http://www.isranews.org/investigative/investigate-news/item/44398-report03_44398.html รับไม่ได้ให้ชดใช้เงินคืน 3เท่า! เปิดเบื้องหลัง อดีต อ.สาวมหิดล หนีทุนเรียนนอก วันพฤหัสบดี ที่ 28 มกราคม 2559 เวลา 13:57 น. กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที! เมื่อ ทันตแพทย์รายหนึ่ง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เปิดเผยเรื่องราวความทุกข์ของตนเอง จากการไปเซ็นค้ำประกันให้ อดีตอาจารย์ภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทย์ ม.มหิดล ที่ได้รับทุนเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะหนีทุนไม่เดินทางกลับมาประเทศไทย ส่งผลให้ทันตแพทย์รายนี้ และพวกรวมอีก 3 คน ที่เซ็นชื่อค้ำประกันให้ ต้องรับผิดชอบชดใช้หนี้แทน เป็นเงินรวมกว่า10 ล้านบาท (อ่านประกอบ : ลูก 4 ใช้หนี้ประกันแทน2ล.!ทันตแพทย์ โวยอดีตอ.มหิดลหนีทุนเรียนไม่กลับปท.) เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้พยายามติดต่อกับแหล่งข่าวคนในม.มหิดล เพื่อยืนยันข้อมูลดังกล่าว เบื้องต้น ได้รับการยืนยันข้อมูลจากคนในมหิดลตรงกันว่า ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2536 จุดเริ่มต้นมาจาก อดีตอาจารย์สาวรายนี้ ที่มีชื่ออักษรย่อว่า 'ด' ขอทุนคณะไปเรียนต่อที่ฮาวาร์ด ป.โท แต่ต้องหาคนค้ำประกัน จึงไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน อาจารย์ รุ่นพี่ ให้มาช่วยค้ำประกันให้ หลังจากนั้น ทันตแพทย์หญิงรายนี้ ก็ไปขยายทุนเป็น ป.เอก และหลังเรียน ป.เอก จบแล้ว ก็แต่งงานกับหนุ่มอเมริกัน จดทะเบียนเปลี่ยนสัญชาติ และไม่กลับมาใช้ทุน จำนวนทุนที่ใช้ไปอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท ตามสัญญาต้องชดใช้ 3 เท่าคือ 30 ล้านบาท "หลังจากที่เกิดปัญหาขึ้น ทางฝ่ายผู้ค้ำประกัน ได้พยายามต่อสู้ จนกระทั่งได้ข้อยุติให้ชดใช้เท่ากับเงินทุนที่ส่งให้ประมาณ 10 ล้านบาท โดยหารกัน 3 คน ซึ่งการต่อสู้ยืดเยื้อและบานปลายมากตลอด เพราะทุนคิดเป็น USD มีช่วงเปลี่ยนค่าเงินอีกทำให้เงินที่ต้องชดใช้เพิ่มขึ้นอีก" แหล่งข่าวคนในมหิดล ระบุ ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับทันตแพทย์ ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เปิดเผยเรื่องราวดังกล่าว พบว่า มีชื่อจริงว่า "นายเผด็จ พูลวิทยกิจ" ปัจจุบันเป็นทันตแพทย์อยู่คลินิกฟันแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสระบุรี จากการติดต่อประสานเพื่อขอสัมภาษณ์ ทพ.เผด็จ ตามที่เบอร์โทรศัพท์คลินิกฟันแห่งนี้ สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจาก ทพ.เผด็จ ว่า ได้โพสต์ข้อความบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวในเฟซบุ๊กส่วนตัวจริง ภายหลังจากที่ได้ชดใช้หนี้ค้ำประกันก้อนสุดท้ายกับทางมหิดลไป "ผมตั้งใจโพสต์เรื่องราว เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับคนที่คิดจะเซ็นค้ำประกันอะไรให้กับใครว่าต้องระมัดระวัง ตรวจสอบข้อมูลให้ดีก่อน เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดเรื่องเลวร้ายกับชีวิตตามในภายหลังอย่างที่ผมเจอ และเรื่องนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในวงการแพทย์มหิดลด้วย" "ตอนที่ผมโพสต์ข้อความไป ผมรู้สึกสบายใจมาก เพราะผมได้ชดใช้หนี้ทั้งหมดไปแล้ว คิดว่าหมดเวรหมดกรรมเสียที ไม่ได้คิดว่าจะไปใส่ร้ายใคร แต่พอโพสต์ไปแล้ว ก็มีคนมาบอกว่าให้เปิดเป็นสาธารณะ คนอื่นเขาจะได้มาเห็น และคนที่ทำไม่ดีกับผมจะได้มาอ่าน ว่าผมรู้สึกอย่างไร และเดือนร้อนมากแค่ไหน กับปัญหาที่ผมเผชิญมา" เมื่อถามว่า รู้จัก อดีตอาจารย์สาว ที่ไปเซ็นค้ำประกันทุนเรียนให้ได้อย่างไร ทพ.เผด็จ เล่าว่า "ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่รู้จักกับอาจารย์ของอดีตอาจารย์สาวรายนี้อีกทีหนึ่ง ท่านมาขอให้ช่วย ซึ่งเราก็เห็นตรงกันว่า ถ้าอดีตอาจารย์สาวรายนี้ เรียนจบ จะได้กลับมาทำงานรับใช้ประเทศของเรา ผมก็เลยยอมเซ็นค้ำประกันการขอทุนให้ ซึ่งคนที่เซ็นค้ำประกัน ก็มีผม อาจารย์ของอดีตอาจารย์สาว 2 คน และเพื่อนอีกคนหนึ่ง" "หลังจากที่อดีตอาจารย์สาวหนีทุนไม่กลับมา ผม อาจารย์ 2 คน และเพื่อนของเขา ก็ต้องร่วมกันชดใช้หนี้ให้กับมหิดล ซึ่งเราก็สู้กันมาตลอด ตอนแรกจะต้องชดใช้เป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท แต่เราไปทำเรื่องขอต่อรอง เลยเหลือจ่ายค่าเงินต้นของทุนที่ส่งไปไม่รวมค่าปรับ ก็อยู่ที่ตัวเลขประมาณ 10 ล้านบาท ก็ทยอยใช้กันเรื่อยมา และเมื่อมีการชดใช้เงินก่อนสุดท้ายหมด ผมก็เอามาโพสต์ในเฟซบุ๊ก ตามที่ทุกคนเห็นว่า ผมได้ใช้หนี้เวรหนี้กรรมหมดแล้ว" เมื่อถามว่า เคยคุยกับอดีตอาจารย์สาวโดยตรงหรือไม่ ทพ.เผด็จ ตอบว่า "มีโอกาสได้คุยกันทางโทรศัพท์ เขาก็บอกว่าจะไม่ทำให้ผมเดือนร้อน แต่ก็ไม่รู้ทำไมผมยังเดือดร้อนอีก" เมื่อถามว่า อดีตอาจารย์สาว ให้เหตุผลอะไรถึงไม่กลับมาประเทศ ทพ.เผด็จ ตอบว่า เขาไปแต่งงานกับชาวต่างประเทศ มีลูก 1 คน และก็บอกว่า ระบบขอทุนประเทศเราเอาเปรียบเขา ให้ชดใช้เงิน 3 เท่า เขารับไม่ได้ "ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรนะ แต่ขอถามหน่อยว่า ก่อนที่จะตัดสินใจขอทุนไป เขาต้องรู้อยู่แล้วว่า ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง เงื่อนไขเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปซิ แต่นี่มาบอกว่ารับไม่ได้ ผมว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้อง" ทพ. เผด็จ ยังระบุด้วยว่า "ตั้งแต่เกิดเรื่องเขาก็เคยส่งเงินมาให้นะ แต่มันน้อยมาก และล่าสุดก็บอกว่าจะไม่จ่ายแล้ว และไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับเขาอีก เขาไม่คิดถึงผมบ้างเลยหรือว่าต้องเดือดร้อนแค่ไหน ผมมีลูก 2 คน กับลูกบุญธรรมอีก 2 คน รวมเป็น 4 ผมไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอะไรหรือไง" "ถ้าเห็นข้อมูลในเฟซบุ๊กผมล่าสุด จะทราบว่า เขาตั้งทนายขึ้นมาสู้ และบอกว่าห้ามยุ่งเกี่ยวอะไรอีก ผมก็คิดว่า ถ้าจะไปตั้งทนายสู้ต่อผมก็คงไม่ไหว เพราะต้องบินไปกลับเมืองนอก ค่าใช้จ่ายไม่ใช่ถูกๆ ผมก็เลยคิดว่าจะไม่ทำอะไรต่อแล้ว ปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านไป จำเป็นบทเรียนกับชีวิตต่อไป ว่าอยากไปหลงเชื่อใครง่ายๆ แม้กระทั้งคนที่มีการศึกษาดี หรือมีจากครอบครัวที่ดีขนาดไหนก็ตาม" ขณะที่ ม.ฮาร์วาร์ด ก็มีจดหมายตอบกลับมาว่า เรื่องนี้เป็นส่วนส่วนตัว ทั้งหมดนี่ คือ ข้อมูลจากฝั่งของ ทพ.เผด็จ 1ใน 4 ของผู้ที่เคยเซ็นชื่อค้ำประกันให้กับอดีตอาจารย์สาว ที่ขอทุนจากมหิดลเพื่อเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ แต่หนีทุนไม่เดินทางกลับมา ซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในโลกออนไลน์ขณะนี้ ขณะที่หลายฝ่ายก็เชื่อมั่นว่า น่าจะมีกรณีแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับอีกหลายมหาลัย หรือหลายทุน เพียงแต่ยังไม่เคยมีใครนำข้อมูลออกมาเปิดเผยอย่างเป็นทางการ ชัดเจนเท่ากับกรณีนี้! --------------------------------------------------------------------------------------------------- ย่อหน้าสุดท้ายเห็นด้วยครับ อาจมีหลายกรณีที่เกิดขึ้น แต่กรณีนี้ไปไกลแล้ว คนก็พูดถึงในเฟซบุ๊กอยู่
น่าจะทำให้เป็นคดีอาญา แล้วขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาลงโทษ ม่ายงั้นชีก็ลอยหน้าพาลูกผัวมาเดินเล่นแถวบ้าน ไม่มีสำนึก ม ต่างชาติรับไว้ได้ไง
เลวมากอ่ะ น่าจะมีการประจานนะแบบนี้ ไปทำงาน ตปท. เงินใช้ทุนไม่มีมันเป็นไปได้ยังไง ขนาดทำงานในเมืองไทย ด้วยวุฒิและความรู้ขนาดนี้ ทำไงในไทยเขายังใช้หนี้กันหมดภายในกี่ปีเลย แล้วนี่ไปทำ ตปท. ค่าครองชีพสูงกว่าอยู่แล้ว ยังไงเงินเดือนก็ต้องมากกว่าทำในไทย แล้วไม่มีปัญญาเหรอแบบนี้
ทำงานใช้ทุน เงินไม่ต้องจ่าย แค่แลกกับเหนื่อยหน่อย แต่รายได้สามารถถึงหลักแสนได้ ส่วนค่าปรับ 3 เท่าเขาใช้กับพวกเบี้ยวทุน บางคนก็ชั่วโดนสันดาน แค่เท่าทุนมันก็เบี้ยว
ตอนจะขอทุนเขาก็ยอมรับเงื่อนไขทุกอย่าง แต่ตอนเบี้ยวกลับบอกว่ารับเงื่อนไขไม่ได้ เหมือนๆกับอาชีพๆหนึ่ง ตอนวิ่งเต้นสอบบรรจุก็รู้รายละเอียดทุกอย่างว่าอาชีพนี้ได้เงินเดือนและสวัสดิการอย่างไร พอเข้าได้ก็ตั้งหน้าทั้งรีดทั้งไถ บอกว่าเงินเดือนแค่นี้จะไปพอกินอะไร
ถึงจะแพงไปหน่อยแต่อย่างน้อยก็มีประโยชน์คือเป็นข้ออ้างให้ไม่ค้ำประกัน เรื่องแบบนี้พูดยากมาก เอาเป็นว่าถ้าจะค้ำประกันอะไรใครคงต้องมั่นใจก่อนว่าพร้อมเสีย ไม่ใช่ไปมั่นใจว่าเค้ารับผิดชอบแน่นอน หรืออย่างน้อยต้องมีพ่อแม่พี่น้องร่วมค้ำด้วยเท่านั้น
หนีไม่เท่าไหร่ที่เลวคือมีเงินแต่ไม่ใช้คืน ตามข่าวคือ คนเซ็นค่ำมีพ่อด้วย(แต่จ่ายเงินให้พ่อหมด) ส่วนคนอื่นจ่ายบ้างเล็กน้อย เห็นว่าเจ้าตัววางแผนหนีทุนอยู่แล้วเลยหาคนค่ำเพิ่ม เพื่อตัวเองจะได้จ่ายน้อยที่สุด ทุกวันนี้Dr. Dolrudee Jumlongras สอบเป็นบอร์ดได้แล้ว มีรายได้ปีละ 100,000 US มหาลัยก็ลดค่าปรับแล้วจาก3เท่า เป็นให้จ่ายเฉพาะค่าเรียนจริงๆ เจ้าตัวก็ไม่ยอมจ่าย
อ้าว งั้นที่ผมว่าต้องค้ำกับพ่อแม่เค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่คนที่เป็นข่าวเนี่ยเป็นสุภาพบุรุษมากน่ะ ถ่าเป็นผมคงไปคาดคั้นจากพ่อแม่เค้าแหละ ตายกันไปข้างนึง จริงๆ
อั่ยยะ !!! ทั้งชื่อ สกุล ออกสื่อเผยแพร่จะๆ อย่างงี้ พวกญาติโกโหติกาเธอ จะอยู่เมืองไทยกันยังไงล่ะทีนี้
เลวมากจริงๆครับ อีนี่ติดหนี้เพื่อนพ้องอาจารย์แล้วหนีไปต่างประเทศ แต่ไอ้พวกที่เลวกว่าคือพวกที่ติดหนี้ประเทศไทย. เกิดและเติบโตในไทยใต้พระบรมโพธิสมภาร จนโต แต่เนรคุณแผ่นดินเกิด เนรคุณสถาบันกษัตริย์ ให้ร้ายสถาบันแล้วไปด่าประเทศไทย สถาบันที่ต่างประเทศ พวกนี้เลวสุดๆครับ ดีใจที่คนกลางช่วยกันประนามพวกเฮี้ยพวกนี้ครับ
ส่ง email ไปทวงถามกี่ฉบับ เป็นเวลาหลายปี ก็ผลัดผ่อน บอกให้อาจารย์กับเพื่อนออกไปก่อน ถ้าเธอมีเงิน จะคืนให้พร้อมดอกเบี้ย... ให้ตายเถอะ...เธอชั่วจริงๆ
เออเน๊าะ คนเก่งๆเนี่ย เวลาโกงจะมาแบบนุ่มๆเนียนๆ พอเรื่องแดงออกมาแบบนี้ก็จะโกรธแล้วก็จะบอกว่าจริงๆตั้งใจจะจ่ายอยู่แล้วแต่เมื่อเราเสียหายแล้วก็แล้วกันไปละกัน
ผมว่า ไม่คุ้ม หรอกครับ แม้ได้ ดร. เหมือนตกนรกนะ นอนก็ไม่หลับ ไปซื้อกับข้าว ก็ต้องระแวง ว่าจะมีใครรู้มั้ย
น่าจะถอนสัญชาติไทย เป็นบุคคลห้ามเข้าประเทศ จะได้ไม่ต้องกลับมาทำธุรกรรมใดๆกับญาติพี่น้องที่อยู่ในประเทศไทย
http://www.isranews.org/เรื่องเด่น-สำนักข่าวอิศรา/item/44420-report_44420.html#.Vqr5at9TDzs.facebook ล่าข้ามโลก! เผยโฉมที่ทำงานอดีตอ.สาวมหิดล ในฮาวาร์ด หลังหนีทุนไม่กลับปท. วันศุกร์ ที่ 29 มกราคม 2559 เวลา 11:53 น. ยุคนี้โซเชียลมันแรง
ถอนสัญชาติกับคนที่เกิดบนแผ่นดินไทยไม่ได้ ผิดรัฐธรรมนูญ แต่น่าจะถอนปริญญาตรีได้ โทเอกที่ได้ก็ไร้ค่า แต่ไอ้กันมันจะสนเหรอ
ตอนอาจารย์โทรไปถาม เธอบอกด้วยว่า "จะโทรมาทวงเงินอีกเหรอ ไม่มีให้หรอก" ล่าสุดจัดทนายมาขู่ว่า ห้ามไปยุ่งกับเธอ หวังว่ากรรมคงจะตามเธอทันในเร็วๆวันนี้ ปล.ถ้าไม่มีอาจารย์เขียนใบแนะนำตัวให้ ทางมหาวิทยาลัยเขาคงจะไม่รับหล่อนเข้าเรียนแน่ๆ เนรคุณจริงๆ
ตอนนี้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเธอในเมืองไทยป่นปี้ เน่าสนิท เล่นประโคมกันทั้งอินเตอร์เนท ทั้งทีวีอีกหลายช่อง สงสัยต้องเปลี่ยนนามสกุลหนีทั้งโคตร
ตอน ม รังสิต ไปจ้าง อจ จาก ม รัฐ มาเป็นรองอธิการ ยังจ่ายเงินชดใช้ทุนให้ไปกว่า 5 ล้าน แต่ไอ้ ฮาวาด ดันบอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว มันไม่เกี่ยว หรือว่ามาตรฐานเมกายุคนี้ตกต่ำถึงขีดสุด เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง แล้วมาเผือกเรื่องชาวบ้าน ถุยยยยยยยยยยยยยย
http://www.isranews.org/isranews-other-news/item/44464-มหิดล-แจงชัด-เรื่องร้อนอจ-สาวเบี้ยวใช้ทุนคืน10ล้าน.html 'มหิดล'แจงชัด! เรื่องร้อนอจ.สาวเบี้ยวใช้ทุนคืน10ล้าน วันอาทิตย์ ที่ 31 มกราคม 2559 เวลา 10:28 น. ศ.นพ.บรรจง มไหสวริยะ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) กล่าวถึงกรณีมีการเผยแพร่ข้อมูลว่าอดีตอาจารย์หญิงรายหนึ่งของภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มม.ได้ขอทุนรัฐบาลเพื่อไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยได้มีผู้ค้ำประกัน 4 ราย แต่ปรากฎว่าเมื่อจบการศึกษา อาจารย์หญิงคนดังกล่าวไม่กลับมาทำงานใช้ทุนที่ประเทศไทย ซึ่งมีเงื่อนไขว่ากรณีไม่ทำงานใช้ทุนจะต้องจ่ายเงินคืน 3 เท่าจากทุนที่ได้รับ 10 ล้านบาท หรือจำนวน 30 ล้านบาท ทำให้ผู้ค้ำประกันทั้ง 4 รายต้องชดใช้แทน แต่ได้มีการเจรจาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนชดใช้ตามจำนวนทุนที่ได้รับ 10 ล้านบาท ว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2536 ทางมหาวิทยาลัยได้เสนอชื่ออาจารย์หญิงคนดังกล่าว เพื่อขอเข้ารับทุนจากรัฐบาล เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนเก่ง เรียนดี และมองว่าจะสามารถกลับมาทำประโยชน์ให้แก่ประเทศได้ ซึ่งตามกระบวนการแล้วการขอทุนจากรัฐบาลก็จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด คือเมื่อเรียนจบกลับมาต้องชดใช้ทุน โดยทำงานให้หน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งก็คือมหาวิทยาลัยมหิดล และเพราะในตอนขอทุนรัฐบาลนั้น อาจารย์หญิงคนดังกล่าวนั้นเพิ่งเรียนจบและทำงานได้เพียง 1 ปีจึงต้องมีผู้ค้ำประกันให้ ก็ตามที่ปรากฎข่าวว่ามีผู้ค้ำประกัน 4 ราย อย่างไรก็ตาม อาจารย์หญิงคนดังกล่าวขอทุนเพื่อศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จึงทำให้ใช้ระยะเวลาในการเรียนประมาณ 10 ปีทุนประมาณ 10 ล้านบาท ศ.นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ประมาณปี 2547 อาจารย์หญิงคนดังกล่าวได้แจ้งมายังมหาวิทยาลัย ในฐานะต้นสังกัด ขอยกเลิกที่จะกลับมาทำงานใช้ทุนคืน ซึ่งตามเงื่อนไขการขอทุนรัฐบาลก็ต้องชดใช้เงินคืน ทำให้กระทรวงการคลัง ได้ประสานมายังมหาวิทยาลัยให้เร่งรัดติดตามอาจารย์คนดังกล่าวชดใช้เงินคืนเพราะเป็นเงินของประเทศ แต่เมื่อติดต่อไม่ได้ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย ประสานและติดตามไปยังผู้ค้ำประกันทั้ง 4 รายชดใช้แทน โดยตลอดมา มหาวิทยาลัยไม่นิ่งนอนใจให้การช่วยเหลือ เจรจาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนเงินที่ต้องชดใช้คืนให้กับรัฐบาล เหลือจำนวนเท่าเงินทุน 10 ล้านบาท “ทางอาจารย์หญิงคนดังกล่าวไปมีครอบครัวที่นั่น แล้วปฏิเสธที่จะกลับมาทำงานและใช้ทุนคืน เมื่อกระทรวงการคลังเร่งรัดมาที่มหาวิทยาลัยในฐานะต้นสังกัด เราก็ต้องไปติดตามจากผู้ค้ำประกัน เพราะเงินดังกล่าวไม่ใช่ตามกลับมาแล้วจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่ต้องคืนให้กับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบุคคลที่ขอทุนรัฐบาลไปเรียนต่อต่างประเทศแล้วเบี้ยวไม่กลับมาชดใช้มีอยู่ประปราย รายนี้ไม่ใช่รายแรก แต่ที่ผ่านมาสังคมยังไม่มีสื่อโซเชียลมากขนาดนี้ อีกทั้ง ปัจจุบันคนในสังคมไม่ยอมรับคนที่ไม่มีจริยธรรม ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง จึงทำให้เรื่องดังกล่าวแพร่กระจายรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีมาตรการทางสังคมแบบที่เป็นอยู่ก็ต้องปล่อยไป”รองอธิการบดี มม.กล่าว ศ.นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ในการคัดเลือกคนเพื่อจะเสนอให้ขอทุนรัฐบาลจะต้องมีมาตรการเข้มข้นหรือไม่นั้น ความจริงแล้วทุกอย่างมีการตรวจสอบเข้มข้น ดูภูมิหลัง ความประพฤติของบุคคลนั้นๆ แต่ก็เป็นการดูในเวลาปัจจุบัน ซึ่งไม่มีทางตอบได้เลยว่าในอีก 10 ปีจากนี้บุคคลนั้นจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เช่นกรณีอาจารย์หญิงคนดังกล่าว ซึ่งเห็นว่าเป็นคนเก่งมีความรับผิดชอบ น่าจะมาทำประโยชน์ให้ประเทศได้มาก แต่เมื่อไปเรียนต่อเขาไปมีครอบครัวและสุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ คนเราก็อยากทำชีวิตตัวเองให้ก้าวหน้า แต่ไม่น่าทำให้คนข้างหลังเดือดร้อน ในเมื่อไม่พอใจในเงื่อนไข - กติกา แล้วรับทุนทำไม ?
ดูท่าทางเธอจะอย่างหนาตราช้าง ทั้งสื่ออินเตอร์เนททั้งทีวีไม่รู้กี่ช่องด่าหลายวันแล้ว แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเมกา
น่าจะมีคนรีพอร์ทไปที่สื่อมวลชนแล้วครับ รอดูว่ามาตรฐานจริยธรรมของเมกาจะสูงส่งขนาดไหน อ่านในกระทู้จับความได้ว่า นักเรียนทุนที่โน่นจะได้รับคำแนะนำให้ตั้งทนายสู้เรื่องการชดใช้ทุน แบบเดียวกะที่ here ตัวนี้อ้างมาเปี๊ยบ มันไม่ใช่ here ตัวแรกครับ
วิธีหน้าด้านเดี๋ยวนี้ง่าย ๆ ครับ แค่ปิดเฟซ ปิดทวิตเตอร์ เลิกรับข่าวด่วน ซักเดือนสองเดือนก็พอแล้ว มาตรการโซเชียลแซงชั่นจริง ๆ คือต้องเล่นงานที่วิถีการใช้ชีวิตของเจ้าตัวเอง รับรองอยู่ไม่สุขแน่ ๆ ปล. นี่แหละคือแบบจำลองชีวิตไอ้หงอกเจียมและพลพรรคของมัน แค่เผอิญพวกไอ้หงอกมันมีคนในหัวอกเดียวกันอยู่หลักร้อยเท่านั้นเอง