ ซึ่ง ''ปาเกียวเมืองไทย'' ยันชัด ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสโมสร ''สุภาพบุรุษโล่ห์เงิน'' แต่อย่างใด แต่ไม่สามารถให้การเพิ่มได้มากกว่านี้ เนื่องจากจะเสียรูปคดี เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 18 ม.ค. ที่ผ่านมา ณ กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. และ พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ รอง ผบช.น. ได้นำตัว "เดอะบิ๊ก" สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ประธานฝ่ายบริหารทีมเพื่อนตำรวจ มาสอบปากคำ ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สก.สค.) เข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ว่า ได้ทำธุรกรรมทางการเงิน 3 ครั้ง มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท แต่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำให้ สก.สค. ได้รับความเสียหาย ต่อมาเวลา 12.00 น. ที่ห้องปารุสกวัน 2 พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. เปิดเผยว่า เบื้องต้นจากการสอบสวนนายสัมฤทธิ์ หรือ "เดอะบิ๊ก" ยังให้การปฏิเสธ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาร่วมกันปลอมตั๋วเงิน และใช้ตั๋วเงินปลอม, ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับใช้ตามกฎหมาย โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและร่วมกันออกเช็ค ในขณะออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น นายสัมฤทธิ์ หรือ "เดอะบิ๊ก" ยอมรับว่าได้ไปทำธุรกรรมการเงินกับทาง สก.สค. จริง และนำเงินออกมา 2,100 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการทำธุรกรรมบางส่วนที่อาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จึงทำให้เกิดความเสียหายต่อ สก.สค. จากนั้นทาง สก.สค. จึงเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ตนได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.จารุวัฒน์ ไวศยะ รองผบช.น. เป็นหัวหน้าทีมสอบสวนในคดีดังกล่าว โดยระดมพนักงานสอบสวนนครบาล เพื่อจะได้รอบรวบพยานหลักฐานประกอบการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยเร็ว ส่วนการคัดค้านการประกันตัวนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะต้องคัดค้านอยู่แล้ว เนื่องจากมีมูลค่าความเสียหายมหาศาล โดย "เดอะบิ๊ก" สัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ประธานฝ่ายบริหารทีมเพื่อนตำรวจ ได้ให้สัมภาษณ์สั้นๆ กับผู้สื่อข่าวว่า คดีดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานสโมสรอย่างใด แต่คงจะพูดออกมาทั้งหมดไม่ได้ เนื่องจากจะเสียรูปคดีที่ได้ให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ ส่วน นายสอและ กูมุตา ทนายความของประธานฝ่ายบริหารของเพื่อนตำรวจ ได้เผยว่า คดีดังกล่าวคงจะต้องใช้เวลานาน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำการสอบสวนพยานหลายคน โดยที่ผ่านมาไม่ทราบว่า นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา นั้นมีหมายจับดังกล่าว สำหรับคดีนี้ศาลอาญา รัชดาฯ ได้ออกหมายจับเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 59 และฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.1 ติดตามจับกุมได้ที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาให้การภาคเสธ ณ ห้องประชุมปารุสกวัน ซึ่งในวันที่ 19 ม.ค. นี้ จะได้นำตัวไปขึ้นศาลอาญา ในเวลา 09.30 น. ต่อไป http://www.siamsport.co.th/Sport_Football/160118_157.html