อนาคตของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องผจญกับขวากหนามอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอนพ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หมดอนาคตการเมืองไปนาน 5 ปี ตามด้วยอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง"ยิ่งลักษณ์" ในคดีอาญาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งหนังสือให้ "ยิ่งลักษณ์" ไปรายงานตัวต่ออัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีในวันที่ 19 ก.พ.นี้ ปะเหมาะกับการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่อนุญาตให้อดีตนายกฯ เดินทางไปเกาะฮ่องกง จึงมีการวิเคราะห์ว่า "ยิ่งลักษณ์" เตรียมหนีออกนอกประเทศ อีกด้านหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ที่รถในขบวนของ "ยิ่งลักษณ์" ถูกทหารจากกองกำลังรักษาความสงบมณฑลทหารบก ที่ 33 ค่ายกาวิละ พร้อมตำรวจกว่า 20 นาย ค้นรถระหว่างเดินทางออกจากบ้านพักเพื่อไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ที่ จ.เชียงใหม่ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องออกโรงว่า "คงไม่มีอะไรหรอก เขาคงเป็นกังวล ก็คงไม่มีอะไรหรอกนะ เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่เขาตรวจรถทุกคัน แล้วบังเอิญเจอรถของอดีตนายกฯพอดี พอเจอแล้วเขาคงไม่ค้นต่ออะไรมากมายอยู่แล้ว จะไปค้นอะไรกันนักหนา" หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชั่วโมง นายแพทริค เมอร์ฟรี อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบนายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ทำให้เสียงล่ำลือว่า "ยิ่งลักษณ์" เตรียมขอ "ลี้ภัย" ทางการเมืองกระหึ่มขึ้นซ้ำอีก แม้หลังการหารือจะมีการเปิดเผยต่อสาธารณะว่า ไม่มีการหยิบเรื่องการขอ "ลี้ภัย" มาคุยบนโต๊ะก็ตาม แต่ข่าวการขอลี้ภัย-หนีออกนอกประเทศ ดังหนาหูขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะมีการประเมินว่า คดีทุจริตจำนำข้าวที่ "ยิ่งลักษณ์" ตกเป็น "จำเลย" นั้น จะ "จบเร็ว" ไม่มียืดเยื้อถึงปีหน้า ยิ่งกางนิ้วนับไทม์ไลน์เป็นรายเดือน คดีอาจจะเสร็จสิ้นในเดือน ก.ค.-ก.ย.นี้ และ คสช.ก็รู้ อัยการสูงสุดจึงทำหนังสือถึง "พล.อ.ประยุทธ์" นายกฯและหัวหน้า คสช. ระบุถึงกระบวนการตามขั้นตอนก่อนจะขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดว่า หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับรับฟ้องแล้ว "ยิ่งลักษณ์" ในฐานะที่เป็น "ผู้ถูกกล่าวหา" จะต้องปรากฏตัวในศาลในการพิจารณาครั้งแรก มิเช่นนั้น ศาลจะไม่สามารถดำเนินการต่อได้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงออกมาเปล่งวาจาผ่านสื่อว่า ที่ คสช.ไม่ให้อดีตนายกฯ เดินทางไปฮ่องกงตามคำขอนั้น เพราะอัยการสูงสุดทำหนังสือขอมา เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ว่า หากปล่อยให้อดีตนายกฯ เดินทางออกนอกประเทศ อาจซ้ำรอย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯผู้เป็นพี่ชาย ซึ่งคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในหลายคดี ศาลต้องจำหน่ายคดีชั่วคราว เนื่องจากหลบหนีไม่มารายงานตัว อาทิ คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว หรือคดีหวยบนดิน-คดีทุจริตออกกฎหมายแก้ไขค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือ-ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหาย 6.6 หมื่นล้านบาท-คดีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยเงินกู้ให้กับรัฐบาลพม่า เป็นผลให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เอาผิดทางอาญาได้เป็นเรื่องเป็นราวเพียงคดีเดียวคือ คดีที่ดินรัชดา ส่วนคดีอื่นๆ ศาลให้จำหน่ายคดี "วิษณุ เครืองาม" รองนายกรัฐมนตรี เนติบริกรประจำรัฐบาล จึงออกมายืนยันว่า "ถ้าศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อไร เมื่อนั้นผู้ถูกกล่าวหาจำเป็นต้องไปศาล ไม่อย่างนั้นจะเป็นปัญหา" เพราะตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 27 วรรค 3 ระบุว่า ในวันพิจารณาครั้งแรก เมื่อจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลและศาล เชื่อว่าเป็นจำเลยจริงให้อ่านและอธิบายฟ้องให้ฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้บันทึกไว้ ถ้าจำเลยไม่ให้การก็ให้บันทึกไว้ และให้ศาลกำหนดวันตรวจพยานหลักฐาน โดยให้โจทก์และจำเลยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน ดังนั้น เมื่อกฎหมายล็อกให้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องมารายงานตัวในการพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อให้การหาคนรับผิดชอบความเสียหายจากการทุจริตโครงการจำนำข้าวเดินต่อไปได้ จึงมีคำสั่งตรงจากระดับ คสช.ไปยังสายการบังคับบัญชากองทัพทั่วประเทศ ให้จับตาความเคลื่อนไหวของ "ยิ่งลักษณ์" อย่าให้คลาดสายตา แหล่งข่าวจาก คสช.ระบุว่า เนื่องจาก คสช.ต้องการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมให้คนทั่วไปได้เห็นว่า บุคคล หรือนักการเมือง ที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือกระผิดต่อจริยธรรม จะต้องขึ้นสู่การสู้คดีในชั้นศาล เพื่อให้เป็นมาตรฐานทางการเมืองต่อไปในอนาคต ภายหลังการปฏิรูปประเทศ หลังจากนั้นจะ "รอด" หรือถูก "ดำเนินคดี" ก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่จะโน้มน้าวศาลเชื่อถือในพยานหลักฐานได้หรือไม่ แต่เมื่อกฎหมายกำหนดให้"จำเลย" ต้องปรากฏตัวต่อหน้าศาล คสช.จึงเห็นเป็นเด็ดขาดว่า "ยิ่งลักษณ์" จะต้องอยู่ เพื่อให้ถึงวันพิจารณาคดีครั้งแรก ซึ่ง "ยิ่งลักษณ์" จำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าศาล แต่ถ้าอยากจะออกนอกประเทศหลังจากนี้ อดีตนายกฯจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลขอเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง ดังเช่นนายกฯผู้พี่ เคยขอยื่นคำร้องต่อศาลขอเดินทางออกนอกประเทศ ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ขอเดินทางออกนอกประเทศ ไปประเทศญี่ปุ่นและจีนระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-10 สิงหาคม และจะเดินทางไปอังกฤษระหว่างวันที่ 15-20 สิงหาคม ซึ่งองค์คณะพิจารณาคำร้องและเหตุผลของจำเลย (พ.ต.ท.ทักษิณ) แล้ว อนุญาตให้จำเลยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นและจีนตามคำร้อง โดยให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ และเมื่อจำเลย เดินทางกลับเข้าประเทศให้มารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ ส่วนการเดินทางไปประเทศอังกฤษ ให้จำเลยยื่นคำร้องเข้ามาใหม่เพื่อให้ศาลพิจารณาตามที่เห็นสมควรต่อไป นอกจากคดีอาญาที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องขึ้นศาลแล้ว ผู้สันทัดกรณีฝ่ายในแวดวงการเมืองวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ "ยิ่งลักษณ์" และพวกกลัวมากที่สุดคือกรณีที่ ป.ป.ช.เรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาท จากการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจี ในโครงการรับจำนำข้าว กับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตามมาตรา 73/1 วรรคท้าย แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 "ยิ่งลักษณ์" จึงถูกล็อกเป้าโดยทหารที่จับตาดูอยู่ทุกฝีก้าว แม้จะเกิดความผิดพลาดทางเทคนิค จากกรณีบุกค้นรถที่เชียงใหม่ เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาระดับพื้นที่ดันไปทำโฉ่งฉ่างเกินกว่าคำสั่ง จากคำสั่งเพียงว่าให้เฝ้าดูอย่าให้อดีตนายกฯออกนอกประเทศ โดยที่ คสช.ไม่รู้ กลับกลายเป็นค้นเป้าหมายอย่างละเอียดยิบ จน คสช.ทั้งองคาพยพต้องออกมาแก้ต่างพัลวัน ไม่ว่า "พล.อ.ประยุทธ์" นายกฯและหัวหน้า คสช. ไม่ว่า "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ไม่ว่า "พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร" ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาฯ คสช. ทำให้ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของ "ยิ่งลักษณ์" ใช้โอกาสนี้ออกมาเปิดเผยพฤติกรรมของทหารว่า "มีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้คอยติดตามตลอดทั้งวัน และก่อนหน้านี้นั้นในช่วงเวลากลางคืน ก็จะมีทหารมาเฝ้าหน้าบ้านพัก โดยนำรถทหารมาจอดในสนามหญ้าบริเวณหมู่บ้าน ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าว แม้จะไม่เป็นการควบคุมตัวโดยตรง แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการควบคุมตัวโดยทางอ้อมแล้ว อันเป็นการลิดรอนสิทธิความเป็นส่วนตัว และในขณะเดียวกันยังเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วย" อย่างไรก็ตาม การติดตามเฝ้าดู "ยิ่งลักษณ์" ทุกฝีก้าวนั้น ไม่ต่างกับการคุมเข้มแกนนำเสื้อแดงใน กทม. และต่างจังหวัดที่เข้มงวดขึ้น นับตั้งแต่ สนช.ลงมติถอดถอนอดีตนายกฯ และเข้มข้นขึ้นอีกเมื่อแกนนำเสื้อแดงตัวหลักๆ ถูกเรียกไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร ทั้งช่วงก่อนและหลังการถอดถอน แกนนำเสื้อแดง และแกนนำพรรคเพื่อไทยระดับหัวแถว หรือปลายแถวที่เกาะขบวนให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อกันครึกโครม ถึงความไม่เป็นธรรมในการเอาผิด "ยิ่งลักษณ์" ทั้ง สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ ทั้ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง ทั้ง เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย และฝ่ายกฎหมายพรรคไม่เว้นทีมทนายความที่สู้คดีให้กับ "ยิ่งลักษณ์" ยังถูกทหารตามไปถ่ายรูปบ้านพักเกือบทุกคน ไม่ว่ากระดิกตัวไปไหน มิอาจรอดพ้นสายตาของ คสช.พ้น และเมื่อถูกนำไปปรับทัศนคติแล้ว แทบทุกคนจะปิดปากยุติความเคลื่อนไหวทันที การเข้มงวดดังกล่าวยังแผ่ปกคลุมไปถึงคนการเมืองที่มีคอนเน็กชั่นติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่พรรคเพื่อไทย จนมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ทุกครั้งที่มีการขออนุญาตจาก คสช.ออกนอกประเทศ โดยปกติจะมีกลั่นกรองแค่ 3 วัน แต่ช่วงหลัง คสช.มักยืดเวลาถึง 5 วัน ถึงจะได้รับการอนุมัติ และเมื่อ คสช.อนุญาตให้ออกนอกประเทศแล้ว ยังมีนายทหารตั้งแต่ยศจ่า จนถึงยศนายพัน โทรศัพท์มาสอบถามว่าจะไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ พร้อมกับยื่นคำขู่ว่าหากไปพบแล้วไม่บอก คสช.ก็จะมีวิธีการตรวจสอบจนรู้ความจริง เพราะ คสช.ประเมินว่า หากตรวจสอบคนการเมืองบางรายไม่ละเอียด อาจปล่อยให้คนการเมืองเหล่านั้นไปเคลื่อนไหวด้านธุรกรรมทางการเงินเพื่อสนับสนุนกลุ่มใต้ดิน ซึ่งเคลื่อนไหวนอกประเทศ ทำลายเครดิตของ คสช. ไม่ต่างกับความเคลื่อนไหวใต้ดินของมวลชนเสื้อแดงในประเทศ ก็ค่อยๆ ถูก คสช.ตัดวงโคจรให้แคบขึ้นเรื่อยๆ บางคนถูกจับดำเนินคดีอาญามาตรา 112 พร้อมทั้งถูกตรวจสอบเส้นทางการเงินที่อาจเชื่อมโยงท่อน้ำเลี้ยงจากต่างประเทศ แถมยังเจอเกมจิตวิทยาของกองทัพกดดันจนไม่สามารถเคลื่อนไหวแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้อีก ทั้งหมดเป็นการเคลียร์ทางเพื่อให้ "ยิ่งลักษณ์" ได้ขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันแรกที่พิจารณาคดี มิให้เหมือน "พ.ต.ท.ทักษิณ" ที่ออกไปอยู่ต่างแดน จนทำให้หลายคดีต้องหยุดชะงัก เป็นความตั้งใจของ คสช. ที่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1423927401 19 กพ.นี้"ยิ่งลักษณ์" ถูกนัดให้ไปรายงานตัวต่ออัยการสูงสุด วันนั้นกองเชียร์และทีมทนายยิ่งลักษณ์ดาหน้าออกมาเกี่ยงตั้งแง่ว่า "ไม่ต้องไปก็ได้" แต่อัยการสูงสุดต้องนัดวันส่งศาลฎีกาอีก ขั้นตอนเป็นอย่างไรก่อนวันแสดงตนต่อหน้าศาล .. แต่อย่างน้อยมีความชัดเจนแล้วว่า หากอยากให้จบ..ยิ่งลักษณ์ต้องสู้ในกระบวนการยุติธรรมไทยเท่านั้น โดยปปช.ยื่นให้คลังประเมินตัวเลขทางแพ่งเพื่อการเคลมเงินชดใช้ค่าเสียหายจำนำข้าวในส่วนของยิ่งลักษณ์ไว้ด้วย จะมีใครกล้าออกมาเปิดไฟเขียวให้ยิ่งลักษณ์หนีไปนอกเหมือนที่บิ๊กอ๊อดยุทธศักดิ์เคยอวยให้ทักษิณไปดูโอลิมปิกหรือไม่ ขอเชิญเพื่อนสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็น และรัฐประหารคราวนี้จะเสียของหรือไม่..
ผมมองว่า คสช เขาทำตามที่เห็นว่า ควรทำ ในกรอบอำนาจหน้าที่ของเขาเท่านั้น คงไม่มีอะไร ซับซ้อน ลึกลับ เหมือนที่สื่อพยายามจะให้มันเป็นหรอก เท่าที่ฟังจากการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้องก็คือ คุณยิ่งลักษณ์จะไปต่างประเทศ ในช่วงที่อัยการจะนำเรื่องฟ้องศาล แม้ตามกฎหมายแล้วคุณยิ่งลักษณ์อาจไม่ต้องไปพบอัยการด้วยตนเอง จะนอนอยู่บ้านก็ได้ ไม่มีใครว่าหรอก แต่ไม่ควรเดินทางไปต่างประเทศในช่วงนั้น คสช เขาจึงขอให้ชะลอการเดินทางไปก่อน เขาทำตามหน้าที่ที่เขารับผิดชอบอยู่ และเมื่อพ้นความรับผิดชอบของเขาคือ ขึ้นศาลแล้ว ก็อยู่ในดุลยพินิจของศาลเท่านั้น ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรซับซ้อนลึกลับเลย การที่สื่อไทย ทั้งที่เชียร์ คสช และไม่เชียร์ คสช พยายามโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ เข้ามาโดยอ้างแหล่งข่าวบ้า ๆ บอ ๆ เลอะเทอะ เพราะแม้แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง คุณก็เอามาอ้างเป็นข่าว คุณจะเขียนด้วยความมัน หรือต้องการโชว์ว่าคุณรู้ตื้นลึกหนาบางอะไรก็ตาม มันควรต้องคิดบ้างว่า หลาย ๆ เรื่องที่เอามาโยงนั้น มันจริงหรือเปล่า แล้วถ้าทำอย่างที่คุณเขียน มันไปละเมิดสิทธิเขาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไม ยุโรป อเมริกา ซึ่งมันอยู่ไกลจากประเทศไทยมากมาย พูดชี้แจงยังไงมันก็ไม่เข้าใจเสียที ก็สื่อไทยแท้ ๆ มันยังเป็นอย่างนี้อยู่เลย
จะได้รู้กันไปครับ ว่าประเทศไทย ไม่ใช่ของเล่น หรือ ชิ้นงาน ของใคร คิดจะมา คิดจะปั้น ยกย่อง เชิดชูใคร แต่ไม่ดูถึงความสามารถ ในการบริหารประเทศ 2 เดือน ยังไม่ถึง 2 เดือน กับการเมืองเริ่มแรก กับการบริหาร และจัดสรร ปันส่วน ผลประโยชน์ กันของพวก ลูกน้อง ประเทศเสียหาย ท่านทั้งหลาย ก็ต้องรับผิดชอบบ้าง คิดได้อย่างไร แล้วต่อไป จะปั้นใคร จะยก ใครขึ้นมาอีก ประชาชน ประเทศไทย เป็นอะไรไปหมด ไม่มี ยิ่งลักษณ์ ทักษิณ เราก็กินข้าวได้ !!!!!
เป็ยไปได้มั๊ยที่ปล่อยไปไม่ได้ก็เพื่อป้องกันทักษิณเชิดนายกคนใหม่ในอนาคตอีก คือส่งคนที่ไว้ใจได้มาโกงแล้วก็เผ่น
มันมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมว่า ยิ่งลักษณ์ น่ายืนสู้ต่อ ถ้าสู้แล้วชนะก็สบาย ถ้าสู้แล้วแพ้ ผมก็ยังว่าไม่เท่าไหร่ เลยร้ายที่สุด ติดคุกไม่เกิน 1-2 วัน เดี๋ยวก็ขอนิรโทษกรรม แล้วก็แค่เลิกเล่นการเมือง กลับไปเป็นเศรษฐีธรรมดา ทักษิณ มันโง่เชื่อลูกน้อง ดับเครื่องชน ตอนนี้เลยยังไม่รู้ว่าจะตายที่ไหน 5555
อดดีตรมต.คนหนึ่งที่หนีคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่ในที่สุดถูกจับที่สวนสาธารณะ (ปัจจุบันลาสิกขาบทแล้ว) http://th.wikipedia.org/wiki/รักเกียรติ_สุขธนะ
คสช เขามีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้อยู่ คุณยิ่งลักษณ์ก็ติดเงื่อนไขว่าจะไปต่างประเทศต้องแจ้งให้ คสช พิจารณาก่อน คราวที่แล้วไปต่างประเทศ เขาก็อนุญาต แต่คราวนี้มันมีประเด็นที่วันที่ขออนุญาตเดินทางไปและกลับมันไป คร่อม อยู่กับวันที่อัยการจะส่งฟ้องศาล ถ้าผมเป็น คสช ผมก็ไม่อนุญาตหรอกครับ เพราะถ้าอนุญาตแล้วคุณยิ่งลักษณ์แกไม่กลับมา คสช นี่ถูกมองว่ารู้เห็นเป็นใจ สนับสนุนให้เขาหนีเลยนะครับ และถ้าเป็นแบบนี้ ก็ไม่ต้องปฎิรูปประเทศกันแล้ว เพราะ คสช น่าจะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ผมถึงมองว่าเขาทำตามหน้าที่ที่เขารับผิดชอบอยู่ ในกรอบอำนาจที่เขามี ไม่มีอะไรซับซ้อน สื่อที่พยายามวิเคราะห์ว่า ที่ คสช ไม่อนุญาต เพราะกลัวนั่นกลัวนี่ แล้วเอาเรื่องเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ มาโยงกันอิรุงตุงนังไปหมด ผมมองว่ามีอยู่สองประเภทครับ คือ พวกสื่อ ขี้โม้ เป็นนิสัย พวกนี้ส่วนใหญ่เชียร์ คสช แต่ชอบโม้ว่ารู้ลึกรู้จริงมีแหล่งข่าวบ้าบออะไรเลอะเทอะไปหมด อีกพวกหนึ่งคือสื่อที่มีเจตนา พวกนี้มักเป็นพวกต่อต้าน คสช มีเจตนาจะโยงข่าวเพื่อให้มันเป็นไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ คือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ไม่เป็นประชาธิปไตย ลุแก่อำนาจ มีแหล่งข่าวบ้าบอเลอะเทอะเหมือนกัน พล อ ประยุทธ คือแหล่งข่าว คสช ตัวพ่อเลย ให้สัมภาษณ์ทุกวัน แต่สื่อไม่ค่อยชอบเพราะพูดจริง พูดตรง ไม่มีเสแสร้ง แต่มันไม่ตรงกับจริตของสื่อไทย เพราะจริตของสื่อไทยตรงกับ ยิ่งลักษณ์งี้ เป็ดเหลิมงี้ ปึ้งงี้ เพราะเห็นพยายามนำเสนอข่าวให้เป็นประเด็นอยู่ตลอดเวลาทั้งสื่อที่เชียร์ คสช และไม่เชียร์ คสช ไม่ว่าคุณจะเป็นสื่ออะไร ถ้าคุณมีพฤติกรรมอย่างนี้ คุณก็คือส่วนหนึ่งที่เป็นตัวบ่อนทำลายการเดินหน้าของประเทศทั้งนั้น
แปลกตรงที่คนเอา หลักสิทธิ รธน. มาอ้าง มาเถียงข้างๆคูๆ ทั้งๆที่เห็นอยู่ ว่า คสช. คืออำนาจที่อยู่สูงกว่า รธน. และบ้านเรายังคงระบอบเผน็จการอยู่
อีกแง่หนึ่ง ผมไม่อยากคิดถึงเลย ว่าคนขี้ขลาด เวลาจนตรอก มันน่ากลัวนะครับ หรือผมคิดมากไปเอง สายใย โครงข่าย ติดตาม สอดส่อง พวกแดง พร้อมหรือเปล่าครับ มีเล็ดรอดสายตา มั้ย ทำถึงขนาด เอานักข่าวเมืองนอก มาเลยนะครับ ที่เสวนาอะไรกันสักอย่างที่เป็นข่าว ละรอก ที่ 2 3 4+ เมื่อหมดหนทางจริงๆ พวกนี้เปิดฉากแน่ เพราะหัวหน้าที่เป็นเสนาธิการพวกมัน ชั่งใจอยู่ ถ้าเกิดสงความกลางเมือง ทรัพย์สิน คงไม่เหลือ
รีวิวจุดสิ้นสุดนักโทษที่หนี.. คดีรักเกียรติ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาให้ทรัพย์สินของนายรักเกียรติจำนวน 233.88 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน แต่ระหว่างที่ดำเนินกระบวนพิจารณานั้นได้มีการเคลื่อนย้ายเงินสดออกจากบัญชีที่เกี่ยวข้อง ทำให้ในที่สุดกรมบังคับคดีต้องยึดอสังหาริมทรัพย์ของนายรักเกียรติแทน ล็อกเป้าไม่ดีเงินสดหายต้องไปยึดอสังหาริมทรัพย์.. คดีกำนันเป๊าะ เดือนกุมภาพันธ์ 2549 ศาลฎีกาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตที่ดินทิ้งขยะเขาไม้แก้ว แต่กำนันเป๊าะส่งทนายความขอเลื่อนนัด อ้างว่าป่วย ศาลจึงมีคำสั่งให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาไปถึง 2 ครั้ง และออกหมายจับทันทีเมื่อไม่มาตามนัดในเดือน เมษายน 2549 และได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยลงโทษจำคุกกำนันเป็นเวลา 3 ปี 5 เดือน ส่วนศาลแพ่งยึดทรัพย์กำนัน 11 ล้านบาท กำนันโดนจับทั้งๆที่หนีไปแค่ 8 ปี (จาก25 ปีรวมกับคดีการจ้างวานฆ่านายประยูร) โดยศาลฎีกามีการนัดอ่านเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2555 ลับหลังกำนันที่หนีไปแล้วคือยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จำนวน 25 ปี และให้นับโทษรวมกับคดีทุจริตที่ดินทิ้งขยะเขาไม้แก้ว สิริรวมเป็น 28 ปี 5 เดือน เรื่องยึด 11 ล้านมันจิ๊บๆสำหรับกำนันแต่คุก 25 ปีมันเหลือทน เลยต้องหนีไปตั้งหลักก่อนทั้งๆที่โรคภัยรุมเร้าและในที่สุดโดนจับดังกล่าว
รีวิวคดีคลองด่าน มิ.ย 2550 ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา ส่งให้อัยการสูงสุดฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่าขณะเป็นรมช.มหาดไทยบังคับ-จูงใจราษฎรขายที่ดินและบังคับจนท.ที่ดินออกโฉนด 1,900 ไร่เพื่อนำไปขายให้กรมควบคุมมลพิษ โดยที่ดินดังกล่าวเป็นที่สงวน เริ่มต้นมีบริษัทปาล์มบีชของอัศวเหม และเลาหพงศ์ชนะ เข้ามารวบรวมที่ดินของบริษัทแร่ลานทองของนายวัฒนา ก่อนที่ดินผืนใหญ่นี้จะถูกนำไปจำนองกับไทยพาณิชย์และตกถึงมือบริษัทคลองด่านมารีนที่ลงทุนซื้อไว้ในราคา 563 ล้านบาท สุดท้ายที่ดินทั้งหมด กรมควบคุมมลพิษ เข้าไปซื้อในราคา 1,900 ล้านบาท 13 พ.ย 2550 ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีทุจริตที่ดินคลองด่านพร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ออกบัลลังก์พิจารณาครั้งแรกในคดีที่วัฒนามีความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ /17 เม.ย 2551 ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยครั้งสุดท้าย วัฒนาเดินทางมาร่วมการพิจารณาคดีเป็นครั้งแรกหลังขอเลื่อนเข้าไต่สวน 4 ครั้งด้วยข้ออ้างป่วยมีอาการสับสนเฉียบพลันสูญเสียความทรงจำชั่วคราว เนื่องจากโรคเส้นเลือดอุดตันที่ก้านสมอง วัฒนาให้สัมภาษณ์ว่าถูกรัฐบาลทักษิณกลั่นแกล้งเพื่อบีบบังคับให้เข้าสังกัดพรรคการเมือง พร้อมๆกับที่กำนันเซี๊ยะ ส.ส.กาญจนบุรี ปชป. ถูกเล่นงานคดีฮั้วประมูล 8 พ.ค 2551 วัฒนาเบิกความศาลยืนยันความบริสุทธิ์หากทำผิดจริงให้ลงโทษประหารชีวิต และยืนยันด้วยว่าในวันพิพากษาจะมาฟังแน่นอน ไม่หลบหนีไปไหนเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ว่า 9 ก.ค 2551วัฒนากลับไม่มารับฟังคำพิพากษาศาล ขณะที่ทนายบอกว่าติดต่อจำเลยไม่ได้ทั้งที่เมื่อ 3 วันก่อนจำเลยโทรศัพท์ติดต่อยืนยันจะเดินทางมาฟังคำพิพากษา จากนั้นก็มีข่าวว่าหลบหนีไปอยู่ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ถัดมาอีกสามสิบวัน 18 ส.ค 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอ่านคำพิพากษาลับหลังให้ลงโทษจำคุกวัฒนา 10 ปี แต่เนื่องจากจำเลยหลบหนี ศาลจึงสั่งออกหมายจับจำเลยเพื่อมารับโทษตามคำพิพากษาภายในอายุความ 15 ปีนับตั้งแต่วันที่จำเลยหลบหนี http://www.oknation.net/blog/chainews/2014/05/16/entry-1
ง่ายๆอย่าไปคิดมาก ถ้าผมเป็นผู้มีสิทธิ์อนุมัติ ผมก็จะไม่อนุมัติให้"ยิ่งลักษณ์"ออกนอกประเทศเหมือนกัน เพราะ ครั้งแรกขอเดินทางไปต่างประเทศ คสช. ก็ให้ตามจำนวนวันที่ขอ แต่พอได้ไป กลับขออยู่ต่อเกินกำหนดที่อนุญาต ครั้งที่สองไปพบไอ้แม้วที่เมืองจีน พี่ น้องถ่ายรูป โพสต์กระหึ่มโซเชียลมีเดี่ย เหมือนกับตบหน้า คสช. ครั้งที่สอง ทำอย่างนี้ คิดหรือว่าจะมีครั้งที่สาม?