คราวก่อน ที่ทรัมป์ เชิญลุงตู่ ไปเมกา พวกร่าน ยังเจ็บข้ำระกำใจไม่หาย มาคราวนี้เหมือนโดนขยี้ เหยียบซ้ำที่แผลเดิม ให้เจ็บปวดรวดร้าว เข้าไปอีก เมื่อมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก มาไทย เพื่อเข้่าพบกับลุงตู่ 30 ต.ค. นี้ อูยย ซี้ดด อาา.....ใหวมั๊ยพวกมึง ฮ่าาาา http://news.thaipbs.or.th/content/266983
ขณะเดียวกัน JD.com และ Alibaba ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซจากจีน ก็เตรียมมาเยือนไทยเช่นกันในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ เพื่อชิงพื้นที่ศูนย์กลางอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคอาเซียน...!!
มีแล้วครับ เปิดตัวเมื่อปี 58... ตอนนั้นก็มีคนดิ้นเยอะแล้วครับ เดี๋ยวคงดิ้นอีกรอบ Facebook เปิดตัวสำนักงานในประเทศไทยแล้ว http://thumbsup.in.th/2015/09/facebook-thailand-office-official/
เริ่มต้นเรื่องนี้มาจากรองสมคิดเอามาพูดกับนักข่าวใช่ไหมครับว่าจะมา แต่รองโฆษกฯบอกว่ายังไม่มีเอกสารยืนยันอย่างเป็นทางการ ล่าสุดทีมงานเฟสบุ๊ค โพสต์ ใช่ไหมครับว่า ยังไม่มีกำหนดการเดินทางมาไทย
เบื้องหน้าเบื้องหลังของข่าวดังกล่าวมาจากที่ นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวกลุ่มหนึ่ง โดยมีการเปิดเผยถึงการเดินทางมาไทยของ มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก รวมถึงกำหนดการเข้าพบนายกรัฐมนตรี พล.อ ประยุทธ์ จันทรโอชา แต่นาย สมคิด ได้ขอร้องสื่อทุกคนในวงสนทนาหลังจบการพูดคุยว่าขออย่านำเสนอข่าวนี้ไปก่อน เพราะไม่อย่างนั้นมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก อาจไม่เดินทางมา แต่ปรากฎว่ามีสื่อ2สำนักซึ่งไม่อยู่ในวงพูดคุย ได้นำข่าวนี้ออกมาเผยแพร่ จนกลายเป็นข่าวครึกโครมและตามมาด้วยการให้สัมภาษณ์ยืนยันจากนายกรัฐมนตรี ถึงหัวข้อในการหารือกับ มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ด้วยว่า จะมีการพูดคุยหาแนวทางในการป้องกันปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างกัน แต่ในที่สุดเมื่อข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็เริ่มมีกระแสข่าวออกมาจากเฟสบุคว่า ขอปฎิเสธข่าวการเดินทางมาไทยของมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก แต่ที่น่าสนใจก็คือแม้เฟสบุคจะออกมาปฎิเสธ แต่มีการยืนยันชัดเจนว่า การเข้าพบของผู้บริหารเฟสบุค กับ นายกรัฐมนตรีของไทย ได้ถูกจัดวางกำหนดการทุกอย่างไว้เรียบร้อย คือกำหนดเวลา13.30น.ของวันที่ 30 ตค.นี้ แต่มาจนถึงขณะนี้เริ่มมีแนวโน้มความเป็นไปได้ว่า ผู้บริหารเฟสบุค อาจยกเลิกการเดินทางมาไทย เพราะด้วยบุคคลิกลักษณะที่ไม่ชอบเป็นข่าว ขณะที่นาย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีก็เครียดจนป่วย ไม่เข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลนับแต่เป็นข่าว แต่หากข่าวยกเลิกการเดินทางมาไทยของ มาร์ก ซักเกอร์เบิร์กเป็นจริง คนที่จะโดนผลกระทบเต็มๆแบบไม่อาจหนีพ้น ก็คือ นายกรัฐมนตรี พล.อ ประยุทธ์ จันทรโอชา แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้คงไม่มีอะไรมากหรอกครับ เป็นความ พลาด ของคนระดับรองนายกฯที่คุมความลับไม่ได้ และความไว้ใจสื่อที่มีหน้าที่ ขายข่าว มากไป คงเป็นบทเรียนราคาแพงไปเลย ส่วนนักธุรกิจระดับโลก ก็อาจจะมาในครั้งต่อๆไปได้ ในส่วนรัฐบาลก็เป็นแค่ความผิดพลาดเล็กๆเท่านั้นเอง อาจจะเป็นอาหารปากของกลุ่มเดิมๆ อีกเรื่องหนึ่ง
พวกชังชาติก็ "หัวร้อน" ตามเคย อย่าว่าแต่เรื่องเล็กๆแค่นี้เลย ชาติไทย .. หากนำโดยลุงตู่ ต้องให้ล้มคว่ำไปต่อหน้าต่อตาใช่ไหม ถึงจะสะใจคนพวกนี้ ไม่เคยดูเงาหัวพวกตัวเองเลยว่าบ้านเมืองเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ลุงตู่ต้องเข้ามาเพราะอะไร..
ดูพวก"ชังชาติ"ที่พยายามทำลายความน่าเชื่อถือทุกปัจเจกบุคคลและทุกสถาบันที่ไม่ยกย่องเทิดทูนตระกูลชินวัตรก็เป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งของผม เพิ่งได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยเล่มหนึ่งที่นักวิชาการไทยกับนักวิชาการฝรั่งช่วยกันเขียน ก็ได้เห็นวิถีแนวคิดแบบ"ชังชาติ"ได้ชัดเจนขึ้น ประเด็นหลักๆก็คือ ความเป็นไทยทั้งหลายแหล่ที่คนไทยตกยุค(ในทัศนะของผู้เขียน)ภาคภูมิใจ มีความเก่าแก่ไม่เกิน200ปี อัตลักษณ์ไทยที่เป็นแก่นสารมิได้มีอยู่จริง เราแค่เป็น melting pot ของมอญ เขมร ลาว จีน ฝรั่ง ฯลฯ เท่านั้น อะไรที่เป็นด้านลบของสถาบันกษัตริย์จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาละเลงสี แต่ด้านดีไม่ยอมกล่าวถึง ไม่มีความมุ่งมั่นใดๆของคนไทยที่จะธำรงเอกราชอธิปไตย ไม่ยอมเป็นขี้ข้าฝรั่งตาน้ำข้าวหรือชาติใดๆในโลก มีแต่ความพยายามของสถาบันหลักที่จะผูกขาดผลประโยชน์ที่มาจากการเอารัดเอาเปรียบประชาชน สำนึกความเป็นชาติ ภาษา วัฒนธรรม และความเป็นไทย ถูกยัดเยียดให้กับคนไทยโดยสถาบันหลักเพื่อให้คนไทยโง่ ถูกหลอกง่าย ปกครองง่าย ผู้เขียนสับสนที่จะจำกัดความสมาชิกคณะราษฎร์ ตอนรวมหัวกันยึดอำนาจจากร.7พวกนี้ทุกคนเป็นวีรบุรุษ พอแตกแยกกันเพราะแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว กลุ่มคนกลุ่มเดียวกันนี้กลายเป็นพวกโหนเจ้าบ้าง ตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่าบ้าง กลุ่มหัวก้าวหน้าที่ไม่เคยทำผิดใดๆในชีวิตบ้าง ฯลฯ ที่จริงหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอข้อมูลและหลักคิดที่น่าสนใจอยู่หลายประการ แต่ด้วยเนื้อหาที่ออกไปทาง"ชังชาตฺิ" ผมจึงได้เห็นคำนิยมที่เชิดชูหนังสือนี้จนเกินเลยของพวกขาประจำ"ชังชาติ"ทั้งหลายของนายสุจิตต์ วงเทศ นายวีรพงษ์ รามางกูร และนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ จนทำลายคุณค่าทางวิชาการของหนังสือนี้ลงไปมากทีเดียว