ถ้าบอกว่าวิชชาธรรมกายเป็นหนึ่งในคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ได้บิดเบือนหรือคิดขึ้นมาเอง วานผู้รู้ช่วยชี้แนะว่าวิชชาธรรมกายที่วัดธรรมกายเอามาสอนโดยอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระพุทธเจ้าที่หายไปหลังพระพุทธเจ้าสวรรณคต แล้วทำไม่มีคำสอนวิชชานี้ในพระไตรปิฏกเลย ถ้ามีการค้นพบใหม่หลักฐานที่ว่าใครเป็นคนพบ พบที่ใหนเมื่อไหร่ มีอะไรเป็นตัวบ่งชี้หรือชี้ชัดว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง วานผู้รู้จากพันทิพที่ผ่านมาหรือผู้รู้นักวิชาการแดงประจำบอร์ดนี้ช่วยชี้แจงแถลงไขอธิบายให้คนด้อยปัญญาอย่างผมเข้าใจหน่อยครับ ผมสมองตีบตันมานานขอความกระจ่างด้วยครับ ด้วยความเคารพขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ผมก็ไม่ได้ร่ำเรียน อย่างละเอียดนะครับ แต่เท่าที่ได้เคยไปนั่งสมาธิ อยู่กับกัลยาณมิตร ที่อาคารแห่งหนึ่ง ผมว่า หลักการนั่งสมาธิ ของเค้าก็มีส่วนดี ในจุดที่ผมเห็นแน่ ๆ เลยคือ ความสงบ เงียบ จิตใจที่ไม่คิดอะไร (จริง ๆ แล้วยากมากเลย แต่ ณ ขณะนั้น ผมเครียดเรื่องที่ทำงานมาก ผมเลยอยากลืมทุกอย่างเลย ก็เลยทำได้แค่ครั้งเดียวจริง ๆ ) ทำให้มีสมาธิจริง ๆ แต่ผมไม่เห็นดวงแก้ว อะไรของเค้าหรอกนะ ความจริง ที่เค้าสอน เค้าคงหวังให้เราเห็นโน่น เห็นนี่ล่ะ แต่สำหรับผมนะ ถ้าแค่ได้สมาธิจริง ๆ ผมก็ถือว่าดีมากแล้วนะ อย่างน้อยเวลาที่ไม่คิดเรื่องเครียด ๆ ก็เป็นเวลาที่ผมคิดว่า สมองโปร่งดี หลังจากที่ปวดหัว กลุ้มใจกับเรื่องที่แก้ไม่ตก มาพอสมควร ได้เจอเวลาที่โล่ง ๆ บ้าง มันก็ดีที่สุดเลยล่ะ แต่ส่วนตัวผมว่า เค้าอาจมุ่งหวังอะไรลึกไปหน่อย ผมไม่ค่อยจะมองลึกไปถึงว่า จะต้องเจออะไรต่อไปนะ จริง ๆ สำหรับผมแค่ไม่ต้องคิดมาก กลุ้มใจ กับชีวิตตัวเอง หรือได้ปล่อยใจ ให้สบายใจบ้างสักชั่วโมง สองชั่วโมง ผมก็พอใจมากแล้วนะ ผมว่า นึกย้อนไปตอนนั้น ก็ต้องบอกว่า ผมชอบนะ เวลาที่ไปห้องกัลยาณมิตรนั่นอะ มันสบายใจดี อย่างน้อยเพื่อนร่วมงาน ที่ไม่ค่อยชอบกัน ก็จะ ไม่แสดงออกในทางไม่ดี เวลาอยู่ในนั้นอะ มันเหมือน อยู่อีกโลกหนึ่งนะ แต่คนเราก็ควรอยู่กับความจริง มาตอนนี้ ผมไม่เจอสภาวะนั้นแล้ว แต่ก็ยังนึกขอบคุณ ห้องกัลยาณมิตรอยู่เลย ที่ทำให้ผมผ่านตรงนั้นมาได้อะ ก็ให้เป็นเครดิต แทมมี่ ก็แล้วกัน ผมถึงจะว่าแกบ่อย ๆ แต่นึกไปถึงตอนนั้น ก็ขอบคุณแกจริง ๆ นะ แม้ว่าตอนนี้ อยากจะแนะนำแกบ้างว่า ให้ปล่อย ๆ มันไปบ้างเถอะ ความยึดติดกับ "เงินทอง" กับ "ความนับถือศรัทธา" อะ เพราะเอาเข้าจริง การนั่งสมาธิเงียบ ๆ ได้อะ ผมว่า มันมีค่ากว่านะ เพราะอย่างที่แกก็คงรู้อะ ว่าเงินทอง กับ คำพูดด้วยความนับถือศรัทธา มันคงไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดหรอก แต่ความสงบใจ ได้เวลาต้องอยู่ในสภาพทุกข์ทรมาน ไม่ว่ากายหรือใจ อันนั้นน่าจะจำเป็นที่สุด เวลาที่วาระสุดท้ายมาถึงอะ
วิชชาธรรมกายเริ่มต้นจากหลวงพ่อสดวัดปากน้ำพระมงคลเทพมุณี (ไม่ใช่สมเด็จช่วงในปัจจุบันนะครับ) ท่านค้นพบครับ แล้วก็สั่งสอนคนเรื่อยมา แต่ไม่ได้มุ่งเน้นการทำบุญบริจาคเงินตราแบบวัดธรรมกายทุกวันนี้แต่อย่างใด ส่วนวัดธรรมกายก็แยกมาจากลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำอีกทีคืออุบาสิกาจันทร์ และเป็นอาจารย์ของพระธัมชโยนั่นเอง ซึ่งลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำก็แยกไปสร้างวัดเองและสอนวิชชาธรรมกายก็มีหลายคนอยู่ครับ แต่ที่ดังสุดใหญ่สุดอื้อฉาวสุดก็วัดธรรมกายนี่แหละ วิชชาธรรมกายก็คือการทำสมาธิเหมือน ๆ กับการทำสมาธิตามแนวทางพุทธศาสนาทั่วไปนั่นแหละครับ ข้อแตกต่างก็คือการยึดถือนิมิตที่เกิดขึ้น ยืดถือว่าเป็นของจริง แต่ถ้าแนวทางพุทธศาสนาที่สอนกันมาจะบอกว่าเมื่อสมาธิเกิดในระดับนึงก็จะเห็นนิมิต เกิดปิติสุข แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดถือ เพื่อสมาธิในระดับสูงขึ้นก็ต้องปล่อยนิมิต ปิติ สุข อะไรต่าง ๆ ไปเสียอย่าไปยึดติด คำว่าธรรมกายเขาก็บอกว่ามีอยู่ในพระไตรปิฏก 3 แห่ง 4 แห่งนี่แหละครับ แต่ก็ไม่ได้เป็นรายละเอียดแบบดวงแก้ว องค์พระอะไร
วิชชา ธรรมกาย อยู่ในพระไตรปิฏกเล่มใหน? อันนี้ไม่รู้จริงๆ เพิ่งมาสนใจกรณีวัดธรรมกายช่วงนี้ล่ะ แต่หลวงปู่โล้นอินดี้ ผมเสื่อมใสท่านมานานแระ ยิ่งอึ่งทึ่งอ้วกกับวิชาฝึกสมาธิขันธมารโดยเอาขี้ราดหัวด้วย ยิ่งเสื่อมใส
ขอบคุณความเห็นเพื่อนสมาชิก ผมอยากรู้ที่มาที่ไปของวิชชานี้เกี่ยวกับเรื่องบิดเบือนหรือไม่บิดเบือนนะครับ รอฟังท่านต่อไปครับ
ผมนี่กราบท่านเลยครับ พระผู้สง่า เสียสละ และองอาจ ขอให้การงาน กิจธุระ ที่รับบัญชา มาจาก สมเด็จพระสังฆราช องค์ก่อน สำเร็จลุล่วง ด้วยดี
เรื่องจริงคือว่า หลวงปู่สด วัดปากน้ำ เป็นผู้คิดค้น แนวทางการทำสมาธิ เลยตั้งชื่อว่า ธรรมกาย แค่ชื่อครับ เหมือนหนังจีน นั่นหละครับ ฝ่ามือนั่น ฝ่ามือนี่ ส่วนธัมมชโย เรียนมาจากแม่ชี อีกที พูดง่ายๆ แม่ชีที่เคยอยู่ในวัดปากน้ำ และศึกษาจากหลวงปู่สด ถ่ายทอดให้อีกที คือไม่ได้ศึกษาโดยตรง จากหลวงปู่ท่าน อีกอย่างเป็นการทำสมาธิ เท่านั้นครับ ในวิชา ธรรมกายนี้
งั้นก็เป็นวิชชาใหม่สิครับเพราะคิดขึ้นมาใหม่ เป็นคัมภีร์เล่มใหม่เป็นพระไตรปิฏกเล่มใหม่ใช่หรือเปล่าครับ
แต่ก่อนผมเห็นมุขขำ ๆ เทียบ Nokia 3310 กับ iPhone ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเสื้อแดงจะเอามุขนี้มาใช้เป็นจริงเป็นจัง ก็อย่างว่าล่ะนะสำหรับเสื้อแดงอะไรก็เกิดขึ้นได้ จะปัญญาอ่อนยังไงก็เกิดได้ เปรียบเทียบถ้าผมไปฆ่าคน และผมให้เงินขอทาน 5 บาท ผมไม่พูดเรื่องฆ่าคน แต่ยกเรื่องให้เงิน 5 บาทแทน เทียบกับอีกคนที่ไม่เคยฆ่าคนแต่ให้เงินขอทาน 1 บาท แล้วบอกว่าผมดีกว่าอะไรแบบนี้ พูดถึงอีกเรื่องนึงนะครับ ในพุทธศาสนากล่าวว่าปกติแล้วหากทำสมาธิได้ระดับนึงจะมีอภิญญา หรือมีฤทธิ์เดชได้ ปกติแล้วการทำสมาธิไม่ได้มีแต่ในพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่ฤาษีหรือก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ก็มีมานานแล้วครับ เพราะฉะนั้นหากผึกวิชชาธรรมกายแล้วมีฤทธิ์เดช หรือหากพระธัมมชโยจะมีญาณเห็นว่าคนตายแล้วไปไหนได้จริง ๆ ก็ไม่แตกต่างจากเหล่าฤาษีชีไพรแต่อย่างใดครับ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ได้ การจะพ้นทุกข์ต้องทำวิปัชสนา มองสภาวะธรรมครับ
การทำสมาธิ คงไม่ถึงขนาดกล่าวหาว่า บิดเบือนครับ ที่ถูกกล่าวหา เป็นตัวบุคคล และสำนัก ที่ชู วิชานี้เป็นหลัก ขั้นตอน หรือ วิธีการทำสมาธิ มีอยู่ทั่วไปครับ นั่ง นอน หลับตา การกำหนดลมหายใจ การเดิน หรือแม้แต่การจ้องมองไฟ มองดิน มองฟ้า มองพระอาทิตย์ เวลาแสงอ่อน หรือยามเย็น หรือใกล้รุ่ง ซึ่ง หลายลัทธิ ก็มีแบบนี้ ที่ถูกกล่าวหา เป็นที่ตัวบุคคล และสำนักครับ เช่นการทำสมาธิอย่างเดียว เสพสุขในสมาธิ หรือการกระทำเช่นการเรี่ยไรเงิน หรือหวังสวรรค์ หวังเป็นเทวดา นางฟ้า ที่สมมุติเอง จากการถวายเงิน เงินนะครับที่ต้องการเยอะๆ ซึ่งในศาสนาพุทธไม่ได้สอนแบบนั้น
จะเหมือนที่มีคนพูดว่าวิชชาสายดำกับสายขาวหรือเปล่าครับ แต่เรื่องฤาษีผมไม่ค่อยมีความรู้แต่เห็นฤาษีบางคนก็มีเมียมีลูก
สายธรรมกายบอกว่าเป็นวิชชาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครับ แต่สูญหายหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไป แล้วหลวงพ่อสดก็ค้นพบขึ้นมาใหม่ ถ้าเราจะมองว่าสิ่งที่ไม่ได้กล่าวถึงในพระไตรปิฏกถือเป็นความเชื่อใหม่คัมภีร์ใหม่มันก็อย่างนั้นแหละครับ นอกจากนั้นความเชื่อของธรรมกายยังมีเรื่องธาตุธรรมฝ่ายขาว ธาตุธรรมฝ่ายดำต่อสู้กัน หลวงพ่อสดลงมาเกิดเพื่อปราบมารอะไรอีก ส่วนของวัดธรรมกายก็เพิ่มมาอีกว่า พระธัมมชโยเป็นพระโพธิสัตว์แบบพิเศษที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าปราบมารในอนาคต พระพุทธเจ้าทั่วไปเป็นแค่โปรดสัตว์บรรลุธรรม แต่ไม่ได้ปราบมาร
คือให้มองว่าการฝึกสมาธิก็คือการฝึกจิตอย่างนึงนั่นแหละครับ เหมือนเราออกกำลังกายเพื่อฝึกร่างกายอะไรต่าง ๆ ไม่เกี่ยวกับศาสนาอะไรใด ๆ ไม่เกี่ยวกับว่าจะถือพรมจรรย์อะไรครับ
เราต้องดูจุดประสงค์ของสำนักเขาครับ ต้องการการควบรวม 1.ทางโลก ต่างจังหวัด หรือ แม้แต่ในกรุง รร.ประถม มัธยม ถึงมหาวิทยาลัย หน่วยราชการ เอกชน จะมีสำนักนี้ แทรกซึม สอดแทรก ในรูปชมรม การทัศนศึกษา การช่วยเหลือ การบริจาค จนแม้กระทั่งแบบเรียน วิชาเรียนเสริม 2.ทางสงฆ์ คณะปกครองทุกระดับชั้น ธรรมกาย สนับสนุนอยู่
สมมุติว่าถ้าเป็นความเชื่อใหม่สำนักธรรมกายสามารถนำมาสอนรวมปนกับความเชื่อแบบพุทธเดิมๆได้ มส.และพศ.มีความเห็นว่าไม่ผิดสามารถเิาเผยแผ่ประชาชนทั่วไปได้ ในกรณีเดียวกันกับสำนักสันติอโศกทำไม่มส.และพศ.จึงตีความว่าไม่ได้ทั้งที่เป็นความเชื่อใหม่เหมือนกัน พระเหมือนกันวัดเหมือนกันแต่กลับตีความไปคนละแนวถึงขั้นขับโพธิรักษ์ออกจากความเป็นพระก็เพราะมีสาเหตุมาจากความเชื่อใหม่ หรือมส.และพศ.ก็ตัดสินด้วยความเชื่อเหมือนกันโดยไม่ใส่ใจพระธรรมวินัยเป็นหลักยึดแค่เชื่อว่าธัมชโยถูกและเชื่อว่าโพธิรักษ์ผิด
ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็โอเคแหละครับ แต่วัดธรรมกายจะลำบากเรื่องการหาสาวกใหม่ ๆ เข้ามาครับ เพราะพอเป็นคนละนิยาย คนนับถือพุทธแบบทั่วไปก็จะคิดละว่ามันไม่ใช่แบบที่เรานับถือนะก็จะไม่เข้าไปกัน คือค่อย ๆ ตะล่อม ๆ และกลืนพุทธเดิมจะสะดวกกว่าเยอะ และเพราะเหตุนี้วัดธรรมกายจึงถือเป็นภัยร้ายของพุทธศาสนาไงครับ แล้วทุกวันนี้หลาย ๆ วัดทั่วประเทศไทยก็ถือเป็นวัดสาขาของวัดธรรมกายไปแล้วด้วย
มหาเถรสมาคมทุกวันนี้เป็นคนของวัดธรรมกายไปเรียบร้อยแล้วครับ ก็เหมือนกับทักษิณที่กินรวบประเทศไทยซื้อ สส. ซื้อข้าราชการ เอาคนของตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ อะไรแบบนั้นนั่นแหละครับ
อ้างหลวงพ่อสด แล้วไม่บอกต่อล่ะว่าสุดท้ายหลวงพ่อสดก็ต้องทิ้งวิชาธรรมกาย การทำสมาธิมันก็มีในศาสนาอื่น เจ้าชายสิทธัตถะก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ฌานสมาบัติแล้วครับ
อย่าลืมนะครับ พระพุทธอิสระ ต่อสู้ลำบากยากเย็นขนาดใหน โดนแต่คำตำหนิ ติเตียน จากผู้ไม่รู้ และเข้าใจ ฝ่ายตรงข้ามมีอำนาจรัฐ แล้วท่านจะทำวิธีใหนให้ต่อสู้ ฝ่ายตรงข้ามมีโจร มีนักเลง มีมือปืน ท่านจะหาใครมาช่วยที่ไม่ใช่นักเลง ไม่ใช่โจร แต่มีปืน ฝ่ายตรงข้ามมีอำนาจกฎหมาย มีอำนาจปกครอง ท่านจะทำยังไงให้ใครมาช่วย ที่รู้กฎหมาย ที่มีอำนาจ หัวเดียวกระเทียมลีบ เดินหน้าไม่ได้หรอกครับ ต้องทำแบบท่าน ถึงจะพอสู้ได้
ถ้ามีคนเอาความเชื่อมาทำมาหากินได้อย่างไม่ผิดกฏหมายพวกขายตรงคงไม่ต้องมีคดีความแต่ตัวแปรของการบังคับใช้กฏหมายมันอยู่ที่เจ้าหน้าที่ที่ละเว้นและเลือกปฏิบัติ
ถ้าใช้กฎหมาย(พิเศษ)บังคับให้แยกได้ เหตุการจะเปลี่ยนไปทันทีครับ จัดการก็แสนง่าย ผมจึงสนับสนุนให้นายก และ คสช ใช้มาตรา 44 บังคับบัญชา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้จัดการเรื่องนี้ ไม่นาน เรียบร้อย จะทำอะไรก็จะสะดวกโยธิน ฝ่ายสนับสนุนก็ทำอะไรไม่สะดวก หรือไม่สามารถช่วยได้เลย เพราะเป็นคนละศาสนา
ข้อมูลใกล้เคียงกับที่มีผมครับ 1) ลองฟังนาที ที่ 18-20 หลวงพ่อสด "ไม่ใช่มนุษย์โง่เท่านั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็ไม่ถึงที่สุดเหมือนกัน" 2) http://group.wunjun.com/khunsamatha/topic/302081-8828 "๑. หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นต้นธาตุ เรื่องนี้รู้กันมาแต่ครั้งบุคคลที่ร่วมยุคกับหลวงพ่อแล้ว ๒. ต้นธาตุ มีลักษณะอย่างไร ข้างบนอธิบายชัดแล้ว ไม่ใช่บารมีธรรมดาแล้ว ระดับต้นธาตุบารมีมากที่สุดแล้ว ไม่ต้องมาสร้างบารมีแบบโพธิสัตว์แล้ว ๓. การมาเกิดของ ต้นธาตุ ท่านแบ่งธาตุธรรมลงมาเกิด แสดงว่าไม่ได้เกิดแบบสัตว์โลกทั่วไป แล้วจะเป็นโพธิสัตว์ได้อย่างไร ๔. ระดับต้นธาตุ ในกรณีของหลวงพ่อมีบารมี แก่ ละเอียด ใสกว่าธาตุธรรมระดับอื่นๆ แล้ว ๕. การแบ่งธาตุธรรมลงมาเกิดแปลว่า ท่านพ้นจากภพ ๓ แล้ว เพราะเป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรมที่พ้นการปรุงแต่งแล้ว เวลามาเกิดเพื่อทำกิจของต้นธาตุ ท่านเพียงแบ่งธาตุธรรมมาเกิดเท่านั้น" โดยสรุป คือ - พระพุทธโคดม มีบารมีแค่ สอนสั่งคน แต่ ปราบมารไม่ได้ - หลวงพ่อสด แยกจากจากต้นธรรม ต้นธาตุ (พระพุทธเจ้า ที่มีบารมีมากที่สุด แต่ไม่ใช่องค์แรก เป็น ผู้ปกครอง อายตนะนิพพาน) ลงมาเพื่อปราบมาร เพื่อเปลี่ยนผังชีิวิตคน ให้พ้นจากอำนาจมาร -
ฝ่ายธรรมกายเป็น อลัชชีและเดียรถีร์ ครบตามสูตร คือเป็นผู้หน้าด้าน และเป็นผู้ข้ามน้ำผิดท่า (มีความหมายถึงผู้ตั้งต้นดี ตั้งใจจะทำดีแต่ระหว่างทางปฎิบัติกลับหลงไหลในลาภสักการะที่เข้ามาจึงทำให้ไขว้เขวออกนอกลู่นอกทางไป) ที่กล่าวว่าหน้าด้าน เพราะกล่าวตู่ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่รู้จบรู้สิ้น กล่าวยกตัวเองเป็นผู้สูงกว่าศาสดาของตน เรียกว่าเต็มไปด้วยโมหะ เต็มไปด้วยคูถ เต็มไปด้วยอาจม ที่ว่าข้ามน้ำผิดท่า เพราะลำพังการทำสมถะกรรมฐานแบบใดๆก็ตาม จะยุบพอง เพ่งกสิณ เพ่งลูกแก้ว ฯลฯ ถ้ามีสมาธิเกิดขึ้นพอประมาณ แม้เพียงเข้าถึงวิตกวิจารณ์ปีติสุข อาจเพียงเห็นเอกคตาแวบๆ ก็นับว่าเป็นกุศลแล้ว นับว่าได้บุญแล้ว เพราะขณะนั้นจิตว่างจากกิเลส จึงเป็นบุญอัตโนมัติ แต่นี่กลับหลงในนิมิตบ้าง หลงในลาภยศสักการะบ้าง จนทำให้ผิดเพี้ยนออกนอกลู่ทาง ไม่มีทางกู่กลับได้ ที่น่าสมเพชเวทนาก็คือ เหล่าสาวกธรรมกายที่ซื่อสัตย์ หรือผู้มีจิตตรง มีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ เมื่อทำความเพียรทำสมาธิ สมาธิย่อมเกิดแก่คนเหล่านั้น แต่จากที่ดูสมีไชยบูลย์แล้ว กล้าพูดได้เต็มปากว่า ไม่เคยเข้าถึงสมาธิ ไม่เคยสัมผัส ฌาน และ/หรือญาณ มานานแสนนานแล้ว เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ความหลอกมีแต่ความหลง มีแต่กลัวว่าตนจะดูไม่สวย ไม่งาม ไม่ดูบริสุทธิ์ ถึงจะเมคอัพเท่าไรจิตก็ยิ่งเศร้าหมองและเน่าในมากขึ้นเท่านั้น เหล่าสาวกผู้ซื่อตรงจึงมีโอกาสสร้างบุญกุศลเล็กๆ มากกว่าตัวอลัชชีเองเสียด้วยซ้ำ นี่เรียกว่าน่าสมเพช เรียกว่าเน่าใน พระธรรมของพระพุทธเจ้า จริงตรงทุกประการ เมื่อเธอผู้ใดปฏิบัติไม่ว่าเดียรถีร์หรืออลัชชีสอน ถ้าลอกคำพระพุทธเจ้าไปบอก ย่อมบังเกิดผลขึ้นจริงตามนั้น ที่ไม่จริงคือหลังจากนั้นต่างหากเพราะผลของการปฏิบัติโดยตั้งจิตผิดทาง ปลายทางย่อมผิดย่อมบิดเบือนไปด้วย ผลที่ได้จากการบิดเบือนพระธรรม ทำให้ผู้คนวนอยู่ในความหลงมากยิ่งขึ้น กรรมที่อลัชชีไชยบูลย์ทำจึงเป็นกรรมหนัก ไม่อาจเยียวยาไม่อาจแก้ไข มีนรกเป็นที่อยู่และเป็นที่ไปแน่นอน ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คนเข้าไปธรรมกายแล้วจะพบว่าตัวเองทำสมาธิได้ เพราะที่ธรรมกายมีการสอนทำสมาธิ และมีการสะกดจิตกลายๆไปในตัวด้วย พิสูจน์ง่าย คือนั่งสมาธิที่วัดจะดีกว่าที่บ้าน เพราะที่บ้านไม่มีคนคอยบอกบทสะกดจิตไปด้วย ลองถามสาวกทุกคนดูจะพูดแบบเดียวกัน เฉพาะเรื่องนี้ก็ต่างจากพระธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างเรียกว่า ขี้ดินกับยอดเจดีย์เลยทีเดียว จิตที่หลุดพ้น ต้องอยู่สูงกว่าจิตที่ทำสมาธิง่อยๆง่ายๆนี้ อย่างเรียกว่าเทียบไม่ได้ ถ้าแค่ทำสมาธิที่บ้านยังไม่ได้ต้องคอยฟังบทสะกดจิตกำกับ ย่อมไม่มีวันมองเห็นธรรมอันแท้ที่ถูกอวิชชาครอบอยู่ได้ สุดท้าย คำว่า "ธรรมกาย" มีในพระไตรปิฎก แต่ไม่ได้หมายถึงวิธีนั่งดูลูกแก้วในท้องตัวเองแบบนี้ คำว่าธรรมกาย ไม่ใช่ชื่อเรียกวิชา แต่เรียกกายละเอียดของผู้ปฏิบัติธรรม การเห็นกายละเอียดของตนไม่ใช่วิธีนั่งนึกเอา เค้นเอาจินตนาการเอาอย่างที่ธรรมกายสอน ถามผู้มีปัญญาลองตรองดู ในเมื่อเธอนั่งสมาธิ กำหนดนิมิตขึ้นมาในตัวเอง จนเห็นนิมิตนั้นแล้ว นิมิตนั้นเธอย่อมเป็นผู้นึกขึ้น คิดขึ้น ยกขึ้นมา แล้วจะให้ยึดถือนิมิตที่ตัวเองคิดขึ้น นึกขึ้น ว่าเป็นกายละเอียด ว่าเป็นของสูง ว่าเป็นธรรมได้ยังไง แบบนี้มันก็ง่ายเหมือนกับส่องกระจกแล้วก็บอกกับตัวเองซ้ำๆว่าฉันดี ฉันงาม ฉันสูงส่งและฉันจะไปสู่สวรรค์แน่ๆ ฉะนั้น นี่เป็นเรื่องมืดบอดของผู้มีแต่ศรัทธาเท่านั้นแต่ไม่เคยใช้ปัญญาพิจารณาดู วิธีการกำหนดนิมิตนั้น มีในสมถะกรรมฐานหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่นกสิณต่างๆ เช่นกสิณไฟ วิธีฝึกกสิณไฟเพื่อกำลังสมาธิและฤทธิ์ เล่าอย่างหยาบ คือ จุดเทียน 1 เล่ม นั่งห่างจากเทียนนั้น 1ศอกกับคืบ จ้องเปลวไฟนั้น และสลับกับหลับตา จะเห็นภาพติดตาสั้นๆ (สั้นๆมากๆ) แล้วก็ลืมตาใหม่จ้องเปลวไฟต่อไป คอยฝึกสลับกับการจ้อง การหลับตา จนจิตค่อยๆมีกำลัง บังคับให้ภาพเปลวไฟนั้น มองเห็นติดตาได้แม้หลับตาแล้ว จนเมื่อหลับตาแล้ว ยังคงเห็นไฟอยู่ นี้เรียกว่าขั้นที่ 1 ถัดจากนั้น จ้องเปลวไฟ และแท่งเทียน จนเมื่อลืมตาระดับความสั้นยาวของเทียนภายนอกกับเทียนที่เห็นภายในตา สั้นยาวเสมอกัน นี่เรียกว่า 2 ถัดจากนั้น ปักเทียน 2 เล่ม จุดไฟเล่มหนึ่ง จากนั้นจ้องจนติดตา หลับตาแล้วย้ายไฟที่เห็นในตาจากแท่งหนึ่งไปยังอีกแท่งหนึ่ง เมื่อลืมตาแล้ว ไฟที่แท่งเทียนสลับที่กันจริง นี่เรียกว่า 3 ถัดจากนั้น ปักเทียนเปล่า จ้องจนติดตา หลับตาแล้วจุดไฟขึ้นมาเองในตา เมื่อลืมตาแล้วเทียนติด ที่เรียกว่า 4 ขั้นสุดท้าย ถือเทียนไว้ จ้องเทียนแล้วไฟลุกขึ้นมาเอง นี่แค่ตัวอย่างการฝึกกำลังสมาธิแบบสมถะเพื่ออิทธิวิธี หลายๆคนฝึกเป็นสิบยี่สิบปี ก็เป็นการฝึกให้เห็นนิมิตและใช้นิมิตนั้นให้เป็นประโยชน์ในการรวมกำลังสมาธิ ถ้าเดินไปทางสมถะเพื่อกำลังสมาธิและอิทธิวิธี ก็ไปทางหนึ่ง แต่ถ้าการฝึกสมาธิโดยอาศัยนิมิตนั้นในทางปฏิบัติเพื่อความเจริญงอกงามของจิตเพื่อความบริสุทธิ์ของจิต(วิปัสสนา) เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วต้อง "ทิ้งนิมิต" นั่นไปเสีย เพราะนิมิตเป็นสิ่งสมมุติที่จิตสร้างขึ้น ใช้อาศัยชั่วคราวเพื่อกำหนดให้จิตรวมเป็นสมาธิ เมื่อได้สมาธิแล้วต้องทิ้งนิมิตนั้นไป ไม่ใช่ไปหลงไหลในนิมิตซึ่งตัวเองสร้างขึ้น ถ้ามัวแต่หลงสิ่งที่ตัวสร้าง จะพบ"ความจริงแท้" ได้ยังไง การฝึกกรรมฐานทั้งสมถะและวิปัสสนา ควรฝึกควบคู่กันไป เมื่อจิตมีกำลังสมาธิจนถึงระดับแยกจิตออกจากกายหยาบได้แล้ว (ไปทางสมถะ) หากจะไปต่อจนสุดทางก็ต้องยกจิตขั้นสุดท้าย เพื่อข้ามพ้นโครตปุถุชนไปเป็นอริยะบุคคล กายละเอียดที่สุดขั้นสุดท้ายนั้นมีชื่อเรียกว่า "ธรรมกาย" แค่เพียงตัวอย่างนี้จะเห็นว่าแตกต่างจากลัทธิของสมีไชยบูลย์มากจนเทียบเคียงกันไม่ได้ เอาคำสูงมาใช้แต่ถูกไปแปดเปื้อนความชั่วหยาบของลัทธิ โป้งรวย โป้งรวย ซึ่งกำลังจะเป็น โป้งคุกรอมร่อ ผู้เน่าใน ย่อมเน่าใน โกหกหน้าด้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปล่อยให้ลูกน้องออกมาติดคุกติดร่างแหไปด้วย คนแล้วคนเล่า บางคนถูกยึดรถ บางคนติดคดี บางคนต้องหนีไปต่างประเทศ ส่วนเจ้าลัทธิก็นอนเน่าในอยู่ในวัด หดหัวหดหาง ดูแล้วชวนสมเพช ชวนทุเรศในคำอ้างว่าเป็นต้นธาตุต้นธรรมนัก แค่ศีล 5 มันยังไม่มี อลัชชีแบบนี้เน่าในตายในคุกตัวเองมานานแล้วครับ ขอบคุณครับ
ผมไม่ได้เห็นต่างหรือคิดแย้งนะครับแต่พูดด้วยความรู้สึกแบบดิบๆความเข้าใจของผมเรื่องต้นธาตุเป็นแค่คำกล่าวอ้างพูดต่อๆกันไปจากปากต่อปากไม่อยากใช้คำว่ามโนเพราะมันเป็นความเชื่อแล้วยังกล่าวอ้างเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้าเหมือนกับจะบอกกลายว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่กำลังจะมาหรือมาแล้วตอนนี้ สำหรับผมการสร้างวัดมากๆบวชพระได้เยอะเป็นหมื่นเป็นแสนยังไม่บรรลุจนได้เป็นถึงพระพุทธเจ้าได้หรอก
ให้เข้าใจแบบนี้ครับ สมัยโบราณ ผมยกเอา สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ลัทธิ สำนัก อาจารย์ ต่างๆ มีมากมาย เป็น พัน เป็น หมื่น ทีนี้ปัญหาคือว่า สำนักของตน ไม่ค่อยได้รับ อุดหนุน ข้าวน้ำ ที่เพียงพอ เพราะ ศาสนาพุทธ คนศรัทธมากกว่า และไม่ค่อยเหลียวแล สำนักเหล่านนั้น คนเหล่านั้น ก็แก้ปัญหาปากท้อง ของตน โดยสวมรอย เข้ามาบวช ในศาสนา บางคนก็เข้ามา แล้วดำเนินรอยตามคำสอน แต่บางพวก ก็เอาคำสอนของตนติดมาด้วย(เนื่องจากเป็นเจ้าสำนักมาก่อน)มาสอนสั่ง ญาติโยม ปัญหาเลยเกิดขึ้น สงฆ์แตกแยกวุ่นวาย ผมจำได้ลางๆว่า น่าจะเป็นเหตุการสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นี่หละครับ พระมีรูปเดียวที่ต่อสู้ ยึดมั่นในพระธรรมวินัย กับพระทั้งเมืองเลยนะครับ พระองค์นั้น ก็กรณีคล้ายๆกัน กับพระพุทธอิสระ วิธีการก็โดยอาศัยผู้มีอำนาจ คือพระเจ้าอโศกมหาราช จนมีการสังคายนา พระไตรปิฎก พระธรรมวินัยขึ้น
ขายตรง ขายตรง ขายตรง ทีแรกผมก็ไม่รู้ กับ คำกล่าวหานี้นะ ดูเหมือน บริษัท ทำมาค้าขาย การจะว่าพระ พันรูป หมื่นรูป เดิน ขอรับบริจาค เรี่ยไร อันนี้เรียกได้แล้วหรือ ก็เลยไปหาอ่านดู โห คุณ ก็ถูกนะครับ ถ้ามีการโทรตามจิก ตาม ทวง ให้มาทำบุญ ประมาณว่า เข้าไปวัดแล้ว คนผู้มีฐานะหน่อย และมีปัญญาบ้าง อาจจะชั่งใจ จะบริจาคดีมั้ยนี่ คงมีหน้าม้าเข้ามาสอบถาม อาจจะสังเกตุจากการแต่งกาย และลัษณะราศรี มีการขอเบอร์โทร นี่นั่น คุณกันเพลิน แล้วก็คงกลับไปบ้าน ก็คงจะโทรมา ว่าที่ท่านจะทำบุญ สร้างวัดเท่านั้นเท่านี้ ใหนว่าท่านคุยแล้ว อะไรประมาณนี้ แล้วก็โน้มน้าวกัน
ทำไมวัดป่าบางวัดไม่เน้นสิ่งปลูกสร้างถาวรวัตถุแบบอลังการแต่กลับมีลูกศิษย์ลูกหามากมายเพราะเน้นแต่หลักแต่แก่นล้วนๆไม่เน้นเปลือก ถ้าถามว่าพระดีๆยังมีไม๊ผมเชื่อว่ามีแค่เราต้องดูต้องเลือกคนที่จะมาเป็นครูบาอาจารย์ เราจะเลือกว่าเราจะกราบครูเราที่เปลือกอันสวยงามแต่ข้างในแสนจะกลวงหรือจะกราบครูที่มีแต่แก่นซ้อนธรรมไว้ข้างใน ของปลอมเยอะมากถ้าแยกแยะไม่ออก
คือตอนที่ท่านฯ ไปพบกับ สตีฟ จ๊อบ เทพเจ้าแห่งการค้นพบ ท่านจ๊อบ ได้มอบ คัมภีร์พระไตรปิฏกของแท้ แบบแท้ยิ่งกว่าแท้ ให้กับ ท่านฯ คับ