มาแล้ว! กฎหมายคุม”เกษตรพันธสัญญา” ไม่เลิก-แต่เพิ่มโทษ ปิดโอกาสนายทุนสัญญาทาส 1 ตุลาคม 2559 06:04 น. ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สัปดาห์ที่ผ่านมา “คณะกรรมการกฤษฎีกา”เสนอแนวทางการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ให้รัฐบาลพิจารณา โดยเฉพาะ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. ... หลังจาก ครม. เห็นชอบเพื่อส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตราเป็นกฎหมาย ร่างฉบับนี้ ถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญ โดยจะช่วยให้เกษตรกรทั้งระบบได้รับความเป็นธรรมจากการทำเกษตรแบบมีพันธสัญญา (คอนแทรค ฟาร์มมิ่ง) หลังจากที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรมจากความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจ ทำให้ถูกเอาเปรียบจากคู่สัญญาที่มีอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า โดยพบว่า เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากถูกเอาเปรียบจากบริษัทขนาดใหญ่ หรือขนาดกลาง โดย ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงใน 5 ด้าน ประกอบด้วย 1. มีคำนิยามของ เกษตรพันธสัญญา คือ การดำเนินระบบผลิต ผลิตผลหรือบริการทางการเกษตรที่เกิดขึ้น จากการมีสัญญาระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตรและบุคคลที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมตั้งแต่ 10 รายขึ้นไป ซึ่งเป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดา สหกรณ์การเกษตรหรือวิสาหกิจชุมชน ทำให้เกิดความชัดเจนว่าสิ่งที่จะเข้าข่ายกฎหมายฉบับนี้ 2.กำหนดกลไกการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมตั้งคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา มีหน้าที่ในการจัดทำแผน ตรวจสอบสัญญา และกำหนดรูปแบบสัญญากลาง 3.กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องการจดแจ้ง โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรพันธสัญญา ต้องจดแจ้งประกอบธุรกิจกับสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อทำระบบทะเบียนเพื่อให้เกษตรกรตรวจสอบที่มาที่ไปและ มีโอกาสหลอกลวงหรือไม่ 4.กำหนดให้บริษัททำหนังสือชี้ชวนก่อนทำสัญญากับเกษตรกร เพื่อให้ทราบเงื่อนไขล่วงหน้าและส่งหนังสือชี้ชวนให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรตรวจสอบความเป็นธรรมด้วย 5.กำหนดมาตรการคุ้มครอง โดยระหว่างกรณีพิพาท บริษัทไม่สามารถทำการที่นำไปสู่ความเสียหายแก่เกษตรกรได้ เช่น ไม่ส่งตัววัตถุดิบ อาหารสัตว์ หรือไม่รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ต่อเนื่องมาจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ศ. 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ลงนามเมื่อ วันที่ 7 มี.ค.59 โดยมีหลักการว่า ในปัจจุบันได้มีการนำสัญญาจ้างผลิตและรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรในระบบเกษตรพันธสัญญา “สมาชิกคอนแทรคท์ฟาร์มมิ่ง”มาใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าทางการเกษตรอย่างแพร่หลาย ซึ่งแม้จะช่วยพัฒนาระบบการทำเกษตรกรรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่โดยที่สัญญาดังกล่าวมีลักษณะผสมผสานระหว่างสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างแรงงานและสัญญาซื้อขาย ซึ่งมีความซับซ้อนและยุ่งยากในการวิเคราะห์ถึงความคุ้มค่าและต้นทุนในการดำเนินการส่งผลให้เกษตรกรต้องรับภาระความเสี่ยงในการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา และก่อให้เกิดข้อพิพาทขึ้นระหว่างคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรกับเกษตรกร อันส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตสินค้าทางการเกษตรและเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากนั้น มีการตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม”เพื่อรวบรวมข้อมูลและสภาพปัญหาเกี่ยวกับการทำการเกษตรในระบบเกษตรพันธสัญญา และเสนอแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม มีรมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ มีรมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน และยังมี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกินสิบคน จากการแต่งตั้งของรัฐมนตรี มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปี คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ เสนอแนะรูปแบบสัญญาที่เป็นธรรมต่อหน่วยงานรัฐ ต่าง ๆตราหรือแก้ไขกฎหมาย ติดตาม ประสานงาน หรือเร่งรัด รวมไปถึงกำหนดแนวทางหรือมาตรการโดยต้องคำนึงถึงอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม พบว่าในช่วงที่ “สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช.”ทำข้อเสนอ “ร่างกฎหมายฯ”มายังรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) “ตีพิมพ์ใน วาระปฏิรูปพิเศษ 9 : การปฏิรูประบบเกษตรพันธสัญญาให้เป็นธรรม ของสํานักการพิมพ์ สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สิงหาคม 2558) กำหนดว่า “ระบบเกษตรพันธสัญญา”หมายความว่า “ระบบการผลิตสินค้าและบริการทางการเกษตร ทั้งในด้านการปศุสัตว์ประมง และในการผลิตพืช ผัก ผลไม้ ที่มีสัญญาระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรกับเกษตรกร ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม”เห็นควรให้จัดตั้ง “คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม” ในหมวด 3 กำหนดให้มีการจดแจ้งและการเปิดเผยข้อมูล โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญาหรือเลิกการประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญาต้องจดแจ้งการประกอบธุรกิจหรือการเลิกประกอบธุรกิจต่อสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร และเปิดเผยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ ยังพบว่า ตามหมวด 4 ว่าด้วย “การคุ้มครองคู่สัญญาในระหว่างไกล่เกลี่ยข้อพิพาท”มาตรา 18 ในกรณีที่มีปัญหาหรือเกิดข้อพิพาทในระบบเกษตรพันธสัญญา ให้คู่สัญญาหรือผู้มีส่วนได้เสียเข้าสู่กระบวนการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและกรอบเวลาที่คณะกรรมการกำหนดก่อน จึงจะมีสิทธิฟ้องร้องต่อศาล มาตรา 19 ในระหว่างกระบวนการตามมาตรา 18 ห้ามมิให้กระทำการ ดังต่อไปนี้ (1.) ชะลอ ระงับหรือยุติการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหาย เว้นแต่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะปฏิเสธไม่ยอมรับ (2.) กระทำการใดๆ ที่เป็นการเสียหายแก่คู่สัญญาทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ การหยุดนำส่งปัจจัยการผลิต เป็นต้น (3.) ตกลงเพิ่มเติมหรือแก้ไขเพื่อให้คู่สัญญาอีกฝ่ายเป็นผู้รับความเสี่ยงภัย รับภาระ หรือมีหน้าที่เพิ่มเติมแต่เพียงลำพัง โดยไม่มีค่าตอบแทนในระดับที่เทียบเท่ากันได้ในทางเศรษฐกิจ โดยข้อตกลงเพิ่มเติมนั้นให้ถือว่าเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ และไม่มีผลผูกพันกัน สุดท้าย หมวด 5 บทกำหนดโทษ มาตรา 20 ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งหรือหนังสือเรียก ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท และปรับอีกวันละไม่เกินห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน มาตรา 21 ผู้ใดใช้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือข้อความใดที่ตีความได้ว่าได้รับการรับรองการจดแจ้ง โดยมิชอบ มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 22 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการ หรือการกระทำของบุคคลใด หรือไม่สั่งการ หรือไม่กระทำการอันเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำของกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งต้องรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นด้วย มาตรา 23 บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี ให้คณะกรรมการมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ในการใช้อำนาจดังกล่าวคณะกรรมการอาจมอบหมายให้คณะอนุกรรมการ เลขานุการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำการแทนได้ เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระเงินค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่กำหนดแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่างไรก็ตาม พบว่า “บทกำหนดโทษ”ในส่วนของข้อเสนอขอ “กฤษฎีกา”กลับรุนแรงกว่า เช่น มีการกำหนดโทษปรับไม่เกินสามแสนบาทสำหรับผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรซึ่งไม่แจ้งการประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญา ไม่แจ้งการยกเลิกการประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญา หรือไม่จัดทำเอกสารสำหรับการชี้ชวนก่อนการทำสัญญา กำหนดโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน สำหรับคู่สัญญาซึ่งชะลอ ระงับ หรือยุติการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายในระหว่างกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือกระทำการใด ๆ ที่เป็นการเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งในกรณีที่สัญญาสิ้น สุดลงแล้วในระหว่างกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กำหนดโทษปรับไม่เกินสามแสนบาท สำหรับผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร ซึ่งดำเนินการใดๆ เพื่อให้การทำสัญญาไม่เข้าลักษณะของสัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือ ให้ภาครัฐใช้เป็นกฎหมายควบคุม “กลุ่มธุรกิจด้านการเกษตร”ที่มีผลประผลประโยชน์จากเกษตรเป็นหลัก แม้กลุ่มธุรกิจ ผู้ประกอบการ ขนาดใหญ่ เคยให้คำนิยมของ “เกษตรพันธสัญญา”ว่า ไม่ใช่ระบบที่ทำลายเกษตรกร ไม่ได้เป็นสัญญาทาส หากแต่ต้องเป็นการทำงานที่สอดประสานกันระหว่างบริษัทกับเกษตรกร ที่ต้องแบ่งหน้าที่กัน และช่วยเหลือกันเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอาชีพ โดยมีกฎ กติกา มาตรฐาน และคุณภาพของสินค้า เพื่อให้เกษตรกรที่จะเข้าร่วมเป็น “สมาชิกคอนแทรคท์ฟาร์มมิ่ง”ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย. เครดิต : http://www.manager.co.th/Weekend/ViewNews.aspx?NewsID=9590000098719 -------------------------------------------------------------------------------------- ลุงตู่นี่ไม่ไหวจริง ไม่เหลือสิ่งดีๆให้รัถบาลขี้โกงเผาเมือง เค้าทำบ้างเหรอครับ เดี๋ยวเขาดันพรบ. นิรโทษตัวพ่อง อีกละก็ อย่าไปว่าเค้านะ 5555
ขอเสริมด้วยข้อดี ข้อเสีย ครับ ข้อดีของการทำคอนแทรคฟาร์มมิ่ 1. เกษตรกรมีผลผลิตขายแน่นอน สามารถนำวัตถุดิบป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อย่างสม่ำเสมอ และเป็นการประกันรายได้ ประกันราคาสินค้าล่วงหน้า ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีรายละเอียดไม่เหมือนกัน 2. เกษตรกรได้รับความรู้ ทั้งด้านวิชาการ การออกแบบแปลนฟาร์มมาตรฐาน และเทคนิคในการปรับลดต้นทุนในการผลิต พร้อมจัดหาวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตต่างๆ อาจรวมไปถึงการสนับสนุนสินเชื่อทางการเงิน 3. ผลผลิตได้มาตรฐานเดียวกับที่ทางบริษัทกำหนดและตรงตามความต้องการของตลาด 4. ในยุคโลกาภิวัตน์ การตกลงราคาและเวลารับมอบสินค้ากันชัดเจน เชื่อว่าเกษตรพันธสัญญา สามารถลดความผันผวนของรายได้และผลผลิตของเกษตรกร โดยสามารถทำให้ผลตอบแทน (รายได้) ค่อนข้างแน่นอนและสูงขึ้น และช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและเงินทุน 5. ช่วยให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารและจัดการ ช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในการพยุงราคา สินค้าเกษตรกรรม ตลอดจนช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานในภาคเกษตรกรรม 6. เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการแบ่งปันจากบริษัท เพราะมีวัตถุดิบสม่ำเสมอ ควบคุมต้นทุนได้ สามารถคาดการณ์วางแผนการตลาด รวมถึงบริษัทยังประหยัดได้จากขนาดกิจกรรม (economy of scale) เนื่องจากเป็นการผลิตขนาดใหญ่ ส่วนผู้บริโภคได้ประโยชน์จากคุณภาพสินค้าที่สูงขึ้นและราคาถูกลง ข้อเสียของการทำคอนแทรคฟาร์มมิ่ง 1. การทำ "คอนแทรค ฟาร์มมิ่ง" ภาคเอกชนมักจะทำสัญญาในรูปแบบสัญญาเชิงเอาเปรียบเกษตรกร ในเรื่องของผลตอบแทน ความเสี่ยง และความเป็นธรรม 2. เงินลงทุนต่อฟาร์มค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ที่จะเกิดขึ้น ทำให้การคืนทุนต้องใช้เวลานานหลายปี ขณะที่แหล่งเงินทุนของเกษตรกรมาจากการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ดังนั้น หากบริษัทยกเลิกพันธสัญญากับเกษตรกรในระยะสั้นหรือไม่วางแผนการผลิตให้ เกษตรกรอาจล้มละลายได้ นอกจากนี้ ยังพบว่าสัดส่วนของรายจ่าย (ต้นทุน) ต่อรายได้ของฟาร์มค่อนข้างสูง ประมาณ 27-92% จึงถือว่ามีความเสี่ยงค่อนข้างมาก 3. เกษตรกรมีความเสี่ยงสูง และเสี่ยงสูงขึ้นเมื่อได้รับผลกระทบทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือหวัดนก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในการสูญเสียผลผลิตมากขึ้น เมื่อรวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าปุ๋ย ค่ายา ฯลฯ 4. การที่สัญญาไม่ได้คำนวณรายได้ค่าตอบแทนจากการผลิตที่เป็นขั้นบันไดเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน ทำให้เกษตรกรไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะถึงจุดคุ้มทุน และมีกำไรจากการลงทุนเมื่อไร จึงทำให้เกิดความเสียเปรียบ http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/3120 ........................................................................ ยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดเท่าไหร่ครับ ต้องลองอ่านจากหลายๆแหล่งดูว่า ดีไม่ดีอย่างไร แต่เห็นดราม่าแล้ว คิดว่าหลายคนที่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ได้ทำการเกษตรนะ
"นพ.สุภัทร" จี้นายกฯ ทำตามข้อตกลงปารีส ชี้กรณีโรงไฟฟ้าเทพาอาจเติมเชื้อไฟใต้ให้ลุกโชน นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา และแกนนำแพทย์ชนบทภาคใต้จี้นายกรัฐมนตรีทำตามคำมั่นสัญญาข้อตกลงกรุงปารีส ชี้กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาของ กฟผ.อาจเติมเชื้อไฟใต้ให้ลุกโชน วันนี้ (1 ต.ค.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จ.สงขลา และแกนนำแพทย์ชนบทภาคใต้ ได้เขียนข้อความบนหน้าเฟซบุ๊กของตัวเองที่ใช้ชื่อ Supat Hasuwannakit เตือนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำตามคำมั่นสัญญาข้อตกลงกรุงปารีส เรื่องการลดภาวะโลกร้อนและการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังแนะให้รัฐบาล และ คสช.ยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 9/2559 ที่อนุญาตให้ลัดขั้นตอนหาผู้รับเหมาระหว่างรอผลพิจารณารายงานการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนมหาศาลได้ โดยเฉพาะได้จี้ให้มีการยกเลิกการเปิดรับซองประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 19 และ 26 ต.ค.นี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ นายกประยุทธกับคำมั่นสัญญาข้อตกลงปารีสเพื่อลดโลกร้อนนั้นดูดีน่าชื่นชม แต่วันที่ 19 และ 26 ตุลาคม 59 นี้ จะมีการเปิดรับซองประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาและท่าเทียบเรือขนถ่านหินตามลำดับ ทั้งๆที่ EHIA ยังไม่ผ่าน ยังมีข้อทักท้วงจากคณะกรรมการชำนาญการอีกหลายร้อยข้อ และการคัดค้านในพื้นที่ก็ยังหนาแน่น แม้ว่า คสช.จะเปิดช่องให้ กฟผ.ทำได้ตามประกาศ คสช.ที่ 9 /2559 ซึ่งอนุญาตให้ลัดขั้นตอนหาผู้รับเหมาระหว่างรอผลพิจารณารายงาน EHIA ได้ แม้จะต้องลงนามจัดซื้อจัดจ้างหลังผ่าน EHIA ก็ตาม แต่ก็นับเป็นคำสั่ง คสช.ที่เสียงยี้กระหึ่ม เพราะขัดต่อหลักสากลในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชน ในกรณีนี้ คสช.และรัฐบาลควรทบทวนคำสั่งนี้ กลับตัวเสียใหม่ ยึดมั่นในพันธะสัญญาต่อนานาชาติ เคารพในหลักนิติรัฐสากลของการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามชื่อกฏหมาย ควรยกเลิกประกาศ คสช.ที่ 9/2559 นี้ก่อนวันเปิดรับซองประกวดราคา เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกปกติ ให้เกิดการตัดสินการจะสร้างหรือไม่สร้างด้วยความรอบคอบบนพื้นฐานที่เป็นธรรม ไม่ให้เกิดความรู้สึกว่าชาวบ้านถูกรัฐรังแก หรือถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เสมือนรัฐรวมหัวกับนายทุนถ่านหินมารังแกประชาชน อันอาจเป็นภัยแทรกซ้อนต่อสถานการณ์ชายแดนใต้ได้ ความไม่เป็นธรรมที่พี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนใต้รู้สึก ต่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาอย่างรวบรัดและดันทุรังนี้ อาจเป็นอีกหนึ่งเชื้อไฟในอนาคตอันใกล้ เรื่องนี้ซีเรียสครับ ฝากเป็นภาระคนไทยทั้งประเทศ คนที่รักสิ่งแวดล้อม คนที่รักเคารพในสิทธิชุมชน ต้องการลดโลกร้อนอย่างจริงจัง บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องร่วมกันแสดงออก เพื่อให้ คสช.ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 9/2559 ก่อนวันที่ 19 ตุลาคม 2559 เรามีเวลาอีก 18 วัน เพื่อร่วมกันนำประเทศไทยให้กลับมาอยู่ในกลไกปกติในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และปกป้องสิทธิชุมชนครับ นพ.สุภัทรโพสต์ย้ำ
เรื่องเสื้อแดงที่เอาเขามาเอย เรื่องประชาไทเอย เรื่องช่วยพวกอ้าง ปชต. เอย อะไรอุดคอนายพลหัวเน่าครับ ทำไมไม่เคยเห็นตอบซักที
พรบ.นิรโทษตะกวดไอ้แม้วกำลังจะผ่านอยู่แล้วเชียว อีปรูโง่เสรือกแดรกนหวีดเข้าใป เกือบตาย 5555 สงสัยคงต้องไปผ่าตัดเอานกหวีดออกที่มอนเตร ละม๊าง กร๊ากกกกกกกๆๆๆๆๆ
คอนแทรคฟาร์มมิ่ง มีในไทยมานานแล้ว ทั้งทางด้านพืชและสัตว์ เพียงแต่ที่ผ่านมาร่างสัญญาที่ทำ บริษัทเป็นผู้ร่างฝ่ายเดียวและมักเอาเปรียบเกษตรกรมาตลอด การที่รัฐเข้าควบคุม ดูแลการร่างสัญญาที่ว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ เกษตรกรได้ประโยชน์โดยตรง ไม่มีเสีย
กระทู้คุยเรื่องเกษตรพันธสัญญา แล้วโรงไฟฟ้ามันเกี่ยวอะไรด้วย สมกับเป็นตัดแปะจริงๆ คิดว่าดูภาพอย่างเดียวแล้วมั่วเองมโนเองได้สินะ
แล้วเจ้าของทฤษฎี สองสูง เค้าว่าไงบ้างครับ เค้ายอมมั้ยครับ เป็นถึงนักธุรกิจที่สังคม(นักธุรกิจ)ไทยยอมรับเชียวนะ
ที่ผ่านมาช่อง 3 ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรว่าถูกเรารัดเอาเปรียบจำนวนมาก ล่าสุด มีข่าวดีสำหรับเกษตรกร เพราะคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม ซึ่งถือเป็นกฏหมายฉบับแรก ที่จะสร้างอำนาจต่อรองระหว่างเกษตรกรรายย่อย กับผู้ประกอบการเอกชนรายใหญ่ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการกำหนดมาตรการปกป้องเกษตรกร อาทิ การออกต้นแบบสัญญากลางที่เป็นธรรมให้เกษตรกร กำหนดให้บริษัทเอกชนต้องส่งหนังสือสัญญา และ หนังสือชี้ชวน ให้คณะกรรมการตรวจสอบก่อน หากสัญญาไม่เป็นไปตามหนังสือชี้ชวนให้ยึดผลประโยชน์ตามหนังสือชี้ชวน และ หากหนังสือสัญญามีลักษณะเอื้อประโยชน์กับบริษัทเอกชนมากเกินไป ให้ถือเป็นโมฆะ และในกรณีต้องพึ่งกระบวนการในชั้นศาล จะเพิ่มขั้นตอนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยให้มีบุคคลที่ 3 ที่เป็นกลาง และมีมาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองทั้งสองฝ่ายให้ สามารถทำงานร่วมกันได้ในระหว่างการไกล่เกลี่ย หากบริษัทเอกชนไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จะมีโทษปรับขั้นต่ำ 3 แสนบาทต่อราย ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คาดว่าจะแล้วเสร็จ และประกาศใช้ได้ในช่วงกลางปี 60