ก่อนอื่นผมต้องขอโทษสมาชิกหลายๆท่านเรื่องตั้งกระทู้แนวซ้ำซ้อน เพราะกระทู้ที่พูดถึงข่าวสรยุทธตอนนี้ผมก็เห็นสองกระทู้เข้าไปแล้ว ตอนแรกผมกะจะเข้าไปถามในกระทู้เหล่านั้นเลย แต่คิดไปคิดมาจุดประสงค์ของการถามของผมคือ ต้องการรวบรวมข้อเท็จจริง หักล้างข้อบิดเบือน ดังกระทู้เก่าที่ผมเคยตั้งไว้ เพื่อที่จะได้ยกกระทู้นำมาใช้อ้างอิงเป็นข้อเท็จจริงได้ทันทีเมื่อต้องการในอนาคต ดังนั้นผมเลยขออนุญาตตั้งแยกกระทู้ใหม่ ไว้ ณ ทีนี้ครับ คำถามก็คือตามหัวข้อครับ ผมเคยได้ยินมาบ้างว่า สรยุทธทำหน้าที่สื่อไม่เป็นกลางบ้าง สรยุทธเสื้อแดงบ้าง สรยุทธโดนทักษิณซื้อบ้าง ทีนี้ประเด็นคือ มันก็แค่คำพูด ผมเองก็ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้สรยุทธ ถ้าไม่นับเรื่องโกง แนวทางการอ่านข่าวของเขาก็ถือว่าฟังเพลินดี แต่ผมก็ไม่ได้ติดตามตลอด เลยไม่รู้ว่าเขาไม่เป็นกลางยังไง ใครพอจะอธิบายได้ไหมครับว่ามีวีรกรรมการอ่านข่าวไหนที่เด่นชัด หรือมีคลิปที่เป็นหลักฐานว่า การอ่านข่าวของเขาออกจะไม่เป็นกลางจริงๆ
เมื่อถามมา..ก็ขอตอบ ตามความเห็นเท่าที่สัมผัส ตามที่อดีตเมียที่เคยทำงานกะมันแล้วมาเล่าให้ฟังผสมกับที่ได้ชม ถ้าเป็นแต่ก่อน..ก็เป็นนักข่าวสายกลาง วิจารณ็ดี, จับประเด็นเก่ง..ถ้าผมผิด ก็ต้องไปว่าสุทธิชัย หยุ่น เหมือนกัน. แต่ถ้าถามตอนนี้..เขาเป็นยังไง..."มันไม่ใช่สื่อสารมวลชน..มันคือนักแสดง" ครับ..ประโยคที่ใช้ประจำ..รายการผมไม่ใช่ข่าวแต่เป็น"วาไรตี้ข่าว" หรือง่ายๆ หากินกับข่าว..ส่วนข่าวที่ชอบที่สุดคงจะเป็นข่าว "หลินฮุ้ย"เลียจุ๋มจิ๋มตัวเองมา3วันแล้ว..น่าจะมีข่าวดีในไม่ช้า..555.
รายการยำข่าว เต้าข่าว ขายข่าว อะไรก้อได้ ที่หาเงินได้ ที่สุดของข่าว แจกเสื้อ 5ตัว ถ้า 10,000ราย ก้อกำไรเห็นๆ แต่มากกว่านี้ โปรโมทสินค้าในรายการ ขนมา อาจไม่มีขนกลับ บางรายการอิ่มได้ทั้งวัน หาคลิปยูทูป นานาคลิป พูดวนสามรอบ 2-3นาทึคุ้ม รายการอื่น ช่วงละ4-5ข่าว ที่นี้ข่าวเดียวบางทียังไม่จบ ต้องไปฟังบางช่วงบางตอน แล้ววนอีกรอบ อะไรที่ทำให้เสียรายได้ตัดออก
ไม่รู้ กลางไม่กลางไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ประเด็นหนัก ๆ สำคัญ ๆ ของบ้านเมืองมันไม่แตะ ข้าวขายไปเป็นตัน ๆ มันไม่เสนอ แต่ทีควายหายตัวเดียว มันเสนอ 3-4 วันต่อเนื่องกัน
ถ้าคุณติดตามข่าว คุณตัดสินเองในใจไม่ได้หรือ ครับ ว่าคนนั้น คนนี้เป็นยังไง สรยุทธ ก็คนธรรมดา นี่หละ ประกอบอาชีพ ที่ไม่มีจรรยาบรรณ ที่พูดแบบนี้ได้เพราะ เขาได้ลาออก จากสังกัด หน่วยงานของอาชีพ ของตน คือ สมาคมนักข่าว จากการ ตำหนิ หรือท้วงติง ขององค์กร วิธีง่ายๆ คือลาออก ไม่ต้องรับผิดชอบ หมอ ทนายความ วิศวะกร เขายังมีหน่วยงาน เพื่อควบคุมบุคลากร จุดมุ่งหมายหลัก คือเพื่อรักษาผลประโยชน์ ของคนหมู่มาก และดำรง ไว้ซึ่งศักศรี ของผู้ประกอบอาชีพเอง ส่วนเป็นกลาง หรือไม่ คุณจะโยงเข้ามา ว่าที่ต้องรับโทษ เพราะการเสนอข่าว ???
สรยุทธมีหลายครั้งที่พยายามตั้งประเด็นเพื่อเบี่ยงเบน เช่นฉายาผัวแพนด้า ซึ่งช่วงเวลานั้น มีการปราบปราม กปปส อย่างรุนแรงจากรัฐอย่างหนัก แต่การเสนอข่าวแพนด้าซะครึ่ง ชม สาวไส้ “สรยุทธ” นักเล่าข่าวผู้มีคนดูเป็นเหยื่อ! โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 21 มกราคม 2557 21:03 น. ในภาวะการเมืองเข้มข้นที่กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดังผู้มีอิทธิพลในฐานะสื่อที่ผู้คนในสังคมต่างติดตามได้เลือกที่จะนำเสนอข่าวแพนด้าเป็นประเด็นข่าวสำคัญ นำมาซึ่งข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง จนเจ้าตัวทนไม่ได้ถึงขั้นบอกว่า “ตัวเองตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชัง” จุดให้กระแสตีกลับต่อการทำหน้าที่สื่อของสรยุทธมากขึ้น กลายเป็นคำถามย้อนกลับไปว่า “ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ?” จากการทำหน้าที่ที่ผ่านมาในฐานะ “นักเล่าข่าว” ที่มีบทบาทสำคัญในการจุดกระแสเปลี่ยนแปลงวงการข่าว กระทั่งความนิยมพุ่งสูง ส่งให้เขามาอยู่แถวหน้าในฐานะนักเล่าข่าวระดับประเทศ สิ่งนี้เองที่ทำให้หน้าที่ในการคัดเลือกประเด็นข่าวมาเสนอในแต่ละวัน ยิ่งเวลาผ่านพ้นไป ความคิดของเขาที่แฝงอยู่ในข่าวก็ยิ่งถูกเผยแพร่เข้าสู่คนดูไปโดยไม่รู้ตัว และแล้วเมื่อถึงวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ หลายคนมองว่า สรยุทธไม่สามารถทำหน้าที่สื่อได้อย่างที่ควรจะเป็น จนนำมาซึ่งการตั้งคำถามย้อนไปถึงสิ่งที่เขาทำมาตลอดชีวิต หรือที่ผ่านมาคนดูต่างหากที่ตกเป็นเหยื่อของสรยุทธ? เสนอข่าวแต่ผิดช่วงเวลา หากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงการชุมนุมต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตามติดมาด้วยการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนถึงข้อเสนอสภาประชาชน แม้บรรยากาศในการชุมนุมจะคลาคล่ำไปด้วยมวลมหาประชาชนที่ออกมาร่วมชุมนุมทางการเมือง แต่ในพื้นที่สื่อมากมายกลับยังคงดำเนินรายการตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งผู้ชุมนุมเดินหน้าทวงถามถึงบทบาทจากหลายองค์กรสื่อ รวมไปถึงการทำหน้าที่ของสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในครั้งนั้นเจ้าตัวได้ร่วมเป่านกหวีดเพื่อแสดงสัญลักษณ์ในการร่วมเป็นสื่อที่ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งนี้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปตามที่กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) คาดหวัง เมื่อเนื้อหารายการยังคงไม่ได้ให้พื้นที่ข่าวในส่วนของการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เกิดขึ้นเท่าที่ควร ต่อการวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ผศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล ภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมองว่า ส่วนหนึ่งมีที่มาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น ทำให้สื่อหลักในฟรีทีวีที่ต้องทำตัวเป็นกลางทำหน้าที่ได้ยากขึ้น ประกอบกับตัวสรยุทธเองนั้นถือว่าเป็นสื่อที่มีอิทธิพลและได้รับความนิยมสูงจึงได้รับความคาดหวังมากเป็นพิเศษ “ตอนนี้ต้องบอกว่าเมืองไทยแบ่งกันเรียบร้อยแล้ว ผู้ชุมนุมในแต่ละฝ่ายก็จะมีมุมมองของตัวเอง รับสื่อที่แตกต่างและพอมาเป็นสื่อกระแสหลักมันก็ต้องมีจรรยาบรรณ ต้องมีความสมดุลในข้อมูลข่าวสาร มันทำให้ทำงานค่อนข้างลำบาก เพราะผู้ชุมนุมแต่ละฝ่ายก็คาดหวังว่ามาชุมนุมแล้วก็อยากให้พื้นที่ของตัวเองไปอยู่ในหน้าข่าว การเล่าข่าวมันจะมีลักษณะความคิดเห็นของคนเล่าเข้าไปด้วย ซึ่งเท่าที่ดูอย่างคุณสรยุทธบางที ก็เห็นถึงความพยายามของเขาที่ไม่เอาอารมณ์เข้าไปใส่เยอะ แต่ในเรื่องของการลำดับข่าว การจัดวาระของข่าวมันอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองนัก ซึ่งผู้ชุมนุมบางส่วนมีอคติอยู่แล้ว ทำให้มองว่านักเล่าข่าวมีการเซตประเด็น” สอดคล้องกับความคิดของ สิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์ประจำสาขาวิชาประชาสัมพันธ์และการสื่อสารสงค์การ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่มองว่าสรยุทธนั้นมีแฟนรายการอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเขาได้อธิบายถึงการจัดลำดับข่าวในช่วงที่ผ่านมาของสรยุทธว่า มีนำเสนอข่าวการเคลื่อนไหวของกปปส.มากขึ้น แต่อยู่ในช่วงจังหวะเวลาที่แปลกๆ “ต้องบอกว่าในช่วงต้นของการเคลื่อนไหวของกลุ่มกปปส.มีข่าวน้อยมาก แต่ในช่วง 2 อาทิตย์หลังมานี้ตั้งแต่มีชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในตัวของเนื้อหาข่าวของกปปส.จะมีค่อนข้างเยอะ แต่จะถูกวางไว้ในช่วงต้นของรายการประมาณช่วง 6 - 7 โมงเช้า และช่วง 8 โมงที่เป็นช่วงพีกสุดของรายการอาจจะมีการนำเสนอข่าวในลักษณะอื่นแทน” โดยสิงห์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการวางจังหวะช่วงเวลาในการนำเสนอข่าวจะมีช่วงเวลาที่คนดูเยอะที่สุด ซึ่งประเด็นข่าวที่ถูกนำเสนอในช่วงเวลาดังกล่าวจะถือว่า เป็นเรื่องสำคัญของวันนั้น ดังนั้น เขาจึงมองว่าอาจมีการวางช่วงของรายการที่ผิดแปลกไปบ้าง “การวางช่วงเวลาที่กปปส.ข่าวมา 6 - 7 โมงช่วงเวลานั้นคนดูยังไม่ลุกขึ้นมาดูทีวีไงครับ แต่จะเป็นไปด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจที่จบข่าวกปปส.แล้วต่อด้วยรัฐบาลเพื่อให้น้ำหนักเท่าๆ กัน กลับกลายเป็นว่าช่วงเวลาของรัฐบาลเป็นช่วงที่คนรับชมมากกว่า ต้องดูว่าการจัดช่วงเวลาของรายการว่าเป็นอย่างไร” ทว่าถึงตอนนี้ จากการได้ดูรายการเรื่องเล่าเช้านี้ในวันที่ผ่านมา เขาเห็นว่าในรายการมีการจัดให้ข่าวของกปปส.อยู่ในช่วงที่คนดูมากที่สุดอยู่ด้วย “ช่วงเวลาหลังจากชัตดาวน์กรุงเทพฯ ช่วงพีกของรายการเป็นข่าวกปปส.ด้วยซ้ำ แต่ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงของรายการผู้ชมได้ชมจบหรือเปล่า เพราะพฤติกรรมของผู้ชมทั่วไปของคนในประเทศไทยพอถึงช่วงข่าวที่ตัวเองไม่สนใจเขาก็จะเปลี่ยนช่อง มันกลายเป็นเขาไม่ได้ดูสิ่งที่ต้องการจะดู” อย่างไรก็ตาม การกดดันของประชาชนที่มีต่อสื่อนั้นต้องบอกว่า ส่งผลให้ท่าทีในการลำดับประเด็นข่าวของสรยุทธเปลี่ยนแปลงไปด้วย สิงห์มองว่า เป็นจุดที่อันตรายซึ่งจะแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนซึ่งควรจะมีอิสระ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ผศ.พิจิตรา เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สื่อทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีขึ้น โดยเธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่ใช่เพียงกลุ่มการเมืองเท่านั้นที่จะจับตามองสื่อ หากแต่กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภค กลุ่มที่ทำงานด้านครอบครัวหรือเด็กก็สามารถร่วมกันจับตาดูการทำงานของสื่อได้ “เราไม่มองแต่รายการสรยุทธเท่านั้น เวลาสื่อทำหน้าที่ สื่อใช้พื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ ดังนั้นสื่อต้องมีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองจะนำเสนอ เนื้อหาข่าวน่าจะมีผลกระทบในเชิงของผลประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นที่คนจับตามองก็ดี ถือว่าสังคมไทยก็เติบโต มีกลุ่มก้อนต่างๆ ไม่ว่าจะกลุ่มการเมือง กลุ่มใดๆที่จับจ้องสื่อในการทำหน้าที่” รายการข่าวที่ไม่ใช่ข่าว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากมองรูปแบบรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ของสรยุทธในแง่ของการเป็นรายการยอดนิยมรายการหนึ่ง รวมทั้งเป็นรายการเล่าข่าวรูปแบบรายการก็ดูจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากการรายการข่าวทั่วไป จนกระทั่งเมื่อรายการมีเวลาออกอากาศยาวถึง 2 ชั่วโมง สัดส่วนของการแสดงโชว์จึงมีมากขึ้นจนบางครั้งเส้นแบ่งของการเป็นรายการข่าวกับรายการวาไรตี้บันเทิงแทบจะหายไป สิงห์ สิงห์ขจร อาจารย์ประจำสาขาวิชาประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์การคนเดิมมองว่า ถึงตอนนี้รายการของสรยุทธไม่ใช่รายการข่าว หากแต่เป็นรายการกึ่งวาไรตี้ที่มีการพูดถึงข่าวเท่านั้น “ณ ปัจจุบันรายการสรยุทธอาจจะไม่ใช่รายการข่าวแล้ว อาจจะเป็นรายการกึ่งวาไรตี้ด้วยซ้ำแต่มีลักษณะของการนำข่าวมาพูดถึง ซึ่งตอนนี้ก็ต้องบอกว่า ประชาชนจะต้องมีการแยกแยะตรงนี้ให้ได้ด้วย ปัจจุบันคนมองว่ารายการเล่าข่าวเป็นรายการข่าวอยู่ ทำให้นักเล่าข่าวเล่าข่าวได้อย่างสื่อมวลชน ตรงนี้ผมมองว่าเป็นปัญหา” โดยปัญหาที่จะเกิดขึ้นนั้น เขามองว่า การเล่าข่าวที่แทรกเอาความเห็นของนักเล่าข่าวเข้าไปในเนื้อเดียวกันนั้น คนส่วนใหญ่จะแยกข้อเท็จจริงกับความเห็นออกได้ยาก “ตรงนี้จะมีส่วนในการชี้นำ มันถูกรวมเข้ามาด้วยกันในการเล่าข่าว มันถูกนำเสนอแบบรวมๆกัน และในการเล่าข่าวคุณสรยุทธใช้เทคนิคในการเล่าข่าวในลักษณะใช้น้ำเสียงหรือเรื่องราวในการกระตุ้นความสนใจ ในน้ำเสียงจะมีการเน้นในเรื่องนั้นๆมีความน่าสนใจ” โดยเขาอธิบายว่า นักเล่าข่าวกับสื่อมวลชนแตกต่างกัน โดยสื่อมวลชนมีหน้าที่บอกข้อเท็จจริงเท่านั้น ขณะที่นักเล่าข่าวจะใส่ความเห็นได้ ดังนั้นถ้ามีการแยกให้ชัดเจนในอนาคตก็จะเห็นว่าจรรยาบรรณนักเล่าข่าวก็จะแบบหนึ่ง สื่อก็จะแบบหนึ่ง “ยิ่งตอนนี้คุณสรยุทธเองก็มีปัญหากับสมาคมนักข่าวอยู่ ทางสมาคมเองก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการใดๆ กับสรยุทธได้ ดังนั้นจรรยาบรรณสื่อก็ไม่สามารถจะเข้าไปควบคุมได้อีก สิ่งที่ควบคุมได้อยู่ในลักษณะของแรงกดดันทางสังคมเท่านั้น ซึ่งตอนนี้กปปส.พยายามที่จะใช้แรงกดดันตรงนี้ทำให้สรยุทธทำงานตามที่ควรจะเป็นในฐานะของสื่อมวลชน ไม่ใช่ในฐานะของผู้เล่าข่าว” จรรยาบรรณนักเล่าข่าว จากเรตติ้งที่สูงอย่างต่อเนื่องของรายการของสรยุทธ ต้องยอมรับว่า เขามีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนในสังคมเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อรูปแบบรายการของเขาเป็นรายการเล่าข่าวที่มีการเสมอข้อเท็จจริงไปพร้อมกับความคิดเห็นของเขาก็ยิ่งทำให้เขามีความน่าเชื่อถือ ผศ.พิจิตรา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า ตามทฤษฎีการทำรายการข่าวเช้าคือการเอาเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดของวันก่อนมานำเสนอเท่านั้น “มันจะไม่ค่อยมีความสำคัญอะไรมากนัก เพราะมันยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นและเท่าที่เห็นคุณสรยุทธเองเขาก็พยายามทำหน้าที่ด้วยการถ่วงดุลข่าวมีวาระข่าวสารมีเรื่องราวของข่าวและค่อนข้างระวังตัวมากด้วย” เมื่อมองถึงการทำหน้าที่ของสรยุทธในช่วงที่ผ่านมาในมุมมองของเธอ เห็นว่า สรยุทธสามารถทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ทว่าการทำข่าวในช่วงวิกฤติการเมืองนั้น เธอมองว่า การเล่าข่าวโดยการใส่ความเห็นเข้าไปนั้นเป็นเพียงสีสันที่ไว้ขายข่าวในเชิงพาณิชย์แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่คนในสังคมต้องการจริงๆก็คือ ข้อเท็จจริงมากกว่า “นักเล่าข่าวควรใส่ความเห็นให้น้อยที่สุด คือแน่นอนว่า สรยุทธเขาทำข่าวเป็นเชิงพาณิชย์ มันจะมีความดรามาต้องการจะกระชากเรตติ้ง แต่หลายอย่างพิสูจน์แล้วว่า พอถึงวิกฤตความดรามา การใส่ความเห็นเข้าไปมันไม่ยั่งยืน สิ่งที่ประชาชนต้องการคือข้อเท็จจริง ดังนั้นคิดว่า นักข่าวเอง คนเล่าข่าวเองเขาก็รู้อยู่แล้ว ในเชิงสื่อพาณิชย์มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการจะคอมเมนต์อะไรต่างๆ ดังนั้นอาจจะทำให้น้อยที่สุด อย่างเรื่องการเมืองตอนนี้มันแรง คนแบ่งฝ่าย แค่นำเสนอให้สมดุลไม่ต้องใส่ความเห็นเลยก็ยากแล้ว” …. การทำหน้าที่นักเล่าข่าวที่ถูกตั้งคำถาม แม้ด้านหนึ่งอาจถูกมองว่าคุกคามสื่อ หากทว่าการทำหน้าที่สื่อให้สมบูรณ์ขึ้นนั้นก็เป็นวิถีทางที่ถูกต้องอยู่แล้ว การที่ประชาชนหันมาตั้งคำถามกับบทบาทที่วางตัวอย่างนักเล่าข่าวที่ชี้นำสังคมมาโดยตลอดของสรยุทธอาจเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปสื่อในภาพใหญ่ของสังคมไทยก็เป็นได้ ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE
เบื้องหน้าขายข่าว ทั้งที่ช่องทำเองและไม่ได้ทำเอง คนเลยชอบเพราะมีทุกอย่าง เบื้องหลังรับจ้างโปรโมตสารพัด(ไทอิน) ประเด็นทางการเมือง ก็น่าจะรวมด้วย เลือกข้างเงินแน่ๆ รวยยย...
คนที่เป็นกลางสำหรับกลุ่มนรกป่วนชาติ (นปช.) ก็คงจะมีแต่ว้ายทีวี มติชั่ว ทีวีควายแดง และคนที่บอกว่าควายแดงไม่ผิด นี่แหละเป็นกลางครับ
มวลโมหาประชาชนนี่ผมนึกออกแต่กลุ่มนี้อ่ะครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่ามวลได้มั้ย แต่คนกลางโกหกอีกแล้ว แก็งนี้เขาเกลียดลุงกำนันครับ
อาจจะจริง เพราะมีอะไรที่ว่าโกง คนกลางก็เรียกแต่ลุงกำนัน นกหวีด เป็นอันดับแรก พรรคเพื่อไทยกับนปช.นี้ไร้ประโยชน์จริงๆ แม้แต่คนเป็นกลาง คุณธรรมสูงส่งยังไม่เคยเรียกหาแม้แต่ครั้งเดียว
เท่าที่ดู สรยุทธ์ไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรที่แสดงออกว่าเลือกข้าง ผมก็คงไปตัดสินอะไรไม่ได้ แต่ใครมองว่าโกงแล้วต้องเป็นพวกทักษิณ ผมก็อยากจะบอกว่ามันไม่แน่เสมอไป เพราะขนาด ปชป. ก็ยังมีคนโกง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นพวกเดียวกับทักษิณ ซะเมื่อไหร่ เท่าที่สังเกตุดู สรยุทธ์จะออกแนวไม่ยุ่งกับใครมากกว่า แต่ถามว่าดีมั๊ย? ผมก็มองว่าไม่ดีเท่าไหร่ เพราะสังคมคาดหวังให้นักข่าวควรเสนอข่าวตามข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ของประชาชนใช่มั๊ยครับ แต่ถ้าไปคาดหวังแบบนี้กับสรยุทธ์ รับรองว่าต้องผิดหวังแน่ เพราะเค้าสนใจแต่เงินเท่านั้น ที่พยายามแสดงออกว่า วางตัวเป็นกลาง มันไม่ใช่เพื่อจรรยาบรรอะไร แต่เพื่อที่จะไม่ต้องมีปัญหากับใคร จนกระทบการทำมาหากิน แล้วได้เงินน้อยลงเท่านั้นล่ะ และนั่นก็คือเหตุผลที่สรยุทธ์จะไม่ทำข่าวเจาะลึก ตีแผ่ความจริง ตามติดเหตุการณ์อะไร ได้แต่เสนอข่าวแพนด้าไร้สาระไปวันๆ เท่านั้น ถ้าเป็นกลางจริงๆ ก็เข้าประเภทกลางกลวง ไม่สนใจบ้านเมืองจะเป็นห่าเหวอะไร ทำมาหากินเอาเงินอย่างเดียวเท่านั้นล่ะ แถมออฟชั่น ถ้ามีโอกาสก็เอา นิสัยไม่ต่างกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้หรอก
งง แทน ของมันก็ชัดๆอยู่แล้วว่า เขาอยู่ข้างไหน ซึ่งเป็นธรรมดาของนักธุรกิจ ที่เขาจะมองผลประโยชน์ตัวเองก่อนเพราะการเมืองมาแล้วก็ไป ปากท้องสำคัญกว่า
ขอบคุณหลายๆท่านที่เข้ามาตอบครับ ทำให้ผมกระจ่างขึ้นมาก ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆครับที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เอง เป็นเพราะว่าที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารมากเรื่องการรายงานข่าวของตัวเขาที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยรู้ว่ามีปัญหาอย่างไร เอาแต่เสนอข่าวข้างเดียวจริงหรือไม่อันนี้ไม่ทราบจริงๆ แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างว่า ไม่เป็นกลาง ผมซึ่งลองมานั่งดูด้วยตัวเอง มันก็ยังไม่อาจจะตัดสินได้เต็มปาก เพราะปกติผมไปทำงานค่อนข้างเช้า มีเวลาดูราวๆ 15-20 นาที ก็ดูแค่ช่วงๆเดียวตลอด จึงได้ตัดสินใจมาถาม สำหรับมุมมองของผม เท่าที่ผมดูเขาอ่านข่าวก็ฟังเพลินดี เสียดายที่เพิ่งจะมาคิดติดตามข่าวสารบ้านเมือง ทำให้ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่ไม่รู้ครับ ส่วนเรื่องเกี่ยวอะไรกับการเมือง เท่าที่ฟังจากหลายๆท่านพูดในกระทู้นี้ หากเป็นเรื่องจริง ถ้าคิดมุมนึง มันก็ฟังดูมีมูลการที่เลี่ยงไม่พูดข่าวการเมือง จำนำข้าว หรือ กรณีกปปสโดนทำร้าย หรือเสนอเพียงแค่ประโยชน์ฝ่ายเดียว ขณะที่ถ้ามองอีกมุมนึงคือไม่อยากมีเรื่องกับฝั่งที่มีอำนาจ หรือโดนบีบอะไรบางอย่างมันก็น่าคิด ดังนั้นสาเหตุที่ผมตั้งกระทู้ถาม เพราะมีความเคลือบแคลงว่าการนำเสนอข่าวขอสรยุทธมีประเด็นที่จะเกี่ยวกับการเมือง สำหรับในที่นี้คือการใช้อิทธิพลของรัฐบาลกดดันสื่อ แต่อันนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจน ก็คงได้แต่เดากันไป แต่ถ้าสรยุทธนำเสนออย่างที่ว่าไปนั้นจริง ก็ตีความได้ว่าเอนเอียงครับ
ให้ผมมองคือ สรยุทธก็ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ได้มีศักดิ์ศรีหรือสนใจจริยธรรมของความเป็นสื่อสารมวลชนอะไร ดูจากที่เขายื่นจดหมายลาออกจากสมาคมนักข่าวก็รู้ คนแบบนี้จะบอกว่าเป็นกลางก็ไม่ใช่ จะบอกว่าลำเอียงก็ไม่เชิง การเมืองมันยึดโยงกับอุดมคติ คนที่ไม่มีอุดมคติย่อมไม่มีจุดยืนใด ๆ ทางการเมืองอยู่แล้วแม้แต่จะบอกว่าเป็นกลางก็เรียกไม่ได้