ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 'แทน เทือกสุบรรณ' 3 ปี พร้อมพวก-คดีเขาแพง! หลังต่อสู้กันมายาวนานกว่า 5 ปี ระบุทำลายป่าสมบัติล้ำค่าของชาติ เป็นความผิดร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2559 ศาลอาญา บัลลังก์ 902 ได้พิพากษาลงโทษจำคุก นาย แทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) และ นายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล คนละ 3 ปี และให้ลงโทษจำคุก นายพงษ์ชัย ฟ้าทวีพร และนายสามารถ เรืองศรี คนละ 5 ปี ในคดีการบุกรุกที่ดินของรัฐ และป่าในพื้นที่เขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่บนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ โดยคดีนี้ สืบเนื่องจากมีการร้องเรียน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในยุค นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีดีเอสไอ และคณะกรรมการคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษ สอบสวนผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 รายดังกล่าว ในข้อหา “ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก พนักงานเจ้าหน้าที่ และเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจาก พนักงานเจ้าหน้าที่” ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ ประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่บนเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ ดังนี้ 1. น.ส.3 ก.เลขที่ 3301, 3302 และ 3285 หมู่ที่ 6 ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ส่วนที่ออกโดยมิชอบ 31-2-97 ไร่ โดยในส่วนนี้ได้ดำเนินคดีกับนายพงษ์ชัย และนายสามารถ และ 2.โฉนดที่ดินเลขที่ 28109 เฉพาะส่วนที่เกินจากที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 3301, 3302 และ 3285 มีการรวมแปลงเป็นโฉนดเลขที่ 28109 เป็นเนื้อที่ 14 ไร่ หมู่ที่ 6 ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ต่อ มามีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และมีความเห็นสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษ ซึ่งอัยการคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 4 ราย กระทำความผิดตาม พรบ.ป่าไม่จริง จึงมีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาลอาญา และมีการต่อสู้คดีมาเป็นระยะเวลากว่า5ปี จนกระทั่งศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 21 ก.ย.2559 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในคำพิพากษา ระบุว่า ป่าไม้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของชาติ ควรที่ประชาชนจะต้องร่วมกันหวงแหนบำรุงรักษาให้อุดมสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ ร่วมกัน มิใช่เป็นของส่วนตัวแก่ผู้ใด การกระทำของจำเลยทั้งสี่มีผล กระทบต่อการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของ ดิน น้ำ อากาศ และป่าไม้ ทั้งโดยตรงและทางอ้อม อันเป็นต้นเหตุของความแห้งแล้ง และภัยพิบัติจากน้ำป่าไหลหลาก สภาพความผิดจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ และให้จำเลยทั้งสี่ คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสี่ ออกจากที่ดินและป่าไม้ บริเวณที่เกิดเหตุ ภาพประกอบ จาก : news.mthai.com http://www.isranews.org/เรื่องเด่น-สำนักข่าวอิศรา/item/50186-news_50186.html#.V-JEFcu1tP0.twitter
ลุงตู่กำลังทำกฏหมายให้เป็นกฏหมาย ไม่ใช่กฏหมายให้เป็นกฏหมู่โดยการข่มขู่ศาล เหมือนสมัยพ่องมึง ไอ้ไอซ์ กะอีปรู เตรียมล้างตูด นอนรอในคุกได้เลย
ดีแล้ว เมื่อโดนฟ้องว่าทำผิดกฎหมาย ก็ต่อสู้ไปตามกระบวนการ ไม่ใช่ ***บอกว่าบกพร่องโดยสุจริต ***มีขี้ข้าแก้ต่างให้ว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ทำสิ่งที่กฎหมายห้าม ***เอาถุงขนมไปให้ศาล ***บอกว่าโดนกลั่นแกล้งรังแก สองมาตราฐาน ***ข่มขู่ศาล เกณฑ์คนมากดดันศาล ***พอจวนตัวรู้ว่าไม่รอดแน่ ก็โกหกศาลแล้วหนี ไม่ยอมกลับมารับโทษ
พ่อ สปก. 4-01 ส่วนลูกก็งาบ เขาแพง คนดี ที่พากันยกย่องเทิดทูน มันทำตัวแบบนี้กันนี่เอง เหอะๆ ..... ในชีวิตการเมืองผมไม่เคยโกงงงง ......
ผิดถูกก็ว่าไปตามศาลนั่นแหละครับ สปก. สุเทพรอด เขาแพงลูกสุเทพผิดก็ว่าไปตามกฎหมาย ไม่มาเป็นแบบแม้วที่แต่งเรื่องน้ำเน่าว่าตนช่วยคนจนอำมาตย์เลยกลั่นแกล้งแบบที่มือดีไปหลงเชื่อหรอก แล้วก็ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายแล้วก็ออก พรบ. นิรโทษกรรมล้างผิดตัวเอง
ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะรู้ ไม่ใชเรื่องหนีหรือไม่หนี คือคนที่บอกว่าตัวเองเป็น พวกคนดี ต่อต้านการโกง รังเกลียดการคอรับชั่น แต่ตัวเองกลับมาทำเอง มีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง ผมได้เเต่บอกคำเดียวสั้นๆว่า "ตอแหล่"
กปปส ออกมาต่อต้านคนทำผิด ก็ไม่ได้หมายความว่า คนใน กปปส จะทำผิดกฏหมาย ไม่ได้ เพราะคนของกปปส มีตั้งเป็นล้านคนมั้ง แก่ใจ จะให้ทุกคนเป็นคนดี ไม่ทำผิดกฏหมายเลย คงไม่ได้ แต่ว่าสำคัญคือ ทำผิดแล้วรับหรือไม่ แล้วกปปส คนอื่น เห็นคนทำผิดปกป้องหรือไม่ อย่างผม วันก่อนเฮียลิ้ม ผมทำผิดกฏหมาย เค้าต้องเข้าคุก ผมเสียใจ และเห็นใจ แต่ผมไม่เคยบอกว่า เค้าไม่ต้องรับผิด เพราะผมรู้ว่า คนทำผิด ถ้าไม่ได้รับโทษ กฏแห่งกรรม จะมีไว้ทำไม สำคัญในใจของเรา ต้องกล้ายอมรับ ผิดต้องเป็นผิด ไม่สนับสนุน ถ้าเค้าทำผิด แต่ถามว่า ผมเกลียดอะไร คุณแทนไหม บอกเลยว่าไม่ เพราะเค้าเป็นพี่น้อง กปปส เหมือนผม ทำผิดรับโทษ แต่ยังรักเหมือนเดิม ถึงไม่ปกป้อง แต่ไม่ซ้ำเติม ถ้าแบบนี้ ถามเจ้าของกระทู้ ผมทำได้ไหม
ลูกไอ้เทือกนี่มันโตมาก็เก่งเลย งาบแม่งทั้งเขา ไม่รู้มันแสนรู้เจนจัดขนาดงาบทั้งเขาได้ โดยที่ปะป๋า หัวหน้านกหวีดไสสะอาดมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไอ้หัวหน้านักหวีด ความรับผิดชอบมันพอๆกับแม้ว ที่ กปปส มันชอบด่า เลยนะ
จะเอาความผิดของคนอื่นมาลบความผิดของตนเองไม่ได้นะครับ -ทักษิณผิด ต้องรับผิดของตัวเอง -แทนผิด ต้องรับผิดของตัวเองเช่นกัน หักล้างกันไม่ได้ครับ บอย..มือ..กลาง..
เอาอะไรในร่างกายคิดครับ จะที่เอาคดีทั้งสองมาหักล้างกัน มันเทียบกันไม่ได้เลย ทักษิณโดนคดีทางการเมือง บินไปประเทศไหนใครเค้าก็ต้อนรับ ผิดกับคดีนายแทน ลูกชายลุงกำนันที่จะมาปราบโกง แต่ดันโกงดินกินป่าซะเอง ....พวกคนที่อ้างตัวเองเป็นคนดีศรีสยาม ธาตุเเท้ไส้ใน ทำไมถึงได้โกงบ้านกินเมืองกันเยอะจังหนอ
ไอ้พวกควายแดง3ทู้20 มันคิดว่าเขาบนหัวมันคิดได้ ตูดมันพูดได้ คิดยังไงๆพูดเหม็นๆอะไรๆของมัน มันก็ยังได้ตังค์
แม้วโดนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองครับ อธิบายง่าย ๆ คือนักการเมืองจะมีข้อห้ามมากกว่าคนทั่วไป บางอย่างคนทั่วไปทำแล้วไม่มีความผิดอาญา แต่นักการเมืองทำแล้วผิด ที่เสื้อแดงชอบมาแถว่าทำไมคนอื่นทำเรื่องทำนองเดียวกันถึงไม่โดนแบบแม้วนั่นแหละ แล้วไอ้ที่แม้วบินไปไหนคนเขาก็ต้อนรับนั่นน่ะ คิดเหรอว่าเขาซาบซึ้งคุณงามความดีแม้ว เห็นว่าแม้วเป็นคนเก่งโดนกลั่นแกล้ง เขาต้อนรับเพราะผลประโยชน์จากแม้วทั้งนั้นแหละ ก็เหมือนแกนนำหรือพวกรับจ้างโพสต์ที่คอยดูดกินผลประโยชน์จากแม้วไม่ต่างกัน เรื่องคนดีอะไรนั่น ผมก็ไม่เห็นใครยกตนเองว่าเป็นคนดีนะ อย่างลุงกำนัน กปปส. ก็เห็น ๆ กันว่าภาพลักษณ์เทา ๆ ไม่ได้ขาวบริสุทธิ์อะไร มีแต่เสื้อแดงนั่นแหละที่คอยกระแนะกระแหน ได้ยินคำว่าคนดีแล้วร้อนเหมือนโดนน้ำมนต์สาด
ถ้าคดีโกงประเทศไหน ใครจะต้อนรับ ประเทศเค้าจะเสียเคดิสไปด้วย ปล่อยให้คนโกงลี้ภัยในประเทศ แต่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ถือความผิดทักษิณ คดีเซ็นต์ชื่อให้เมียไปประมูลที่ดิน ผัวเซ็นต์ชื่อสำเนาถูกต้องติดคุก เมียคนไปซื้อไม่ติด เค้ามองเป็น คดีการเมือง .....ส่วนตำรวจสากลที่มีอำนาจจับกุมในต่างประเทศ ไม่ก็ยอมออกหมายจับ เหตุผลที่ไม่จับ คงหาความรู้กันเองได้นะ
ก็ไม่รู้สินะ... https://th.wikipedia.org/wiki/เฟอร์ดินานด์_มาร์กอส เฟอร์ดินานด์ เอ็มมานูเอล เอดราลิน มาร์กอส (Ferdinand Emmanuel Edralin Marcos) (11 กันยายน ค.ศ. 1917 - 28 กันยายน ค.ศ. 1989) เป็นอดีตประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ เคยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965-ค.ศ. 1986 เป็นเวลาเกือบ 21 ปี และพ้นจากตำแหน่งโดยการหลบหนีออกนอกประเทศ หลังการลุกฮือของประชาชน ในปี ค.ศ. 1986 ซึ่งนำโดยนางคอราซอน อากีโน ภริยาหม้ายของนายเบนิโญ อากีโน อดีตนักการเมืองฝ่ายค้าน โดยมีสาเหตุหลักมาจาก การปกครองแบบเผด็จการ รวมถึงการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งเป็นเงินราวๆ 5-10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่โกงมากที่สุดรองจาก ซูฮาร์โต[1] เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส เสียชีวิตที่โฮโนลูลู ฮาวาย ขณะลี้ภัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก่อนเสียชีวิตกำลังถูกทางการฟิลิปปินส์ ยื่นเรื่องขออายัดทรัพย์สิน และดำเนินคดีในข้อหาใช้อิทธิพลคอรัปชั่น ในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ถือความผิดทักษิณ คดีเซ็นต์ชื่อให้เมียไปประมูลที่ดิน ผัวเซ็นต์ชื่อสำเนาถูกต้องติดคุก ก็มันผิดกฎหมายปปช. ซึ่งกฎหมายปปช.คือ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ผิดกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตจะมาหน้าด้านว่าไม่คดโกงได้อย่างไร ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับ นี้มีขึ้นมาก่อนทักษิณกระทำผิดด้วยจะมาว่ากลั่นแกล้งได้อย่างไร
จากคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงให้เห็นว่า ในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจกำกับดูแลกองทุนฯได้โดยผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามลำดับชั้น ดังนั้นองค์คณะจึงมีมติ 6 ต่อ 3 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีอำนาจกำกับควบคุมดูแลกองทุนฟื้นฟูฯ ข้อต่อสู่ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้นเพราะฉะนั้นเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อภริยาก็คือคุณหญิงพจมาน ไปทำนิติกรรมหรือทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับกองทุนฟื้นฟูฯซึ่งก็เป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลของรัฐ เพราะฉะนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1 และ 2 จึงเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมายป.ป.ช.ชัดเจน เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจเพิ่มเติม เราก็จะได้ฉายภาพกระบวนการซื้อขายที่ดินจนนำมาซึ่งการกระทำความผิดตามกฎหมายปปช. ที่ดินพิพาทในคดีนี้ กองทุนฟื้นฟูฯซื้อมาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอราวัณ ทรัสต์ จำนวน 13 โฉนด เนื้อที่ 35 ไร่เศษ มูลค่า 2,140 ล้านบาทเศษ และอีกหนึ่งแปลงซึ่งอยู่บริเวณศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มูลค่า 2,749 ล้านบาทเศษ เนื่องจากเกิดวิกฤติสถาบันการเงินปี 2538 ต่อมาปี 2544 กองทุนฟื้นฟูฯ ได้มีการปรับปรุงบัญชีเพื่อปรับมูลค่าหนี้ให้ลดน้อยลง เพื่อให้เกิดสภาพคล่อง โดยปรับลดราคาที่ดินเหลือ 700 กว่าล้านบาท แต่การที่กองทุนฟื้นฟูฯ มีทรัพย์สินจำนวนมาก หากขายได้ราคาสูงมากเท่าใด กองทุนก็ย่อมขาดทุนน้อยลง รัฐเสียหายน้อยลง ต่อมากองทุนฯ ได้นำที่ดินออกประมูลทางอินเทอร์เน็ต ตั้งราคาขั้นต่ำ 870 ล้านบาท กำหนดวางมัดจำ 10 ล้านบาท มีผู้เสนอตัวร่วมประมูล แต่ถึงเวลาไม่มีการเสนอราคาจึงยกเลิกประมูล แล้วเปิดประมูลใหม่โดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำ และเพิ่มการวางมัดจำเป็น 100 ล้านบาท อันถือได้ว่าเป็นการกีดกันทำให้มีผู้เข้าประมูลน้อยลง ในครั้งนี้จำเลยที่ 2 เข้าร่วมประมูลด้วย แม้ว่าจะมีอีก 2 บริษัท คือบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และบริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ ร่วมเสนอราคา แต่รู้ว่าต้องแข่งขันกับภริยานายกรัฐมนตรี จึงไม่กล้าสู้ราคา แม้กองทุนฟื้นฟูฯ จะเห็นว่าราคาที่จำเลยที่ 2 เสนอ 772 ล้านบาทเป็นราคาสูงสุด แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งแรกซึ่งอาจจะขายได้ราคาที่สูงและเหมาะสมกว่า อีกทั้งขณะนั้นจำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี มีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูง อีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลแล้ว นายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อ เพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง ขณะที่จำเลยที่ 2 มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้นยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้ ขั้นต้น870-772=98 บาทแล้วครับ
ลืมแปะลิงค์ http://www.tnews.co.th/html/contents/101834/ ปล.อย่าลืมอ่านที่ตัวทึบกับที่ขีดเส้นใต้ไว้นะครับ
เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเตรียมคัดสำเนาคำพิพากษาศาลอาญาที่พิพากษาลงโทษจำคุก นายแทน เทือกสุบรรณ ลูกชายนายสุเทพ ในคดีรุกที่เขาแพง อ.เกาะสมุย เสนอกรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน 14 ไร่ ส่วนความผิดเจ้าหน้าที่รัฐยังอยู่ระหว่าง ป.ป.ช.ตรวจสอบ ความคืบหน้ากรณีที่ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฏร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีร่วมกับพวกอีก 3 คน ซึ่งศาลตัดสินลงโทษจำคุก เป็นเวลา 3-5 ปี ในคดีบุกรุกที่ดินเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมกับมีคำสั่งให้พวกจำเลยทั้ง4คน รวมถึง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสี่ ออกจากที่ดินและป่าไม้บริเวณที่ดินดังกล่าว ไปเมื่อวานที่ผ่านมา (21 ก.ย.)นั้น ล่าสุดวันนี้ (22 ก.ย.) พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กรมที่ดินได้เพิกถอนที่ดินเนื้อที่ 74 ไร่ ของนายแทน ไปแล้ว แต่ที่ดินแปลงพิพาทที่มีการฟ้องร้องคดีนี้มีเนื้อที่ 14 ไร่ โดยคณะกรรมการของกรมที่ดิน ยืนยันว่า ขั้นตอนการออกเอกสารสิทธิชอบด้วยกฎหมายจึงไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ ดังนั้นเมื่อศาลอาญามีคำพิพากษาตัดสินว่านายแทนกับพวกจำเลย มีความผิดฐานร่วมกันยึดถือครอบครองป่า ดีเอสไอก็จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาส่งให้กรมที่ดินเพื่อขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินจำนวน 14 ไร่ดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ กรมที่ดินสามารถปฏิบัติได้ 2 แนวทางคือ สั่งเพิกถอนที่ดิน ตาม มาตรา 61 ประมวลกฎหมายที่ดิน โดยไม่จำเป็นต้องรอคดีสิ้นสุด หรือรอให้คดีถึงที่สุดแล้วค่อยเพิกถอน สำหรับคดีนี้เริ่มจากการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิที่ดินเขาแพง โดยกล่าวหาเจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าหน้าที่รังวัด และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ทำให้ ป.ป.ช.เริ่มตรวจสอบ ก่อนที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษใช้เวลา 1 ปี ในการสอบสวนและสรุปสำนวนมีความเห็นส่งให้อัยการยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาล จนกระทั่งศาลอาญามีคำพิพากษาดังกล่าว