ชัดเจนขึ้นอีกว่ามาเลเซียอยู่เบื้องหลังความไม่สงบภาคใต้ ประเทศตัวเองยังยุ่งเรื่องชาติพันธุ์ไม่พอ ยังจะมาแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้าน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9580000097493 เอเอฟพี - แนวร่วมกบฏมุสลิมกลุ่มใหม่ที่เกิดจากการรวมตัวของผู้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ได้เปิดตัวที่มาเลเซีย พร้อมเรียกร้องในวันพฤหัสบดี (27 ส.ค.) ให้มีการกลับมาเจรจาสันติภาพกันอีกครั้ง แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้นำรัฐบาลไทยจะให้การยอมรับพวกเขาหรือไม่ คณะผู้แทนของกลุ่ม "มารา ปัตตานี" ซึ่งอ้างว่าเป็นปากเป็นเสียงพูดแทนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทย 6 กลุ่ม ระบุว่า พวกเขาได้พบกับเจ้าหน้าที่ไทยแล้วระหว่างการพูดคุยกันที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ "มารา ปัตตานี" เป็นการร่วมมือกันของกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทย 6 กลุ่ม ได้แก่ แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (บีอาร์เอ็น) , แนวร่วมอิสลามปลดปล่อยปาตานี (บีไอพีพี) , องค์การปลดปล่อยสหปาตานี (พูโล) 3 กลุ่ม , ขบวนการมูญาฮิดีนอิสลามปาตานี (จีเอ็มไอพี) "หลักการของเราคือหาวิธีแก้ปัญหาโดยการพูดคุยอย่างสันติ" อาวัง ยะบะ บอกกับนักข่าวระหว่างการพูดคุยกันสั้นๆ ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เขาเป็นประธานกลุ่มมาราปัตตานีและเป็นผู้แทนจากขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (บีอาร์เอ็น) "เราหวังว่าจะสามารถยุติการสู้รบและก่อให้เกิดสันติอย่างยั่งยืน" เขากล่าว เขาบอกด้วยว่าผู้แทนของไทยที่เข้าร่วมการพูดคุยเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่แสดงท่าทีชัดเจน โดยอ้างว่าต้องขอหารือกับผู้นำ คสช. เสียก่อน อย่างไรก็ตาม พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของไทย ได้แสดงท่าทีข้องใจกับการหันกลับมาขอเจรจาสันติภาพครั้งนี้ ระหว่างการให้ความเห็นกับเอเอฟพีที่กรุงเทพ "การเจรจาสันติภาพเป็นเรื่องที่ทางหน่วยงานความมั่นคงดูแลอยู่แล้ว อย่าไปให้ความสำคัญกับกลุ่มที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่เหล่านี้" เขากล่าว การก่อความไม่สงบที่กินเวลายาวนานนับทศวรรษในภาคใต้ของไทยนั้น มีทั้งการวางระเบิดและยิงกันเกือบทุกวัน บางครั้งก็มีการตัดคอด้วย เหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดน หนึ่งในนั้นคือ ปัตตานี ชาวมุสลิมจำนวนมากในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทย มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย การต่อสู้เพื่อสิทธิในการปกครองตนเองของกลุ่มก่อความไม่สงบเหล่านี้ในพื้นที่ภาคใต้ของไทย ประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ ได้ทำให้มีคนตายไปแล้วมากกว่า 6,400 ราย ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือน มาเลเซีย เคยจัดให้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างกลุ่มก่อความไม่สงบกับรัฐบาลไทยชุดก่อนหลายครั้งแล้วเมื่อปี 2013 แต่มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความขัดแย้งนี้ ระบุว่า ความพยายามที่จะนำมาซึ่งสันติภาพได้ถูกขัดขวางโดยกลุ่มย่อยของผู้ก่อความไม่สงบเหล่านี้ รวมถึงความคลางแคลงใจในตัวผู้เจรจาครั้งก่อนๆ ของกลุ่มบีอาร์เอ็น ว่าเป็นตัวแทนของผู้ที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่ตัวจริงหรือไม่ ระหว่างการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ไทยเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา "มารา ปัตตานี" ได้ขอให้มีการคุ้มครองทางกฏหมายสำหรับความรุนแรงในอดีตที่เคยทำไว้ เป็นหนึ่งในเงื่อนไขของการกลับมาเจรจาสันติภาพ พวกเขายังบอกด้วยว่า การเจรจาสันติภาพควรได้รับการบรรจุให้เป็นวาระแห่งชาติโดยรัฐสภาไทย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้การเจรจาในอนาคตต้องล่มอีกครั้งเพราะการเปลี่ยนรัฐบาล รวมถึงต้องการให้ไทยยอมรับองค์กร มารา ปัตตานี
ยอม 1 กลุ่ม เดี๋ยวก็มีอีกกลุ่มโผล่ขึ้นมาอีก เชื่อเหอะ สู้กันต่อไปโดยอยู่บนพื้นฐานการปฏิบัติที่ถูกต้อง การฆ่าคนบริสุทธิ์แล้วได้สิ่งที่หวังเราควรจะยอมเหรอ ถ้าเค้าต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียวยังพอยอมรับได้บ้างว่าคือการต่อสู้
สงสัยเรามาถูกทางจริงๆ เดียวนี้ข่าวทางสามจังหวัดก็น้อย รัฐบาลก็เข้มแข็งขึ้น สมัยก่อนเรียกมาเจรจา มันก็เล่นตัว นึกว่าตัวเองเป็นต่อ มันพูด เหมือนจะขู่ รัฐบาลอย่ายอม ให้มันวางอาวุธแล้วเขามอบตัว แล้วค่อยเจรจา โทษไหนอาญาก็ว่าไปตามกฎหมาย โทษไหนการเมือนก็ว่าไปตามนั้น สู้กันมาจะยี่สิบปี ไม่เห็นมันได้อะไร แล้วเราก็ไม่ได้เสียอะไร และเราสามารถควบคุมขอบเขตของความรุนแรงได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทางฝั่งนั้นดูกลับจะเสียมวลชนและยุทธวิธีในการใช้ก็ดูมีจำกัดน้อยลง ดังนั้นให้วางอาวุธและมอบตัวอย่างเดียว
ผมมีความในใจขอแถ-ลง 1 เงื่อนไขข้อแรกคือพวกมึงสั่งหยุดยิงให้ได้3เดือนก่อน ถ้าสงบพวกผมถึงจะเชื่อว่าพวกมึงเป็นตัวจริงที่สั่งการได้ 2 ขอด่าไอ้เหี้ยชาติหมามาเลเซีย แม่งเหี้ยทั้งชาติ สมัยคอมมิวนิสต์มาลายู ไทยน่าจะช่วยฝ่ายจีนมาลายูให้แยกประเทศไปเลยจะได้เป็นรัฐกันชน
ผมเชื่อน่ะว่าแม้เราจะยอมให้ปกครองตนเอง สมมุติน่ะครับ แล้วก็มีใครซักคนมาปกครองเป็นใหญ่ มันจะสงบหรือครับ ผมว่าอาจจะหนักกว่าเดิมก็ได้ เพราะคนอยากเป็นใหญ่คงไม่ได้มีแค่คนเดียว
พี่ชายผมเคยอยู่สงขลานานหลายสิบปี เลยมีเพื่อนที่เป็นคนท้องถิ่นเยอะ ตะแกบอกว่าเราคิดผิดที่ช่วยมาเลย์กำจัด จคม. เพราะ จคม.ไม่ทำร้ายคนไทย แต่มาเลย์ไม่เคยจริงใจ ช่วยเรากำจัดพวกแบ่งแยกดินแดน
ตอนนี้ยังมี จคม. ที่เบตง กับ สตุล 2 - 3 กลุ่ม ไม่มีบทบาท แต่พวกที่ก่อเหตุไม่กล้ายุ่งกับพวกที่ว่านี่ ฝ่ายการข่าวรู้ดี
เมื่อก่อนเคยคิดนะว่า...เหมือนมาเลย์จะสกัดนักท่องเที่ยวของเขาไม่ให้มาเที่ยวไทยด้วยวิธีนี้ ต้องมีเจ็บ มีตาย จะได้ไม่มาเที่ยวบ้านเรา
ถ้าผมเป็นรััฐบาลไทยผู้มีอำนาจเต็ม ผมจะทำดังนี้ ๑.ให้การสนับสนุนคนมาเลย์เชื้อสายจีนในรัฐปีนัง เคลื่อนไหวขอสิทธิทางการเมืองให้เท่ากับคนเชื้อสาย มลายู ไม่ว่าจะเป็นการรับราชการ การดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง การถือครองที่ดิน และที่สำคัญที่สุดจะขอให้ รัฐบาลมาเลย์ยกเลิกนโยบายภูมิปุตรา เพื่อความเสมอภาค ๒.จากข้อ ๑ หากรัฐบาลมาเลย์ไม่ตอบสนอง ผมจะสนับสนุน ให้คนเสื้อสายจีนในรัฐปีนัง และรัฐเคดาห์ เรียกร้องเอกราช และการปกครองตนเองจากรัฐบาลมาเลย์ไปเลย ๓.จากข้อ ๑ และ ๒ ผมในฐานะรัฐบาลไทยจะเชิญจีนมาเป็น ผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายู หมายเหตุ หากผมทำทั้ง ๓ ข้อบรรลุผล เชื่อว่าไฟใต้ในยะลา ปัตตานี และนราธิวาส คงดับสนิทแน่นอน เชื่อไหมละครับ
ผมเคยให้ความเห็นมานานแล้ว เรื่องกองทัพบกของมาเลย์เซียที่อ่อนแอมาก เนื่องจากคนมาเลย์ไม่ชอบงานลำบากแบบทหารบก แต่จะชอบเป็นตำรวจกับทหารเรือ กลายเป็นแรงผลักดันให้มาเลย์เซียพยายามสร้างรัฐกันชนขึ้นมา อันเนื่องมาจากกำลังทัพบกของไทย นั่นทำให้เกือบทุกกรณีที่ผู้ก่อเหตุหลบหนีข้ามชายแดนไปแล้วเราทำอะไรไม่ได้ กองทัพบกน่าจะทำสงครามสั่งสอนมาเลย์เซีย ยกพลไปกินข้าวที่กัวลาลัมเปอร์ซักวัน น่าจะใช้เวลาเดินทัพไม่เกินสามชั่วโมง
คือไอ้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ไทยพุทธก็ทำมาหากินยากแล้ว ถ้ายังโลกสวยเอาใจพวกมุสลิมยอมไปหมดทุกอย่าง คนพุทธสามจังหวัดภาคใต้คงไม่ต้องอยู่กันล่ะครับมีแต่จะย้ายไปทำมาหากินที่อื่นกันหมด อย่างญาติๆผมที่นราธิวาสนี่แทบทุกคนจะมีบ้านหรือมีที่อยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว แค่ไม่ยอมขายที่แต่ทิ้งเอาไว้เพราะยังไงก็เป็นที่ดั้งเดิมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย คนที่ค้าขายก็ขายของได้เฉพาะกับคนพุทธ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ของที่ต้องใช้ฮาลาล แต่ถ้ามีคนมุสลิมขายของแบบเดียวกัน เขาก็จะไปซื้อคนมุสลิม ไม่มีมาซื้อของไทยพุทธเลย คนไทยพุทธที่นั่นคือคนชั้นสอง แล้วถ้ายังโลกสวย ยอมเจรจาและรับข้อเสนอให้คนพวกนี้มันมีอำนาจต่อรองเพิ่ม คนไทยพุทธที่นั่นคงไม่ต้องเหลือที่ยืนกันล่ะ
พูดอย่างคนที่มองจากนอกพื้นที่ จะเจรจากับพวกหมาลอบกัด อย่าไปให้เกียรติพวกมันมากนัก คนที่ลอบฆ่าครู อาจารย์ แม้แต่พระสงฆ์ ถึงมันรับปากก็พร้อมที่จะตระบัดสัตย์ ให้คนท้องถิ่นรู้กันว่า ถึงเราจะเสียสามสี่จังหวัดภาคใต้ให้ไอ้พวกหมาลอบกัดพวกนี้ พอมันได้ดินแดนไป สันดานกระหายเลือดจะปลุกให้มันสังหารกันเองอยู่ดี ปราบให้หนัก บีบให้มันวางอาวุธก่อน จึงเจรจาดีกว่าครับ
สงบแน่เหรอ ว่างมาก มันก็ฆ่ากันเอง ไทยพุทธก็โดนลูกหลงไปด้วย ต้องหาเหตุจริงๆที่ก่อการร้ายมาตลอด แยกดินแดนหรือหวังเงินสนับสนุน
ถ้ายกให้เป็นเขตปกครองพิเศษ จะทำให้การแบ่งแยกดินแดนรุนแรงขึ้นมั้ยครับ หรือจะทำให้ความรุนแรงน้อยลงเพราะมุสลิมจะได้รู้สึกว่ามีพื้นที่ยืนของตัวเอง (จะให้มุสลิมรู้สึกกลมกลืนกับศาสนาอื่นคงเป็นไปไม่ได้ หรือยากมาก)
ยะลาและนราธิวาสนี่ถ้าไม่มีปัญหาความรุนแรงผมว่าจะมีรายได้เข้าจังหวัดเยอะเลยโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว เพราะเป็นจังหวัดที่มีธรรมชาติสมบูรณ์และสวยงามมากหลายๆอย่างไม่สามารถหาได้ที่จังหวัดอื่นๆ แต่ตอนนี้ถ้าคนจะไปเที่ยวอย่างมากก็คงไปเบตงเพราะปลอดภัยที่สุดในแถบนั้นแล้ว
แล้วก็ถางป่ารอยต่อ ถางป่ากระจายทั้งพื้นที่ เอาค่ายทหาร เอาคุก รร ดัดสันดาน ไปตั้ง แล้วหากิจกรรมทำเยอะๆ
มาเลย์พรรคอัมโน่คืิอผู้ควบคุมทุกสิ่งครับ ถ้ารัฐบาลล๊อบบี้พรรคอัมโน่ได้สำเร็จ ทุกอย่างในมาเลย์ก็จะเป็นไปตามคำสั่งของพรรคอัมโน่
รัฐซาราวัก กลัวจะเข้าทางตีนสิงคโปร์นะสิ เพราะมันไม่ต้องง้อ รัฐบาลมาเลย์ซื้อน้ำดิบทุกปีๆ ต้องรัฐปีนังถึงจะเจ็บกระดองใจ ที่สำคัญรัฐนี้มีคนเชื้อสายจีนอยู่กันเยอะมากราว 70-80 % เชียว
แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราช | เดลินิวส์ „แนวร่วมปัตตานียันต้องการรัฐเอกราชคณะผู้แทนเจรจาของแนวร่วมสภาที่ปรึกษาปัตตานียัน เป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้คือ การแยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเป็นรัฐเอกราช พร้อมขู่ความรุนแรงจะมีมากขึ้นอีก จนกว่าสิทธิในการตัดสินใจตนเองของชาวมุสลิมในพื้นที่จะได้รับการรับประกัน“ http://www.dailynews.co.th/foreign/344472 (ผมเอา link มาจากเพจ ห่วยตูนอีกทีนะครับ) คือพวกเวรเนี่ยมันต้องเจอผู้นำแบบปูติน รับรองไม่นานหายเรียบ
แยกกันเดินร่วมกันตี http://manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000097770 ผู้นำศาสนายะลาเชื่อ “มารา ปาตานี” ยอมรับการพูดคุยเพื่อสันติสุข ยะลา - ผู้นำศาสนายะลา ชี้หลังการพูดคุยเพื่อสันติสุขอย่างไม่เป็นทางการกับ กลุ่มมารา ปาตานี ยังไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ หรือนี่เป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายยอมรับในการพูดคุย ..... ซึ่ง นายนิมุ มะกาเจ ผู้นำศาสนาจังหวัดยะลา ได้แสดงความคิดเห็นว่า การพูดคุยสันติภาพต้องมีการดำเนินต่อไป และสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนในครั้งนี้ คือ ในระหว่างการพูดคุย หรือแม้กระทั้งวันนี้หลังการพูดคุย ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ซึ่งทางหน่วยงานความมั่นคงต้องมองตรงจุดนี้ด้วย ว่ามีนัยอะไรหรือไม่ หรือเป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายยอมรับในการพูดคุย แต่ทั้งนี้ กลุ่มที่เหลืออีก 7 กลุ่ม จะมีความคิดเห็นอย่างไรนั้น ฝ่ายไทยต้องสืบเสาะ และหาข้อมูลมากลั่นกรองอีกครั้ง
จากการที่มีชาวไทยมุสลิมโดนไอ้พวกหัวรุนแรงคลั่งศาสนาล้างสมองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่าคงเสี่ยงมากถ้าจะปล่อยให้สามจังหวัดชายแดนได้ทำประชามติ
ไล่ไปแล้วรอบนึงนี่ครับ ตอนปี 2505 เกิดเป็นประเทศใหม่ชื่อ ลึงคโป ปากกัดตีนทีบเอาเปรียบชาวบ้านจนขึ้นมาอยู่แถวหน้าในเอเชีย ถ้าไล่อีกรอบนี้ คิดว่า ศก มาเลย์จะรอดมั๊ย ผมไม่ห่วงคนจีนมาเลย์หรอกครับ แต่อยากให้คนมาเลย์ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นมากกว่า
ส่งทีมงานไปวางระเบิด และไล่ยิงแถวบ้านมันบ้างก็ได้นะครับ ลูกปืนกะระเบิดในคลังแสงมีตั้งเยอะ เก็บไว้ทำไม เผื่อมันจะสำนึกดีชั่วได้บ้างตอนมันเสียลูกเมีย เจรจากี่รอบมันก็ไม่สำนึก
ช่วงนี้มาเลย์กำลังมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ แถมเศรษฐกิจแย่เพราะราคาน้ำมันลดลงมาก น่าจะมีมือที่มองไม่เห็นจากสยามประเทศไปช่วยยุคนมาเลย์ที่ไม่ใช่มุสลิมตั้งองกรณ์เพื่อแยกดินแดนบ้างนะ ถ้าจุดติดนี่อาจจะทำได้จริงจังสนุกสนานกว่า 3 จังหวัดชายแดนของเราอีก อยากรู้นักว่าถ้าประเทศมันเจอปัญหาป่วนหนักๆบ้างแล้วยังจะมีปัญญามาสนับสนุนพวกสร้างความแตกแยกให้คนไทยอีกใหม
พวกมุสลิม ในมาเลย์แดกเหล้าเบียร์ทั้งนั้น ตาม 7-11 เปิดขายให้ 24 ชม.และพวกคนจีนก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้าพวกมุสลิม ระหว่างKLกับ KC (KUCING) เมืองหลวงของซาราวัก จะแตกต่างกันเยอะ KL จีนแต่งงานกับมุสลิม แต่ในKC จะรังเกรียจ และในKCพวกมุสลิม จะอยู่ในสลัม แต่คนจีนจะรวยมาก ฟ้ากับเหวเลยละ
สถานการณ์เริ่มดีขึ้น การก่อเหตุลดลง เริ่มพิจารณาถอนกำลังทหารกันแล้ว รัฐบาลเตรียมผลักดัน 3 พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็นโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" เพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ โครงการที่รัฐบาล โดย ศอ.บต.ร่วมกับหอการค้า สภาอุตสาหกรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนักธุรกิจในพื้นที่ พัฒนาอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นเมืองต้นแบบเกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเมืองพัฒนาพึ่งตนเองด้านพลังงานแบบยั่งยืน และอำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนระหว่างประเทศ โดยทั้ง 3 เมืองจะยึดโยงกันเป็นสามเหลี่ยม และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอาณาเขตโดยรอบ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้อัตลักษณ์ของตนเอง เชื่อมต่อกับประเทศโลกมุสลิม ภายใต้แนวคิด สานพลังประชารัฐผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ หรือ Big push เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ซึ่งจะลงพื้นที่วันพรุ่งนี้ สนับสนุนให้ใช้มิติทางเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเกิดความสันติสุขอย่างยั่งยืน จะผลักดันแผนปฏิบัติการโครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน การจัดตั้งคณะทำงานสานพลังประชารัฐ รับผิดชอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ และเงื่อนไขพิเศษสนับสนุนการลงทุน เช่น ยกเว้นภาษี และการจูงใจบุคลากรคุณภาพมาทำงานด้วย นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปจังหวัดนราธิวาส ติดตามปัญหาความมั่นคงในภาคใต้ พร้อมผลักดัน หนองจิก-เบตง-สุไหงโก-ลก เป็นเมืองต้นแบบ เชื่อมโลกมุสลิม ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ เช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พล.อ ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล. ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อประชุมหน่วยงานความมั่นคง ติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาไฟใต้ และเป็นสักขีพยานมอบโฉนดที่ดินบริเวณเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี 800 แปลง ให้ประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งประชุมแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผลักดันโครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยใช้อัตลักษณ์เชื่อมต่อกับประเทศมุสลิม ภายใต้แนวคิด สานพลังประชารัฐ ผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ ด้วยการพัฒนาอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นเมืองต้นแบบการเกษตร อุตสาหกรรมก้าวหน้า และ พัฒนา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นเมืองพัฒนาพึ่งตนเองแบบยั่งยืน และ พัฒนา อำเภอสุไหโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนระหว่างประเทศใน 3 เมือง ยึดโยงเป็นสามเหลี่ยมกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา โดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มระยะที่ 1 ปี 2560-2562 และ ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2563-2565 ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ด้วย สถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้ถือว่ามีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งคนในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มากขึ้น ที่สำคัญดัชนีความสุขของคนในพื้นที่มีสูงขึ้น ทำให้ล่าสุด กองทัพบกเตรียมถอนกำลังพลของกองทัพภาคที่ 1 และ 3 ออกจากพื้นที่เพิ่มเติมอีกภายในเดือนตุลาคมนี้ หลังส่งไปช่วยปฏิบัติภารกิจดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นานนับ 10 ปี อีกเหตุผลสำคัญที่กองทัพบก ตัดสินใจถอนกำลังนั้นนอกจากต้องการลดภาระด้านงบประมาณแล้ว แต่เพราะคนในพื้นที่มีความเข้มแข็งขึ้นมากไม่ว่าจะเป็นประชาชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สามารถรวมตัวกันปกป้องดูแลพื้นที่ของตัวเอง จนสร้างความมั่นใจให้กับชาวบ้านได้ ซึ่งถือเป็นการสร้างสันติสุขได้อย่างยั่งยืน จากสถิติการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะ 3 ปีล่าสุด มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2558 มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น 674 ครั้ง และถ้าดูดัชนีความสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ทำการสำรวจไว้ พบว่าจากค่าเฉลี่ยความสุขเต็ม 4 คะแนน จังหวัดปัตตานี มีมากถึง 3.16 จังหวัดนราธิวาส 3.18 และ จังหวัดยะลา 3.04 คะแนน ซึ่งมากกว่าอีกหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นนครศรีธรรมราช ระนอง หรือ จังหวัดภูเก็ต ที่ได้เพียง 2.98 คะแนน ทั้งที่เป็นเมืองท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเพิ่มความสุขให้กับคนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มากขึ้น นายกรัฐมนตรี ได้วางนโยบายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยจะประชุมร่วมกับคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ ฝ่ายเศรษฐกิจ รวมถึงนักธุรกิจ ที่ขณะนี้กำลังเจรจาเชิญให้เข้าร่วมในสัปดาห์หน้า ล่าสุด นายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางไปยังมาเลเซีย ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้ เพื่อหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน ร่วมกันด้วย ปัจจุบัน ทหารจากกองทัพภาคที่ 1 และ 3 ถูกส่งเข้ามาช่วยปฏิบัติภารกิจดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเหลือเพียง 3 กองพัน หรือ ประมาณ 2,000 นาย เท่านั้น สถิติความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2556 - 1288 ครั้ง 2557 - 806 ครั้ง 2558 - 674 ครั้ง ดัชนีความสุขของคนใน 14 จังหวัดภาคใต้ 1.จ.สตูล 3.25 คะแนน 2.จ.สงขลา 3.24 คะแนน 3.จ.นราธิวาส 3.18 คะแนน 4.จ.พัทลุง 3.19 คะแนน 5.จ.พังงา 3.18 คะแนน 6.จ.ปัตตานี 3.16 คะแนน 7.จ.ชุมพร 3.16 คะแนน 8.จ.สุราษฏร์ธานี 3.13 คะแนน 9.จ.ตรัง 3.11 คะแนน 10.จ.กระบี่ 3.06 คะแนน 11.จ.ยะลา 3.04 คะแนน 12.จ.นครศรีธรรมราช 3.02 คะแนน 13.จ.ระนอง 3.00 คะแนน 14.จ.ภูเก็ต 2.98 คะแนน วันที่ 16 สิงหาคมนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการไปประเทศมาเลเซีย เพื่อเตรียมหารือความร่วมมือ แก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนร่วมกัน การลงพื้นที่ภาคใต้ของนายกรัฐมนตรีเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นหัวใจสำคัญ ที่รัฐบาลต้องการประกาศแผนพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรูปแบบ 3 เหลี่ยมเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพื่อเป็นการดึงเอาศักยภาพของท้องถิ่น ทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และท่องเที่ยว เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาเชื่อมโยงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยใช้เศรษฐกิจนำความมั่นคง จึงทำให้เกิดรูปแบบโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ขึ้นมา เพื่อที่จะพัฒนาเมืองต้นแบบทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน และมีศูนย์กลางการค้าชายแดนระหว่างประเทศ โดยสัปดาห์หน้า จะมีการเชิญภาคเอกชนมาร่วมหารือ ส่วนมิติด้านความมั่นคง จะมีการปรับลดกำลังทหารในพื้นที่ โดยถอนกำลังทหารกองทัพภาคที่ 1 และ 3 ออกจากพื้นที่ พร้อมตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ที่จะมีประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเพื่อช่วยดูแลพื้นที่ตนเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และสร้างความเข้มแข็งของคนในพื้นที่อีกทางหนึ่ง ซึ่งมาตรการนี้ สะท้อนให้เห็นจากผลสำรวจของดัชนีความสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชี้ว่า แนวทางดังกล่าวประสบความสำเร็จ โดยค่าเฉลี่ยความสุขเต็ม 4.00 จ.ปัตตานี มีมากถึง 3.18 จ.นราธิวาส 3.16 และ ยะลา 3.04 คะแนน การลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาสของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นอกจากเห็นชอบผลักดันเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน พัฒนาชายแดนภาคใต้ระยะเวลา 5 ปีแล้ว ยังสนับสนุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส เลขาธิการ ศอ.บต. เชื่อมั่นว่าจะเดินหน้าได้เพราะประชาชนในพื้นที่ต้องการ ขณะที่อดีตเลขาธิการอาเซียนมองว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างสันติภาพชายแดนใต้
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มั่นใจการปรับกำลังทหารในจังหวัดชายแดนใต้ตุลาคมนี้สอดคล้องสถานการณ์ เผยกำลังทหารหลักลดเหลือ 7 กองพัน น้อยสุดในรอบ 12 ปี แต่ยังตรึงทหารพราน 12 กรม พ.อ.เทอดศักดิ์ งามสนอง เสนาธิการการกองพลทหารราบที่ 4 รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจยะลา (ผบ.ฉก.ยะลา) เปิดเผยถึงแผนการถอนกำลังทหารจากกองทัพภาคอื่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับที่ตั้งหน่วยปกติในเดือนตุลาคมนี้ว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) มีความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ดีขึ้น แต่การวิเคราะห์สถานการณ์เชิงลึกเพื่อออกเป็นนโยบายจะให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การปรับกำลังตามแผน โดยกอ.รมน.ภาค 4 สน.ได้เตรียมโครงสร้างการจัดกำลังทดแทนไว้แล้ว หลังจากถอนกำลังจากกองทัพภาคภาคที่ 3 กลับ 2 กองพัน และจากกองทัพภาคที่ 1 กลับ 1 กองพัน กอ.รมน.ภาค 4 สน.ได้เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยในพื้นที่ กำลังประจำถิ่น และภาคประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด โดยมีกำลังอื่นมาทดแทนอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะลงตัว ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในปัจจุบันในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ มีกำลังทหารหลักจำนวน 11 กองพัน และในเดือน ต.ค.นี้ตามแผนที่จะถอนทหารกลับหน่วยที่ตั้งปกติ 4 กองพันประกอบด้วย กองทัพภาคที่ 1 จำนวน 1 กองพัน กองทัพภาคที่ 3 จำนวน 2 กองพัน และนาวิกโยธิน ทร.จำนวน 1 กองพัน ทำให้เหลือกำลังพลในพื้นที่ 7 กองพัน (ประมาณ 184นาย/กองพัน) และ กรมทหารพราน (ทพ.)12 กรม ทั้งนี้ถือว่ามีกำลังทหารหลักลดลงมากที่สุดในรอบ 12 ปี จากเดิมที่มีมากที่สุดในช่วงปี 2550-2552 มี 22 กองพัน สำนักข่าวไทย 10 ส.ค.-หากเปรียบเทียบช่วง 10 เดือนของปี 2558 กับช่วงเวลาเดียวกันของปีนี้ พบว่าสถิติเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ลดลงร้อยละ 12.09 ตัวเลขผู้เสียชีวิตลดลงมากถึงกว่าร้อยละ 30 ขณะที่จำนวนเหตุการณ์และตัวเลขการสูญเสียในช่วงเดือนรอมฎอนลดลงมากที่สุดในรอบ 12 ปี ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงปรับกำลังชายแดนใต้ โดยในเดือนตุลาคมปีนี้จะเริ่มต้นโครงสร้างใหม่ ไฟใต้ที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงในปี 47 ต่อเนื่องมาปี 48 และไม่มีทีท่าจะสงบลง พฤศจิกายน 2549 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ขณะนั้น ตัดสินใจส่งกำลังพลจากกองทัพภาคที่ 1, 2 และ 3 ลงไปช่วยกองทัพภาคที่ 4 รวม 22 กองพัน แบ่งพื้นที่ให้กองทัพภาคที่ 1 ดูแลนราธิวาส กองทัพภาคที่ 2 รับผิดชอบปัตตานี และกองทัพภาคที่ 3 คุม ยะลา แต่เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคมปีนี้ กำลังพลจาก 3 ทัพภาค จะกลับที่ตั้งทั้งหมด หลังฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์แล้วว่า “ดีขึ้นตามลำดับ” ปัจจุบัน กองทัพภาคที่ 2 ถอนกำลังกลับที่ตั้งหมดแล้ว ตั้งแต่ตุลาคม 58 ยังเหลือในส่วนของกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 3 และนาวิกโยธิน กองทัพเรือ หลังปรับกำลังชายแดนใต้ กองทัพภาคที่ 4 จะเป็นผู้รับผิดชอบจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด ล่าสุด กำหนดให้ มณฑลทหารบกที่ 46 ดูแลปัตตานี กองทัพน้อยที่ 4 คุมยะลา ส่วนกองพลทหารราบที่ 15 รับผิดชอบนราธิวาส โดยจะเสริมกำลังประจำถิ่น เช่น อส. ชรบ. อรบ. และตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษอีก 15,000 นาย ทำงานควบคู่กับทหารพรานอีก 13 กรม ส่งผลให้ชายแดนใต้มีกำลัง 3 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ พลเรือน มากถึง 75,000 นาย.-สำนักข่าวไทย นายกรัฐมนตรี ยังไม่เห็นชอบกรอบความร่วมมือ ที่ได้จากเวทีพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มมาราปาตานี ที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนหน้านี้ พร้อมขออย่าเพิ่งเร่งรัดการพูดคุยในครั้งต่อไป พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการพูดคุยสันติสุขครั้งที่ 3 ระหว่างฝ่ายไทยกับกลุ่มเคลื่อนไหว ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรวมตัวกันในชื่อ "มาราปาตานี" โดยมีประเทศมาเลเซียอำนวยความสะดวก ขณะนี้ฝ่ายไทยยังไม่ตัดสินใจเข้าร่วมการพูดคุย ในวันที่ 2 กันยายนนี้ ตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะรัฐบาลยังไม่เห็นชอบทีโออาร์หรือกรอบความร่วมมือที่ได้จากการเจรจาก่อนหน้านี้ ต้องให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาอย่างรอบคอบ ขออย่าเร่งรัดหรือกดดันเจ้าหน้าที่ ส่วนเหตุระเบิดใน 7 จังหวัดภาคใต้ นายกรัฐมนตรี ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งเรื่องการเมืองและกลุ่มก่อเหตุจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เชื่อว่าไม่ใช่การขยายพื้นที่ก่อเหตุ นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลจะเป็นฝ่ายกำหนดวันพูดคุยสันติสุขชายแดนภาคใต้กับกลุ่มมาราปัตตานี ขอทุกฝ่ายอย่าขยายความ เพราะจะกระทบกับการพูดคุย เผยกำลังหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังทำรัฐธรรมนูญปลอมบิดเบือนว่าไทยสนับสนุนแต่ศาสนาพุทธ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.กล่าวถึงการนัดพูดคุยสันติสุขชายแดนภาคใต้กับกลุ่มมาราปัตตานีว่า ยังยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเป็นวันที่ 2 ก.ย.นี้หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลไทยต้องเป็นฝ่ายกำหนดวัน แต่ขออย่าขยายความ หรือกดดันให้เกิดความเสียหายว่าเหตุการณ์ระเบิดเกี่ยวข้องกับความไม่สงบ เพราะแต่ละครั้งที่จะพูดคุยจะมีเหตุขึ้น เมื่อมีการขยายความก็พูดคุยกันไม่ได้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมตรี ยังได้พูดถึงเหตุคาร์บอมหน้าโรงแรมเซาเทิร์นวิว ปัตตานี ว่ายังสรุปไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิด และวางเพลิงในพื้นที่ 7 จังหวัดใต้หรือไม่ แต่มีกลุ่มคนพยายามบิดเบือนทำรัฐธรรมนูญปลอมที่ตัดศาสนาอื่นออกจากร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เข้าใจว่า รัฐบาลสนับสนุนแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น ซึ่งขณะนี้กำลังหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าว และ เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามซักถามว่าเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบประชดว่าเป็นเรื่องการบ้านมั้ง ความร่วมมือระหว่าง ชาวบ้าน ทหารตำรวจและผู้นำท้องถิ่น ในหลายกิจกรรม เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง กลายเป็นภาพชินตาของชาวบ้านในอำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี หลังเกิดเหตุความไม่สงบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่หมู่บ้าน ลูกไม้ไผ่ แห่งนี้ ชาวบ้าน ยอมรับว่า อึดอัดบ้าง ที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ตั้งแต่ปี 2547 เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อย จนทำให้ความกลัวกลายเป็นความเคยชิน แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ ทุกอย่างจะดีขึ้น จากนี้อีกเพียงเดือนเศษ กำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 1 และ 3 จะถอนกำลังออกจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังกองทัพภาคที่ 2 ถอนออกไปเป็นชุดแรก รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 25 จังหวัดปัตตานี บอกว่า เห็นด้วยกับนโยบายถอนกำลังทหาร ให้คงเหลือเฉพาะกำลังของกองทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น วิธีนี้จะทำให้ทำงานสะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่หน่วยอื่นๆก็สามารถกลับไปทภาระกิจของตนเองได้โดยไม่เกิดช่องว่าง ไม่ต่างจากนายอำเภอทุ่งยางแดง ซึ่งเชื่อว่า นโยบายประชารัฐที่รัฐบาลจัดสรรงบลงมาสนับสนุนในแต่ละท้องถิ่น จะทำให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ในการดูแลตัวเองของคนในท้องถิ่น เข้มแข็งยิ่งขึ้น หลังทหารถอนกำลังออกไป ใต้ร่มเย็น หลังถอนกำลังทหาร กลับที่ตั้ง จะเป็นเช่นไร และความสงบสุข จะกลับคืนสู่ปลายด้ามขวานได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
มีคำยืนยันทั้งจากนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงว่า กระบวนการพูดคุยสันติสุขจะยังเดินไปตามปกติ ซึ่งมอบหมาย พล.อ.อักษรา เกิดผลไปพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่างแล้ว รองนายกรัฐมนตรีความมั่นคง ยืนยันว่าการพูดคุยสันติสุขชายแดนภาคใต้กับกลุ่มมาราปาตานี จะมีขึ้นตามกำหนดเดิม ในวันพรุ่งนี้(2 ก.ย.59) แต่ฝ่ายไทยจะไม่มีการลงในทีโออาร์(TOR) จนกว่าจะยุติความรุนแรงในพื้นที่ คุยสันติสุขใต้พรุ่งนี้ ไทยยังไม่รับรองทีโออาร์ การพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระหว่างฝ่ายไทยกับกลุ่ม "มาราปาตานี" ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (2 ก.ย.59) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ไทยจะไม่มีการลงนาม ทีโออาร์ หรือ บันทึกข้อตกลงร่วมกัน แต่ไทยจะย้ำจุดยืนคือต้องไม่ให้มีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ การพูดคุยจึงจะมีความคืบหน้า เครือข่ายสตรีชายแดนใต้ผลักดันข้อเสนอเซฟโซน ที่จังหวัดปัตตานี องค์กรผู้หญิงภาคประชาสังคม ทั้งชาวพุทธและมุสลิม ที่ทำงานสนับสนุนกระบวนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จาก 23 องค์กร ร่วมกันเดินรณรงค์ ไปตามเส้นทางถนนสายต่าง ๆ รอบเขตเทศบาลเมืองปัตตานี แสดงเจตนารมณ์สนับสนุนการพูดคุยสันติสุข และผลักดันข้อเสนอ เรื่องการขอพื้นที่สาธารณะปลอดภัยสำหรับผู้บริสุทธิ์ บรรจุเป็นวาระสำคัญในการพูดคุยสันติสุข ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 กันยายนนี้ พื้นที่สาธารณะปลอดภัย เช่น ถนน ตลาด วัด มัสยิด และโรงเรียน โรงพยาบาล ซึ่งเคยได้มีการผลักดันเรื่องดังกล่าวเป็นวาระ ในการพูดคุยสันติสุข 2 ครั้งก่อนหน้านี้ หลังพบว่ามีผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจำนวนมาก จากข้อมูล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 ถึง พ.ศ.2557 มีเด็ก และเยาวชนอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 81 ราย บาดเจ็บเล็กน้อยถึงสาหัส 445 ราย ผู้หญิงเสียชีวิต 431 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 1,651 ราย ซึ่งการเสียชีวิตนั้นส่วนใหญ่จะมาจากสาเหตุถูกระเบิด และถูกยิงในพื้นที่สาธารณะ ตัวแทนมาราปาตานี เปิดแถลงให้กับสื่อมวลชนทั้งไทยและมาเลเซีย ถึงผลการพูดคุยเห็นชอบจัดสร้างพื้นที่ปลอดภัยหรือ Safty Zone นายกฯใช้มาตรา44ปรับการบริหารแก้ไฟใต้ตั้งผู้แทนพิเศษรัฐบาลประสานคปต.-กอ.รมน.-ศอ.บต. แก้ปัญหาไฟใต้ วันนี้ (15ก.ย.59) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คําสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 เรื่อง "การปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้" เพื่อปรับการทำงานให้คล่องตัวทั้งด้านบริหารบุคคลและการบริหารงบประมาณ ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือคปต. เป็นฝ่ายบูรณาการงานในระดับแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ส่วนกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือกอ.รมน.และศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. มีหน้าที่และมีอํานาจแก้ไขปัญหาตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและให้มีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐบาล มีหน้าที่ประสานงานระหว่างคณะรัฐมนตรีและราชการส่วนกลางกับหน่วยงานในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเสนอแนวทางการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะๆ ให้ตั้งสํานักงาน คปต. ส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อปฏิบัติงานด้านธุรการ ตามที่ประธาน คปต. มอบหมาย และให้เจ้าหน้าที่สํานักงาน คปต. ส่วนหน้าได้รับค่าตอบแทนและ สิทธิประโยชน์ตามระเบียบของทางราชการ โดยให้สามารถโอนหรือการนํารายจ่ายที่กําหนดไว้สําหรับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มาใช้แก้ไขปัญหาของศปต.ได้แต่ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการโอนงบประมาณข้ามแผนงานจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเช่นกัน ส่วนการโอนงบประมาณของส่วนราชการเดียวกันจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปดําเนินการในพื้นที่อื่น ต้องได้รับความเห็นชอบจาก คปต. หรือตามระเบียบที่ คปต. กําหนด กรุงเทพฯ 15 ก.ย.-หลังจากนายกรัฐมนตรีมีแนวคิดจะตั้ง “ครม.ส่วนหน้า” ล่าสุดวันนี้ หัวหน้า คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 มีคำสั่งปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ และมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็น “ผู้แทนพิเศษรัฐบาล” ผู้แทนพิเศษรัฐบาล มีหน้าที่ประสานงานกับรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจะเป็นกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ คปต. ซึ่งเป็นฝ่ายบูรณาการงานกับ กอ.รมน.และ ศอ.บต.ด้วย ขณะที่การบริหารงานใน ครม.ส่วนหน้า รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย จะทำหน้าที่ประสานงานกับผู้แทนพิเศษของรัฐบาล คปต. กอ.รมน. ศอ.บต. จังหวัด และส่วนราชการในพื้นที่ และรายงานตรงไปยังนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง กำหนดค่าตอบแทนให้ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ซึ่งเป็นกรรมการ คปต.ด้วย มีสิทธิประโยชน์เทียบเท่าผู้แทนการค้าไทย หรือกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี รวมทั้งโอนงบประมาณแก้ปัญหาชายแดนใต้ไปให้ด้วย ทั้งนี้ คำสั่งได้ระบุเหตุผลโดยสรุปด้วยว่า เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าว เป็นสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีความสะดวกในการทำมาหากิน ได้รับความสงบร่มเย็น มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สามารถร่วมกันพัฒนาและปฏิรูปประเทศ ตามแนวทางประชารัฐ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยไม่ทอดทิ้งผู้ใดไว้ข้างหลัง ซึ่งคำสั่งมีผลตั้งแต่วันนี้.-สำนักข่าวไทย
ข่าว 7 สี - คณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เผยผลหารือกลุ่มมาราปาตานี ยังไม่มีการลงบันทึกข้อตกลง แต่เตรียมกำหนดพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยรอบหน้า พลเอกอักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข เปิดเผยหลังกลับจากการพูดคุยที่ประเทศมาเลเซียว่า เป็นการพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่างที่มาครบทั้งหมด เพื่อให้ขั้นตอนต่างๆไม่หยุดชะงัก เป็นการสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน และให้กับประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการไว้ โดยยังไม่ทำบันทึกข้อตกลงใดๆ มีเพียงการบันทึกจำนวนผู้เข้าร่วมหารือ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นอกจากนี้ ยังได้นำข้อห่วงใยที่หลายฝ่ายอยากให้ยุติการใช้ความรุนแรง และนำวาระผู้หญิงชายแดนใต้เสนอต่อกลุ่มผู้เห็นต่างด้วย เช่นเดียวกับการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย ที่จะเป็นวาระต่อไปในการพูดคุยรอบหน้า แต่ไม่ได้ระบุว่าจะเป็นพื้นที่ใด พลเอกอักษรา บอกด้วยว่า กลุ่มผู้เห็นต่างยืนยันพร้อมพูดคุยอีกครั้ง และระบุไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระยะนี้ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้จะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในปีนี้ ถือเป็นปีแรกในรอบ 13 ปี ที่มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาภาคใต้น้อยที่สุด ในวันพรุ่งนี้ สนช.จะมีการพิจารณาให้ความเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2560 วาระ 2-3 ที่ผ่านการปรับลดงบประมาณโดยคณะกรรมาธิการแล้ว วงเงิน 2,730,000 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อแยกเฉพาะ งบประมาณแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ จะพบว่า ปี 60 มีการจัดสรรงบไว้เพียง 12,510 ล้านบาท โดย กอ.รมน.ได้ไป 3,554 ล้านบาท ศอ.บต. 2,059 ล้านบาท กระทรวงกลาโหม รวมทุกเหล่าทัพ 1,490 ล้านบาท และ สมช. 27 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับงบในช่วงที่ผ่านมาในรอบ 13 ปี ตั้งแต่ปี 2547 ที่มีเหตุการณ์ปล้นปืน จ.นราธิวาส มีการตั้งงบไว้ที่ 13,450 ล้านบาท และเพิ่มสูงขึ้นทุกปี จนถึงปี 2559 มากที่สุด 30,886.6 ล้านบาท ทั้งนี้ พลเอกชาตอุดม ติตถะสิริ กรรมาธิการงบประมาณ ชี้ว่า สาเหตุที่มีการปรับลดงบประมาณลง เพราะมีการปรับกำลังพล ถอนกองทัพ ภาค 2 และ กองทัพภาค 3ออกจากพื้นที่ และมีงบด้านความมั่นคงเฉพาะแต่ละกองทัพดูแลอยู่ ขณะที่ โฆษก กอ.รมน. ยืนยันการใช้งบประมาณแก้ไขภาคใต้ ต้องนำมาแก้ปัญหาในหลายมิติ ซึ่งก็ทำให้เหตุการณ์ความรุนแรงลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จได้ 100% เพราะยังคงมีผู้ไม่หวังดีก่อความไม่สงบอยู่เรื่อยๆ ยะลา 7 ก.ย.-สิ้นเดือนนี้ ทหารกองทัพภาคที่ 1, 2 และ 3 ซึ่งลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะกลับที่ตั้งทั้งหมด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจึงเร่งสร้างความเข้มแข็งให้กำลังประจำถิ่น ซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นในการดูแลชุมชน หมู่บ้าน หรือจังหวัดของตนเองให้ปลอดภัย ติดตามจากรายงาน.-สำนักข่าวไทย เย็นวันนี้ นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเยือนไทย และหารือกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมกับลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ในการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกับรัฐบาลไทย โดยเนื้อหาจะครอบคลุมถึงการป้องกันอาชญากรรมในด้านต่างๆ รวมถึงการแก้ปัญหาบุคคล 2 สัญชาติ ที่ไทยส่งรายชื่อให้มาเลเซียแล้วประมาณ 500 ชื่อ แต่มาเลเซียยังคงสงวนท่าทีเกี่ยวกับข้อตกลงในประเด็นนี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเป็นไปได้ที่จะต้องตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังจะหารือเรื่องของการปักปันเขตแดนที่จะมีการทำรั้วเดี่ยวตะแกรง จากเดิมที่เป็นรั้วลวดหนามคู่ของแต่ละประเทศ ระยะทาง 11 กิโลเมตร โดยทั้ง 2 ประเทศจะรับผิดชอบฝ่ายละ 5.5 กิโลเมตร ที่บริเวณบ้านด่านนอก ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา กับ เมืองบูกิตกายูฮิตัม รัฐเคด้า เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฏหมาย และการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ล่าสุด มีรายงานว่า กระทรวงมหาดไทยของมาเลเซีย กำลังพิจารณาสร้างรั้วยาวกว่า 2,650 กิโลเมตร แยกเป็นด้านที่ติดกับไทย 647 กิโลเมตร และ อินโดนีเซียกับบรูไน อีก 2,000 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และขนสินค้าหนีภาษี ซึ่งทำให้มาเลเซียต้องสูญเสียรายได้ไปกว่า 60,000 ล้านบาท ข้อเสนอหนึ่งที่จะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความสงบในภาคใต้ คือ การใช้โมเดลเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง ที่หวังจะใช้มิติการพัฒนาที่เชื่อมโยงกัน สอดคล้องกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น แก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ โมเดลเศรษฐกิจดับไฟใต้ โดยเปิดพิมพ์เขียวเมืองต้นแบบแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ที่เรียกว่า "สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามนโยบายรัฐบาล"ในการใช้มิติด้านเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการดำเนินการเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนภาคใต้ โดยใช้ 3 เมืองต้นแบบ คือ เมืองหนองจิก จังหวัดปัตตานี ที่จะพัฒนาให้เป็นเมืองต้นแบบเกษตรอุตสาหกรรมก้าวหน้าผสมผสาน เมืองเบตง จังหวัดยะลา พัฒนาให้เป็นเมืองเศรษฐกิจและรองรับด้านการท่องเที่ยว และ เมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส พัฒนาให้เป็นเมืองต้นแบบการค้าชายแดนระหว่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับหลายฝ่ายที่เชื่อว่าโมเดลเศรษฐกิจจะช่วยเพิ่มมิติในการแก้ปัญหาในพื้นที่ได้ แต่ต้องก้ามข้ามความกลัวให้ได้ เพราะเป้าหมายระยะสั้นนอกจากต้องหยุดความรุนแรงแล้ว ยังมุ่งเน้นพัฒนาตามแนวทางสานพลังประชารัฐมาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน
ข่าว 7 สี - หัวหน้า คสช.ออกคำสั่งตามมาตรา 44 จัดตั้งรัฐบาลส่วนหน้าแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งระบบ เป็นคำสั่งที่ 57/2559 เรื่องการปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยระบุหลังสถานการณ์คลี่คลายตามลําดับ และประชาชนเชื่อมั่นในการรักษาความสงบเรียบร้อยมากขึ้น จำเป็นต้องบูรณาการแผนปฏิบัติการ แผนงาน และโครงการต่างๆ ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาคุณภาพชีวิต และแก้ปัญหาเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องกันทุกมิติ ยกระดับและปรับปรุงการบริหารงานบุคคล งบประมาณและทรัพยากรต่างๆ ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น จึงมีคำสั่งให้ กอ.รมน. ศอ.บต.มีอํานาจในการแก้ไขปัญหาตามกฎหมาย โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ คปต.เป็นฝ่ายแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ พร้อมให้นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ซึ่งจะเป็นกรรมการ คปต.ด้วย ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาล ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่บูรณาการและปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการพัฒนา แต่ไม่มีอำนาจวินิจฉัยสั่งการ โดยให้รายงานปัญหาและอุปสรรคต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ นอกจากนี้ให้มีสํานักงาน คปต.ส่วนหน้าตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อปฏิบัติงานด้านธุรการ และสามารถโอนย้ายงบประมาณส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ เพื่องานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อีกด้วย นายกฯลงนามตั้งครม.ส่วนหน้าแก้ไฟใต้13คน พล.อ.อุดมเดช นั่งประธาน คาดนำเข้าที่ประชุมครม.4ต.ค.นี้ วานนี้ (1ต.ค.59) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ลงนามในคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เลขที่ 57/2559 ในการปรับปรุงการบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้ชื่อว่า “ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล” หรือรัฐบาลส่วนหน้า มีภารกิจทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และสื่อสารโดยตรงกับนายกรัฐมนตรีเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาที่ล่าช้า โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.กห.) เตรียมเสนอรายชื่อผู้แทนพิเศษรัฐบาล ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลงนาม จำนวน 13 คน ประกอบด้วย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่เป็นประธาน ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เพราะเห็นว่า พล.อ. อุดมเดช ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม จะสามารถสั่งการกำลังพลในพื้นที่เพื่อตอบสนองควบคุมการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลได้ นอกจากนี้มอบหมายให้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ทำหน้าที่เป็นรองประธานผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาการศึกษาในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลหวังแก้ไข ยังได้ทาบทามอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 มาช่วยงานด้วย 3 คน คือ พล.อ.สกล ชื่นตระกูล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ และ พล.อ.ปราการ ชลยุทธ ทั้งนี้ จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารที่ 4 ต.ค.นี้ โดยผู้แทนพิเศษรัฐบาล จะมีหน้าที่ในการประสานงานระหว่างหน่วยปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี 55 หน่วยงาน 22 กระทรวง มีหน้าที่เสนอแนะแนวทางการพัฒนา และแก้ไขปัญหาอุปสรรคในพื้นที่โดยไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ ให้กับนายกรัฐมนตรี ในบ่ายวันนี้ (6 ต.ค.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ (ครม.ส่วนหน้า) ได้เรียกประชุมคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลนัดแรก ที่กระทรวงกลาโหม เพื่อกำหนดแนวทางและกรอบการปฏิบัติงาน ที่ผ่านมา พล.อ.อุดมเดช ระบุว่า ทำแผนงานไว้แล้ว และเตรียมแบ่งงานให้คณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลอีก 12 คน เพื่อมอบหมายความรับผิดชอบใน 7 กลุ่มงานตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เพื่อให้มีการนำนโยบายลงไปปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและสร้างสันติสุขในพื้นที่ โดยคาดว่าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลจะใช้พื้นที่ภายในค่ายพระสุริโยทัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองพลทหารราบที่ 15 จ.ปัตตานี เป็นสถานที่ทำงาน โดยคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลจะลงพื้นที่ครั้งแรกทันทีในสัปดาห์หน้า สำหรับคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (4 ต.ค.) ผู้แทนส่วนใหญ่เป็นอดีตนายทหารที่เคยทำงานในภาคใต้ โดยเฉพาะอดีตแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งจะมีหน้าที่ประสานงานระหว่าง ครม. หน่วยงานราชการส่วนกลาง กับ หน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อให้การทำงานแก้ปัญหาภาคใต้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีหน้าที่ให้คําแนะนําแก่เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และไม่มีอํานาจวินิจฉัยสั่งการ และให้รายงานปัญหา อุปสรรค ตลอดจนเสนอแนวทางการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาต่อนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ กทม. 7 ต.ค. – เจาะลึกโครงสร้างผู้แทนพิเศษรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และจะแก้ปัญหาไฟใต้อย่างไร หลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่ จ.ปัตตานี เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเด็นรัฐบาลส่วนหน้า หรือผู้แทนพิเศษรัฐบาล ก็ถูกกล่าวขึ้นโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งหน่วยงานนี้ขึ้น เน้นการแก้ไขปัญหาเรื่องการบริหารงานที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภารกิจหลักของผู้แทนพิเศษรัฐบาล คือ บูรณาการ ประสานงาน กำกับดูแลการดำเนินงานต่างๆ ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ศอ.บต. และส่วนราชการในพื้นที่ชายแดนใต้ ให้กระชับ รวดเร็ว เมื่อพบปัญหาหรือต้องการการตัดสินใจที่เร่งด่วน สามารถรายงานโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.ประวิตร ในฐานะคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ คปต. ดังนั้น ผู้แทนพิเศษรัฐบาลสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า คปต.ส่วนหน้า มีสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กำกับดูแลเรื่องงบประมาณ ตั้งสำนักงานภายในกองพลทหารราบที่ 15 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย จ.ปัตตานี คณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล หรือ คปต.ส่วนหน้า ประกอบด้วย นายทหารและพลเรือน 13 คน มีอดีตนายทหารระดับสูงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 14 ถึง 3 คน คือ พล.อ.อุดมเดช พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ และ พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้ และยังมีอดีตแม่ทัพและรองแม่ทัพภาคที่ 4 อีกถึง 6 คน มีอดีตตำรวจ 1 คน และอดีตผู้บริหารระดับสูงของ ศอ.บต.จำนวน 2 คน ต้องจับตากันต่อไปว่าคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เคยทำงานในพื้นที่มาก่อนจะมีความพิเศษอะไร ที่จะช่วยทำให้ไฟใต้มอดดับลงได้เร็วขึ้น . – สำนักข่าวไทย