วานปราชญ์ในสภากาแฟอธิบายที สองเรื่องนี้ทำไมตัดสินไม่เหมือนกัน อันหนึ่งรอลงอาญา อีกอันไม่รอลงอาญา พิจารณาจากเหตุผลอะไร??
ศาลเดียวกันป่ะ... ศาลฎีกาสั่งจำคุก"จตุพร"6เดือน รอลงอาญา2ปี คดีหมิ่น"อภิสิทธิ์" http://www.now26.tv/view/78790/ศาลฎีกาสั่งจำคุก-จตุพร-6เดือน-รอลงอาญา2ปีคดีหมิ่น-อภิสิทธิ์.html
เจ้าหมอนี่อาจจะเป็น3ทู้20 ตัวลูก พูดเป็นกว่าตัวพ่อ ดูท่าไม่โง่เท่าตัวพ่อ เจ้าตัวโง่กว่านั่นแปะอย่างเดียว ประสาควายแดง
จำคุก 1ปี ไม่รอลงอาญา'พร้อมพงศ์-เกียรติอุดม'หมิ่นอดีต ปธ.ศาล รธน. - thairath . ด่วน!!จำคุก"สุเทพ เทือกสุบรรณ" หมิ่น"นพ.พรหมินทร์" รอลงอาญา - VoiceTV เข้าเรื่องๆ เดี๋ยวจะเสียชื่อ ปราชญ์แห่งสภากาแฟกันหมด อันหนึ่งรอลงอาญา อีกอันไม่รอลงอาญา พิจารณาจากเหตุผลอะไร??
มันก็อยู่ที่องค์ประกอบของการกระทำความผิดอะครับตัวอย่างเช่น คำพิพากษา 4883/2553 กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา43,157 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ย่อสั้น: แม้จำเลยจะขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูง แต่จำเลยขับรถในทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง ส่วน ส. มิได้จอดรถเพื่อรถกลับรถในช่องกลับรถอย่างในภาวะปกติธรรมดา หากแต่เป็นเพราะรถที่ ส. ขับเกิดเสียการทรางตัวแล้วหมุนเข้าไปในทางเดินรถของจำเลยและขวางรถที่จำเลยขับในระยะกระชั้นชิด ในภาวะเช่นนั้นไม่ว่าจำเลยจะขับมาในลักษณะเช่นใดจำเลยย่อมไม่อาจจะหลบหลีกเพื่อมิให้ชนกับรถที่ ส. ขับได้ ดังนั้น การที่จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูงและไม่ขับให้อยู่ในช่องเดินรถด้านซ้ายจึงมิใช่เป็นผลโดยตรงที่ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกันจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ย่อยาว: โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา นายพฤตินัยบุตรของนายสังคมกับนางสมพิศผู้ตายและนางพรทิพย์มารดาของเด็กชายธนูดมผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการมาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายสังคมขับรถยนต์ไปตามถนนสายเอเชียขาเข้าจากจังหวัดชัยนาทมุ่งหน้าจังหวัดสิงห์บุรีมีนางสมพิศเด็กหญิงเกตุกวีและเด็กชายธนูดมโดยสารอยู่ในรถ ส่วนจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงไปตามถนนสายเอเชียขาขึ้นจากจังหวัดสิงห์บุรีมุ่งหน้าไปยังจังหวัดชัยนาทโดยมีเกาะกลางกั้นถนนทั้งสองฝั่ง เมื่อถึงที่เกิดเหตุระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 149 ถึง 150 รถที่นายสังคมขับเสียการทรงตัวหมุนผ่านบริเวณช่องกลับรถเข้าไปในทางเดินรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิดด้วยความประมาทของนายสังคมเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันอย่างแรงแล้วเกิดไปลุกไหม้และตกลงไปข้างถนนด้านซ้าย ทำให้นายสังคม นางสมพิศ เด็กหญิงเกตุกวีและเด็กชายธนูดมถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีส่วนประมาทด้วยหรือไม่ พยานโจทก์มีพันตำรวจโทอนุศักดิ์พนักงานสอบสวนเบิกความว่า พยานไปตรวจที่เกิดเหตุและพบจำเลยซึ่งให้การว่ารถยนต์เก๋งหมุนมาจากทิศใดไม่ทราบ จากการตรวจที่เกิดเหตุพบจุดชนและรอยครูดจากจุดชนไปถึงจุดที่รถยนต์ทั้งสองคันตกไปข้างถนนมีระยะทาง 70 เมตร พยานแจ้งข้อหาและสอบสวนจำเลย เห็นว่า พันตำรวจโทอนุศักดิ์เป็นพนักงานสอบสวนซึ่งพบเห็นสถานที่เกิดเหตุมาด้วยตนเองและไม่มีส่วนได้เสียกับทั้งสองฝ่าย คำเบิกความของพันตำรวจโทอนุศักดิ์จึงมีน้ำหนักในการรับฟัง ส่วนข้อที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยขับรถยนต์ด้วยความเร็วประมาณ 50 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ไม่ตรงกับที่จำเลยเคยให้การในชั้นสอบสวนว่า ขับรถยนต์ด้วยความเร็วประมาณ 70 ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคำเบิกความของจำเลยจึงไม่น่าเชื่อ ประกอบกับลักษณะของการเฉี่ยวชนที่มีความรุนแรงและเกิดความเสียหายอย่างมากตามภาพถ่าย มีเหตุผลให้น่าเชื่อว่าจำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูง แต่อย่างไรก็ตามจำเลยขับรถในทางเดินรถของตนโดยถูกต้อง ส่วนนายสังคมมิได้จอดรถเพื่อรอกลับรถในช่องกลับรถอย่างในภาวะปกติธรรมดา หากแต่เป็นเพราะรถที่นายสังคมขับเกิดเสียการทรงตัวแล้วหมุนเข้าไปในทางเดินรถของจำเลยและขวางรถที่จำเลยขับในระยะกระชั้นชิด ในภาวะเช่นนั้นไม่ว่าจำเลยจะขับมาในลักษณะเช่นใดจำเลยย่อมไม่อาจที่จะหลบหลีกเพื่อมิให้ชนกับรถที่นายสังคมขับได้ ดังนั้น การที่จำเลยขับรถบรรทุกสิบล้อและรถพ่วงด้วยความเร็วสูงและไม่ขับให้อยู่ในช่องเดินรถด้านซ้ายจึงมิใช่เป็นผลโดยตรงที่ทำให้เกิดการเฉี่ยวชนกันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า จำเลยมีส่วนประมาทด้วยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฎีกาของจำเลยฟังขั้น" พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
กับอีฎีกาหนึ่งปีเดียวกะนะ คำพิพากษา 2869/2553 กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา2530195225 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59291 ย่อสั้น: ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะแซงรถจักรยานยนต์ของ ป. ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของผู้ตาย ขณะเดียวกันผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยประมาณ 50 เซนติเมตร เป็นเหตุให้รถชนกันเช่นนี้ จำเลยจึงขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้ ผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย สำหรับความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) มารดาของผู้ตายย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ย่อยาว: โจกท์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 47, 157 จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณานางวินัย มารดาของนายบัวลอย ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 47 วรรคหนึ่ง, 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ป-5687 กำแพงเพชร ไปตามถนนสายกำแพงเพชร - ท่ามะเขือ จากทางบ้านท่ามะเขือมุ่งหน้าไปทางด้านอำเภอเมืองกำแพงเพชร เมื่อถึงที่เกิดเหตุระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 12 ถึง 13 หมู่ที่ 5 ตำบลเทพนคร อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ชนกับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กำแพงเพชร น-4335 ซึ่งนายบัวลอย ผู้ตาย ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายและผู้ตายถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของจำเลยหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาสรุปได้ว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ตายฝ่ายเดียว เห็นว่า โจทก์มีนายประสาร และนางยุพา เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า นายประสาร และนางยุพาเป็นสามีภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกา นายประสารขับรถจักรยานยนต์มีนางยุพาซ้อนท้ายมุ่งหน้าไปทางจังหวัดกำแพงเพชร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีรถยนต์กระบะสีแดงขับแซงขึ้นไปทางขวา บางส่วนของรถยนต์กระบะคันดังกล่าวล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไป ขณะเดียวกันในช่องเดินรถสวนมีรถจักรยานยนต์คันหนึ่งแล่นสวนทางมา เมื่อรถยนต์กระบะแซงไปได้ประมาณ 20 เมตร ได้ยินเสียงดังโครมเหมือนรถชนกัน นายประสารจึงชะลอรถชิดขอบทางด้านซ้ายแล้วจอดรถ ขณะนั้นมีรถยนต์กระบะคันหนึ่งแล่นตามหลังรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมาทิ้งช่วงห่างกันไม่มากนัก รถยนต์กระบะคันดังกล่าวได้หักหลบเลี้ยวเข้ามาในช่องเดินรถของนายประสารอ้อมรถยนต์กระบะสีแดงแล้วผ่านเลยไป คำเบิกความของนายประสารและนางยุพาดังกล่าว สอดคล้องกับสภาพของรถยนต์กระบะของจำเลยและสภาพศพผู้ตายหลังเกิดเหตุ ซึ่งพันตำรวจตรีไพฑูรย์ พนักงานสอบสวนออกไปตรวจที่เกิดเหตุและถ่ายรูปไว้ทันทีหลังจากได้รบแจ้งเหตุใหม่ๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีคนเลื่อนย้ายรถยนต์กระบะของจำเลย ตามคำเบิกความของจำเลยแต่อย่างใด เพราะรถยนต์กระบะที่แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้ตายมาในระยะใกล้ชิดขับอ้อมไปทางช่องทางเดินรถของนายประสาร เมื่อพิจารณาสภาพความเสียหายของรถยนต์กระบะของจำเลย ปรากฏว่ารถยนต์กระบะของจำเลยได้รับความเสียหายค่อนไปทางด้านหน้าซ้ายของรถยนต์ แสดงให้เห็นว่ารถยนต์กระบะของจำเลยขับล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถสวนจริงตามคำเบิกความของนายประสารและนางยุพา เพราะหากผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ล้ำเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยเพียงฝ่ายเดียวแล้ว น่าจะชนทางด้านขวาของรถยนต์กระบะของจำเลยเสียมากกว่า เพราะเป็นส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุด แม้ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุของพันตำรวจตรีไพฑูรย์พนักงานสอบสวน พบคราบน้ำมันอยู่เลยเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนไปทางช่องเดินรถของจำเลยประมาณ 50 เซนติเมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นจุดชนอันหมายถึงผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยด้วยนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุรถชนกันเกิดจากผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยฝ่ายเดียว เพราะจำเลยก็เป็นฝ่ายขับรถแซงขึ้นไปในช่องเดินรถของผู้ตายเช่นเดียวกัน ดังนั้น พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์กระบะแซงรถจักรยานยนต์ของนายประสารล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของผู้ตาย ขณะเดียวกันผู้ตายก็ขับรถจักรยานยนต์ล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนเข้าไปในช่องเดินรถของจำเลยประมาณ 50 เซนติเมตร เป้ฯเหตุให้รถชนกันเช่นนี้ จำเลยจึงขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้ผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
แบบนี้หรอ... ยืนยกฟ้อง!'จตุพร'ไม่ได้หมิ่น'รสนา' http://www.komchadluek.net/news/politic/197062 ยกฟ้อง 'จตุพร' หมิ่น 'อภิสิทธิ์' สั่งฆ่าประชาชน http://www.thairath.co.th/content/471389 พิพากษายืนยกฟ้อง"ณัฐวุฒิ"หมิ่นประมาท"ปฐมพงษ์" http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9540000014859 ศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง "นพดล ปัทมะ" ไม่ผิดม.157 ปมเอื้อเขมรขึ้นทะเบียนพระวิหาร http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1441355198
แมร่งไม่อ่านอะไรเลย รีบโพสต์เพราะหิวตังแค่ 20 มรึงจำได้มั้ย ฝ่ายแดงบางตัวน่ะ เค้าตัดสินให้รอลงอาญา ทนายเสื้อแดงฝ่ายมรึง ยุให้อุทธรณ์ จนติดคุก อับอายขายขี้หน้ามาแล้ว คงไม่ต้องบอกนะว่าใคร
แล้วไอ้ฝ่ายจานรองขี้หมากรูจะตายทีวีและพรรคพวก มีใครติดคุกบ้างหรือยัง มีแต่ฝั่งตรงข้ามติดคุกแล้วทั้งนั้น
ถึงว่าที่เหลือรอดคุก ก็พวก 3ทู้20 เยอะจัง ถึงว่า ใครติดคุกช่างแม่น ตัดส่วนแบ่งไป ยิ่งขี้แห้งแล้งน้ำเลี้ยงอยู่ยุคนี้
นี่ถ้าศาลอุทธรณ์ตัดสินไม่เหมือนศาลชั้นต้น นายเวรก็คงจะมาบอกเหมือนกันปะครับว่าทำไมตัดสินไม่เหมือนกัน ทั้งที่คดีเดียวกันเป๊ะ ๆ
ไอน์สไตน์บอกว่ามีอยู่สองสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือจักรวาลกับความโง่ของมนุษย์ เสียดายตอนนั้นนายเวรยังไม่เกิด ไม่งั้นต้องไปโผล่ในคำคมไอน์สไตน์แน่เลย
ไอ้ตู่มันไปยืนป้ายสี อภิสิทธิ์ กลาวเวทีปราศรัยควายแดง จนควายแดงโกรธแค้น ถึงกับตามฆ่าอภิสิทธิ์ แล้วยังออกการดีอกดีใจตอนมาร์คหนีตายที่กระทรวงมหาดไทย กับที่ชลบุรี กับใส่ความคนอื่นหลายครั้งหลายครา จนติดเป็นสันดาน ผมว่า 2 ปี ยังน้อยไปด้วยซ้ำ
มือดีฯ รู้ป่ะ จตุพร ถูกอภิสิทธิ์ฟ้องหมิ่นประมาทไว้กี่คดีแล้ว คดีอะไรบ้างที่ไม่รอลงอาญา และคดีอะไรบ้าง ที่รอลงอาญา ศาลฎีกาสั่งพิพากษาคุก"จตุพร"6เดือนคดีหมิ่น"อภิสิทธิ์"ตีตนเสมอเจ้า-รอลงอาญา2ปี ศาลฎีกา พลิกกลับคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ สั่งลงโทษจำคุก "จตุพร พรหมพันธุ์" 6 เดือน คดีหมิ่นประมาท "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ตีตนเสมอเจ้า โดยโทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (2 มิ.ย.59 ) ที่ ศาลอาญา รัชดา องค์คณะศาลฎีกาได้ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษา ในคดีดำหมายเลข อ.404/2552 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็น โจทย์ ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จากคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาท 6 กรณี 4 สำนวน กรณีหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา 326, 328, 332 โดยศาล มีคำให้พิพากษาจำคุก นายจตุพร เป็นเวลา 6 เดือน ปรับ 5 หมื่นบาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยรับโทษมาก่อน โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี รวมทั้ง ให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ เอเอสทีวี-ผู้จัดการรายวัน และ มติชน เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 13 ม.ค.52 จำเลยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยนำภาพโจทก์ขณะเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้นั่งเก้าอี้เสมอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งการกระทำของจำเลยมีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ว่าไม่ถวายความเคารพต่อองค์พระมหากษัตริย์ในขณะเข้าเฝ้าฯ ที่ประชาชนพึงปฏิบัติ และทำตัวตีเสมอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอดีตที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏว่ามีนายกรัฐมนตรีคนใดเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยนั่งเก้าอี้ลักษณะเช่นเดียวกับโจทก์...... http://deep.tnews.co.th/contents/191226/ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน สั่งจำคุก “จตุพร” 2ปี ไม่รอลงอาญา ปราศรัย หมิ่น “อภิสิทธิ์” สั่งฆ่าประชาชน ศาลอุทธรณ์ยืน สั่งจำคุก 2 ปี ไม่รออาญา ‘จตุพร’ หมิ่น ‘อภิสิทธิ์’ กล่าวหาสั่งฆ่า – ทนายเตรียมหลักทรัพย์ขอประกันตัว วันที่ 10 มิ.ย.59 ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีเมื่อวันที่ 11 และ 17 ตุลาคม 2552 นายจตุพร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคนสั่งฆ่าประชาชนและขัดขวางการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ติชมเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก นายจตุพร ฐานหมิ่นประมาท รวม 2 กระทง กระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน..... http://news.mthai.com/hot-news/politics-news/499955.html ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ส่วนคดีของ 3 พิธีกร รอลงอาญา กล่าวหา ว.5 โฟร์ซีซั่น "ศาลอุทธรณ์" พิพากษายืน รอลงอาญา 2 ปี 3 พิธีกรสายล่อฟ้า คดี ว.5 โฟร์ซีซั่น ชี้ แม้ถ้อยคำจะหมิ่น แต่เจตนาดีตั้งคำถามให้ตรวจสอบ จึงรอลงโทษ ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 20 ก.ย.59 เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี หมายเลขดำ อ.630/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมกัน เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ , นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และนายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งดำเนินรายการ “ สายล่อฟ้า ” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา และดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 , 326 , 328 และ 332 ตามฟ้องอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 17 มี.ค.57 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ.55 และ 15 ก.พ.55 จำเลยทั้งสาม ร่วมกันจัดรายการ “ สายล่อฟ้า ” ที่ออกอากาศผ่านดาวเทียมบลูสกาย มีเนื้อหาใส่ความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ที่เป็นผู้เสียหาย ทำนองว่า โดดภารกิจการประชุมของรัฐสภา และน่าจะกระทำภารกิจ ว.5 ที่โรงแรมโฟรซีซั่นส์ ซึ่งเป็นความประพฤติที่ผิดจริยธรรมในฐานะสตีเพศที่เป็นภรรยาของสามี นอกจากนี้ยังมีภาพประกอบนำเสนอในรายการด้วย ซึ่งข้อความดังกล่าวน่าจะทำให้ผู้เสียหาย ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป โดยเป็นการทำให้ผู้เสียหาย ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ในฐานะประมุขของฝ่ายบริหารได้รับความอับอาย และเป็นการทำลายเกียรติของผู้เสียหายในฐานะนายกรัฐมนตรี อันเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และในฐานะส่วนตัวที่เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ชั้นพิจารณาของศาล จำเลยทั้งสาม ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยศาลชั้นตนมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 27 ส.ค.58 เห็นว่า การกระทำของจำเลย เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 ให้จำคุกจำเลยทั้งสาม คนละ 1 ปี ปรับคนละ 50,000 บาท แต่พิจารณาแล้วจำเลยทั้งสาม ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงเห็นควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้จำเลยทั้งสาม ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาย่อ ในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับ 7 วันติดต่อกัน ขณะที่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์ ซึ่งวันนี้ นายชวนนท์ , นายเทพไท และนายศิริโชค จำเลยที่ 1-3 เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โจทก์ร่วม มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลสาธารณะที่สามารถจะตรวจสอบได้ภายใต้กฎหมาย หากการตรวจสอบกระทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลที่เกิดและเผยแพร่ไปยังสื่อมวลชน ย่อมทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย และอาจส่งผลสร้างความเสียหายไปถึงกระบวนการยุติธรรมได้ โดยการจัดรายการของจำเลยทั้งสามมีการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายพิเศษซึ่งจากหลักฐานที่โจทก์ร่วมนำสืบเห็นว่า ถ้อยคำของจำเลยทั้งสาม ทำให้คนทั่วไปเห็นว่าโจทก์ กระทำการที่ไม่เหมาะสมทางเพศ ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คำฟ้องโจทก์เป็นการนำข้อความของจำเลยคนละช่วงในการจัดรายการมาปะปนกัน และเป็นการคาดคะเนของโจทก์ร่วมเอง ศาลเห็นว่า การฟ้องโจทก์จำเป็นต้องนำข้อความในส่วนที่มีลักษณะหมิ่นประมาทโจทก์มายื่นฟ้อง ซึ่งการยื่นฟ้องดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการตัดต่อข้อความโดยศาลจะเป็นผู้พิจารณาข้อความทั้งหมดเหมือนการอ่านหนังสือหรือชมภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ไม่ได้มีการพิจารณาเฉพาะข้อความบางท่อน ส่วนที่จำเลยอ้างว่า เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตเพื่อให้โจทก์ร่วม ออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่ไปปฏิบัติภารกิจในวันดังกล่าว ศาลมองว่าการกระทำของจำเลยไม่ได้เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริตแต่ลักษณะการพูดเป็นการชี้นำในรายการ ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับที่จำเลยอ้าง และที่จำเลยอุทธรณ์อีกว่า หากมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงการทำภารกิจของโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุดังกล่าวจะเป็นเหตุไม่ต้องรับโทษเนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะนั้น ศาลเห็นว่าจำเลยไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวในการต่อสู้คดี ที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นยังรับฟังไม่ได้ ส่วนที่โจทก์ร่วม ขอให้มีการลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวตัวโจทก์ร่วมเอง ก็ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้กระจ่าง การกระทำจำเลยต้องการให้โจทก์ร่วมออกมาชี้แจงเรื่องภารกิจในวันดังกล่าว การกระทำจำเลยจึงเป็นเจตนาดีสมควรให้รอการลงโทษ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน..... “จากเหตุการณ์ดังกล่าวตัวโจทก์ร่วมเอง ก็ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุให้กระจ่าง”....... http://www.komchadluek.net/news/politic/242966 ตัวขีดเส้นใต้บรรทัดล่างสุด ชี้ให้เห็นได้ง่ายๆ ว่า อดีตนายกดีออกของเรา มักมีขี้ข้าโง่ๆ ที่แม้จะขุดเรื่องเชี่ยอะไรออกมาเล่น มันเป็นต้องย้อนเข้าหาตัวนายทั้งนั้น
ความจริงแล้ว ป้าย่นแกจะไปจึ๊กกับใครไม่ใช่ประเด็น เพราะป้าแกเป็นนางสาว ประเด็นคือเวลาที่ไปเป็นเวลาราชการ จึงต้องตอบให้ชัดเจนว่าไปทำไม กับใคร ก็ขี้ข้าไม่ยอมให้รายละเอียด แล้วไปโทษคำตัดสินว่าต่างจากคดีคางคก
ถ้าจะเอาแค่ผลคำตัดสินมาเทียบคงไม่ได้ ถ้าให้ไปอ่านคำพิพาษาคงไม่มีทาง ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาอธิบาย ตอบแบบให้ มือดีสบายใจ จตุพร ไม่รอลงอาญา เพราะเป็นแกนนำเสื้อแดงและเป็นไพร่ละกัน ส่วน 3 สายล่อฟ้า เป็นอภิสิทธิชน มือที่มองไม่เห็นช่วย !!! โอเคป่ะ สบายใจป่ะ ละอีกเรื่อง ศาลให้สิทธิต่างกันทำไมไม่ถามละครับ ทักษิณทำไมขอออกไปนอกประเทศไปดู โอลิมปิก ศาลให้ไปได้ แต่ทำไมหญิงปูขอพาลูกไปลั่นล๊าหาความรู้แดนซากุระ ศาลไม่อนุญาต พี่ได้ไป น้องไม่ได้ไป ศาลตัดสินไม่เหมือนกัน โห๊ะ