คนพวกนี้แหล่ะครับ คือปัญหาที่แท้จริงของระบบ จะต้องใช้กะลากี่ใบตักน้ำให้ส่องชะโงกดูเงาถึงจะพอ สมาชิกหมายเลข 2059ถถถถ 1 ชั่วโมงที่แล้ว ผมเห็นในเว็บบอร์ดครับ เหมือนเดิมครับ ควายแดงเหมือนเดิม พระวินัยครับ ถือเป็นธรมนูญ(กติตา) ไอ้พวกควายแดงไม่รับธรรมนูญเป็นสันดานของมัน
ต้องถามว่าพระลิขิตนั้น มีกี่ความผิด แต่ทำไมเอ่ยถึงเรื่องคืนทรััพย์สินอย่างเดียว เถรมุสาสมาคมคงไม่เห็นข้อนั้นพอดีว่า ธนบัตรไทยวางปิดพอดีเลยไม่เห็น ผมไม่ได้ว่ากล่าวใส่ร้ายพระสงฆ์นะ ผมด่าไอ้คนที่ตอแหลบิดเบือนที่แต่งกายเลียนแบบสงฆ์
เป็นควายแดงสะเออะมาอ้างกฏกติกา มันจะอายมั่งหรือยัง ผมคิดว่าไม่ งั้นขอดักควายไว้ล่วงหน้า อย่าบังอาจ อาจเอื้อม แตะต้องให้สังฆราชามาจากการเลือกตั้งละเฮ้ย พวกไม่นับถือศาสนา อย่าให้มันเสือก
มติสปช ไอ้นายกสฤษดิ์น้อย มันยังไม่ฟังเลย เรื่องเปิดสัมปทาน มันขึ้นอยู่กับอารม ล้วนๆ เหมือน ไอ้สุนัขรับใช้ สนช มันโหวตแบนยิ่งลัก ไง ไอ้เหี้
คำว่า กฎหมู่ กับ กฎหมาย มีหลายคน ที่พยายาม บิดเบือน ให้เห็นว่ามันถูกต้อง เช่น ตำรวจ 10 นาย รุมจับผู้ร้าย 1 คน กับ ผู้รา้ย 10 คน รุมปล้น ตำรวจ 1 นาย พวกนี้มักจะอ้างกฎเกณฑ์ ที่บิดเบี้ยวผิดเพี้ยน มักจะอ้างว่า "อ้าวก็ทีตำรวจ ยังรุมจับผู้ร้ายได้เลย มันก็กฎหมู่เหมือนกัน" เป็นเช่นนี้เอง เหตุผลของโจร
อ้าว ต้านแล้วเหรอ เห็นพวกควายแดงเคยสนับสนุนให้ขึ้นราคาแก้ส ไอ้มีเหตุผลเลยกระทืบพระเลยใช่มั้ย จริงๆอยากได้จอมพลสฤษดิ์กลับมาปกครองอีกนะ เพราะท่านรักชาติบ้านเมือง และเริ่มใช้ม.112 จัดการพวกก่อกวนบ้านเมือง ยิ่งลักษณ์ผิดจริงมั้ยหล่ะ ไอ้เหี้ยป่าช้า บ้านนี้มีแค่คนกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ประกาศตัวเป็นหมารับใช้คือควายแดงนะ
ถ้านายกปู ไม่เป็นลูกศิษย์วัดธรรมกาย นายกปูจะมีศีล ไม่ด่าทอกลับฝ่ายต่อต้านได้อย่างทุกวันนี้หรอ ก็ลองคิดกันดู และวัดที่สอนนายกปู ให้เป็นคนดีอย่างวัดธรรมกายนี้ เจ้าอาวาสจะเป็นมหาโจร อย่างที่สลิ่มมันต้องการให้คนเชื่อไหม สมาชิกหมายเลข 209ถถถถ 1 ชั่วโมงที่แล้ว เหือยยยย
มันมาแล้วครับ ไอ้พวกอ้างเสียงส่วนใหญ่ ว่าแล้ว ไอ้พวกไม่ศรัทธาศาสนามันต้องสะเออะ ผมจะยกมาให้ทั้งหมดเลย ให้เห็นว่ามันไม่เคยรู้เรื่องธรรมวินัย บิดเบือนพุทธพจน์ ความคิดเห็นที่ 1 ้ พระอักษรดังกล่าวของสมเด็จพระสังฆราช ต้องถือว่าเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ อย่างแท้จริงครับ เพราะหลักฐานดังกล่าว ได้ช่วยยืนยันแก่ชาวพุทธทั้งหลายว่า แม้แต่ความเห็นของสมเด็จพระสังฆราช ก็จะอยู่เหนือ มติสงฆ์ไม่ได้ และนี่คือหลักการสำคัญ ซึ่งเป็นแก่นสาร เป็นปรัชญาการปกครองคณะสงฆ์ โดยสงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าทรงจัดตั้งขึ้นเเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ครับท่าน ขออนุญาตแสดงความเห็น นะครับท่าน คือโดยปกติ ในพระพุทธศาสนา การตัดสิน ผิดถูกต่างๆ ย่อมเป็นการพิจารณาชี้ขาดโดยสงฆ์ครับท่าน สำหรับในประเทศไทย นับแต่มี พรบ คณะสงฆ์ มติต่างๆ ออกโดย มหาเถรสมาคม โดยมีสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธาน ครับท่าน หมายความว่า ในที่ประชุมสงฆ์(มหาเถรสมาคม) สมเด็จพระสังฆราช ไม่ได้ทรงมึอำนาจตัดสินชี้ขาด ครับท่าน แต่ทรงมีแค่เพียง หนึ่งเสียง เท่ากับ กรรมการท่านอื่นๆ นั่นแหละครับ กรณีพระอักษร(พระลิขิต) ของสมเด็จพระสังฆราชนั้น อธิบายได้ว่า ไม่ใช่ พระบัญชา เพราะตาม พรบ สงฆ์ ทำไม่ได้ แต่ต้องถือว่า เป็นพระมติส่วนพระองค์ คือพระองค์ท่านทรงแสดงแก่ ที่ประชุมมหาเถรสมาคมว่า พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไร ส่วนประเด็นที่ว่า คณะสงฆ์ จะมีความเห็นว่าอย่างไร และจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับ มติที่ประชุมมหาเถรสมาคม ครับท่าน สรุปก็คือ ไม่ว่าชาวพุทธแต่ละฝ่าย จะมีความรู้สึกนึกคิดเกึ่ยวกับประเด็นนี้อย่างไรก็ตาม แต่พระธรรมวินัยให้อำนาจตัดสินแก่สงฆ์ ส่วน พรบ คณะสงฆ์ ให้อำนาจกับ กรรมการมหาเถรสมาคม ผ่านมติมหาเถรสมาคม โดยไม่ได้ให้อำนาจนึ้กับสมเด็จพระสังฆราชครับท่าน ถ้าท่านต้องการให้กระบวนการเป็นอย่างอื่น ตามที่ท่านต้องการ ท่านก็ต้องแก้กฏหมายก่อน นะครับ สงฆ์ แปลว่า หมู่ หรือ ชุมนุม ครับท่าน ดังนั้น จึงไม่มีคำว่า มติของสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่ง หรอกครับท่าน มติสงฆ์ ก็ต้องหมายถึง มติของหมู่ หรือคณะของภิกษุ ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไปครับท่าน สมาชิกหมายเลข 99ถถถถ 15 นาทีที่แล้ว
ท่านปราชญ์ก็เอาแล้วไง ประชาชนเค้าเลือกของเค้ามา ความคิดเห็นที่ 2 “ถ้าเราไม่ชอบธรรมกาย อย่างมากเราก็อย่าไปเข้าวัด” “แต่ถ้าคนทั้งหมดยังไปธรรมกาย มันก็เป็นสิทธิของเขา” " อย่าเลือกให้เขาเป็นอันขาด ให้คนเขาเลือกเอง” “ขึ้นอยู่กับว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเหมาะสมกับยุคสมัยหรือไม่” ---นิธิ เอียวศรีวงศ์ “ศาสนากับการเมือง ชาตินี้เราคงแยกกันไม่ได้” 21 ก.พ. 58 สมาชิกหมายเลข 210ถถถถ 16 นาทีที่แล้ว
ผมว่าเคสนี้สะท้อนถึงสองมาตรฐานของการตัดสินคดีความต่างๆ ฆราวาสก็เละเทะมาแล้ว นี่วงการพุทธศาสนาไทยก็ยังไม่เว้น แม้จะไม่ใช่ทางโลกโดยตรง ขออภัยต่อสมาชิกและผู้อ่าน ผมไม่มีเจตนาล่วงเกินพระองค์ท่าน คนส่วนหนึ่งกล้ามอง สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นประมุขของพุทธศาสนาไทย เป็นอะไรกัน สิ่งที่ท่านคิด ท่านบอก ไม่มีความหมายต่อคณะสงฆ์เลยหรือ ?
เหตุการณ์ในทำนองนี้ เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคงจะเกิดขึ้นต่อไปอีกในอนาคต มีประโยคเผ็ดร้อน ในศตวรรษที่ 14 Geoffrey Chaucer วิจารณ์ศาสนา ว่า "If Gold Rusts, What Shall Iron Do?" คงจะไม่ต่างจากบ้านเราตอนนี้ ที่ต้องบอกว่า หากทองขึ้นสนิม แล้วเหล็กจะไปเหลืออะไร
โถ... อ้างเสียงส่วนใหญ่ อ้างมติสงฆ์เป็นใหญ่ แต่ไม่ยอมรับว่ามติสงฆ์ที่ออกมานั้นขัดต่อพระวินัยที่ได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้ง แบบนี้ไม่เพียงแค่สงฆ์เหล่านั้นต้องอาบัติไปด้วยแล้ว เหล่าสงฆ์ที่เห็นดีเห็นงามด้วยคงต้องอาบัติไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยุคนี้เห็นอวดอ้างบารมีกันหมดทั้งเหล่าสงฆ์ทั้งฆราวาส บารมีเต็มล้นทุกคน สามารถทำอะไรได้หมด แม้แต่บัญญัติพระธรรมคำสอนเอาเอง บัญญัติพระวินัยเอาเอง เลยเถิดไปจนถึงตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำ ที่สังเวชใจที่สุดคือจะปฎิรูปหมู่สงฆ์แต่สงฆ์บางรูปกลับบอกว่าจะเกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน จะเกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน ไม่คิดเลยว่าพระพุทธศาสนาในไทยจะมาถึงจุดนี้ได้
ตะกี้ฟังวิทยุไม่บอกว่าช่องไหน ออกมาดิ้นกันใหญ่แล้ว รายการเดิมทีไม่ได้เกี่ยวเล๊ยยย แต่ดันมาพูดเรื่องนี้
ถ้าอ้างแบบนี้ จะไปไล่จับพระปลอมทำไม ก็คนมันอยากจะบริจาคให้ ก็เรื่องของเขาสิ เหมือนกัน แล้วอีกอย่าง พระเหล่านี้อย่ารับเงินเดือนจากภาษีประชาชน ไปหากินเอง จากเงินบริจาค
ตั้งแต่ที่เคยอ่านข้อความของ ส. ศิว... เนี่ย อันนี้น่าจะเข้าท่าที่สุดแล้วมั้ง แต่คดีวอลโว่หนีภาษี ผมเพิ่งรู้....
อยากให้ประเทศไทยเหลือแต่ยศช้างครับ ส่วนขุนนางพระยกเลิกให้หมด ขุนนางพระนอกจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายอีก ซึ่งต่างจากอดีตที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนะ พระทำความดีพระมหากษัตริย์ทรงศรัทธาแต่งตั้งฉลองความดี แต่ตอนนี้พระแต่งตั้งพระกันเอง ผมว่ามันไม่ใช้
3-4วันก่อน เสื้อแดงยังเงียบกริบ วันนี้ออกมาเต็มทุกช่องทางครับ คงประสานกันได้แล้ว สื่อที่อยู่ต่างประเทศ สื่อในประเทศ สื่อโซเชียล นักวิชาการ สงฆ์ แต่เป้าหมายกลับเป็น พระสุเทพ พุทธอิสระ ที่สำคัญ สปช ถ้าจุดติดก็คงเล็งไปที่อัยการศึก เลือกตั้ง
โอ๋วววววววว ท่านเป็นปราชญ์ใหญ่ครับ ท่านไม่สนครับครับ ไม่ว่าอะไรท่านบอกปลอมหมดอะครับ เพียงแต่ถ้าพูดช้าไปหน่อย ควายแดงพูดอะไรไปท่านเพิ่งจะพูดตามหลัง แค่นั้น
เมื่อคนที่ไม่นับถือศาสนา บังอาจให้ความเห็นทางศาสนาเหรอครับเนี่ย? ทำไมไม่บอกว่าธรรมกายทำถูกหรือผิด เพราะถ้าธรรมกายผิด แสดงว่าพระสุวิทย์ทำถูกนะครับ นี่ประเด็นหลักเลยนะ
ไม่ยอมรับอะไรก้านนนน รับแล้ว รับเข้า บ/ช แล้ว ไวจิงๆๆ Noinoi Ratchasima "....อย่างไรก็ดี สภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติได้ขึ้นวัดพระธรรมกายไว้ในบัญชีดำฐานเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ[3]..." http://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระธรรมกาย
Nopadol Prompasit พระพยอม ไม่ฟันธง ธัมมชโย ปาราชิกหรือไม่ ชี้ต้องมีฝ่ายหนึ่งโกหก // http://hilight.kapook.com/view/116360
พระพยอม นี่ก็อีกคน เมื่อก่อน ฟันธง ไปแล้วว่า นายไซยบูลย์ ปาราชิกแน่นอน 7 ปี ผ่านไป หลังจากให้คางคกใช้วัดจัดม๊อบ ตอนนี้บอกไม่แน่ใจว่าใครผิด 55555
ตรวจสอบพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช http://news.thaipbs.or.th/content/ตรวจสอบพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช มติมหาเถรสมาคมที่ว่าพระธัมมชโยไม่อาบัติปาราชิกตามพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ เนื่องจากยังมีมุมของนักวิชาการด้านศาสนาที่เห็นว่า “พระธัมมชโย” อาบัติปาราชิกไปแล้วตั้งแต่ปี 2542 เนื่องจากตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเสมือนพระบัญชาที่วินิจฉัยให้ต้องอาบัติปาราชิก หลังที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2558 ที่ผ่านมา พิจารณารายงานมติมหาเถรสมาคม เมื่อปี 2542 ยืนยันพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไม่ต้องอาบัติปาราชิก กรณีฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ และบิดเบือนคำสอน พร้อมระบุไม่ขัดต่อพระบัญชาในพระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประเด็นนี้นำไปสู่คำถามจากสังคมว่าท้ายที่สุดแล้ว การพิจารณาของที่ประชุมมหาเถรสมาคมในวันนั้นเป็นไปในแนวทางที่ยึดตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชหรือไม่. กรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ ยืนยันว่าพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เสมือนพระบัญชาที่วินิจฉัยให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก ตามที่ระบุในพระลิขิต เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2542 ไว้ 2 ประเด็น คือ การถือครองสมบัติของวัดและบิดเบือนพุทธธรรมคำสอน เช่นเดียวกับพระลิขิต เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2542 ยืนยันการวินิจฉัยทำหน้าที่ตามอำนาจสมเด็จพระสังฆราชอย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาจากพระลิขิต วันที่ 10 พ.ค.2542 ระบุไว้ชัดเจนโดยเรียกว่า"อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย"อันเป็นที่ยุติว่า พระธัมมชโยปาราชิกไปแล้วตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช สอดคล้องกับความเห็นของนักคิดนักเขียนที่เห็นว่า มติมหาเถรสมาคมในขณะนั้นไม่ได้ปฏิบัติตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช เมื่อพิจารณาตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 16/2542 เห็นได้ชัดว่ามหาเถรสมาคมมีมติรับรองพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชว่าเห็นชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคมทั้ง 3 ฉบับ กรรมการมหาเถรสมาคมในขณะนั้นจึงควรปฏิบัติตามพระบัญชา แต่มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 17/2542 กลับยืนยันให้พระธัมมชโยคืนทรัพย์สินที่ดินแก่วัดซึ่งไม่เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัยที่หากพระสงฆ์ถือทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ต้องอธินาทานปาราชิกโดยอัตโนมัติ แต่มหาเถรสมาคมกลับให้พระธัมมชโยทยอยคืนทรัพย์สินทั้งหมด จึงมองว่าประเด็นนี้มหาเถรสมาคมไม่ปฏิบัติตามพระลิขิต ในมติครั้งนั้นยังระบุด้วยว่าวัดพระธรรมกายไม่มีกิจกรรม หรือ หลักปฏิบัติที่ขัดและบิดเบือนคำสอน ทั้งที่เป็นพระบัญชาในพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชทรงวินิจฉัยแล้ว กรรมการมหาเถรสมาคมชุดปัจจุบัน ประกอบด้วย สมเด็จพระราชาคณะ ทั้งฝ่ายธรรมยุติและมหานิกาย ฝ่ายละ 4 รูป พร้อมด้วยพระเถระชั้นผู้ใหญ่จากการแต่งตั้ง 12 รูป รวมแล้ว 20 รูป การที่มหาเถรสมาคมมีมติเรื่องพระลิขิตและส่งผลให้พระธัมมชโยไม่ต้องอาบัติปาราชิก จึงหลีกเลี่ยงที่จะถูกตั้งคำถามถึงความไม่โปร่งใส เป็นที่มาของการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบมหาเถรสมาคมในช่วงที่มีการปฏิรูปพระพุทธศาสนา แม้จะมีนักวิชาการอีกฝ่ายที่มองว่าการดำเนินการของกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องและอ้างอิงการเมืองมากเกินไป Nutty ReformThailand เปิดพระลิขิต 5 ฉบับ สมเด็จพระสังฆราชฯ ชี้ “ธัมมชโย” อาบัติปาราชิก คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. ได้ยึดเอากรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชเป็นหลัก ถ้าทางวัดพระธรรมกายอ้างว่าเป็นพระลิขิตปลอม ตนขอชี้แจงว่าพระลิขิตมีทั้งหมด 5 ฉบับ โดย 2 ฉบับแรกไม่เป็นทางการ แต่ 3 ฉบับหลัง รับรองโดยที่ประชุมของมหาเถรสมาคม มีมติว่านำพระลิขิตทั้ง 3 ฉบับเข้าที่ประชุมพิจารณา เท่ากับรับรองสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งต้องบังคับให้เป็นไปตามที่มติที่ประชุมมหาเถรสมาคม แต่กลับไม่มีการดำเนินการ แถมมีการพูดว่าคืนสมบัติแล้ว ไม่น่าปาราชิกแล้ว !! โดย : http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000021845
แฉแผนสกัดสมเด็จฯวัดปากน้ำ!"เจ้าคุณพิพิธ"เทียบธรรมกายเดินธุดงค์ กับพุทธะอิสระปิดถนน วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 07:23:27 น. พระราชวิจิตรปฏิภาณ หรือ "เจ้าคุณพิพิธ" ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุใด สปช.ถึงหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงทั้งที่จุดประสงค์หลักของ คณะกรรมการฯ คือ การพิจารณาร่วมกับคณะสงฆ์ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ฉะนั้นอยากถามว่าสิ่งที่นายไพบูลย์กำลังทำนั้นใช่หน้าที่ที่ คสช.มอบหมายให้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ทำเพื่ออะไร "สปช.ชุดนี้เป็นเครื่องมือของใครหรือไม่ หรือถ้าตั้งใจทำเอง มีเจตนาใดต่อพระพุทธศาสนา แถมยังบังอาจให้สัมภาษณ์ว่าจะตั้งฆราวาสขึ้นมาควบคุม ดูแลสงฆ์อีกด้วย ซึ่งไม่เหมาะสม เพราะถ้าฆราวาสคุมพระได้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว" เจ้าคุณพิพิธกล่าว และว่า อยากถามว่ากรณีวัดพระธรรมกาย คือประเด็นหลักหรือเป็นแค่เหยื่อ ที่ผ่านมากระทั่ง ปัจจุบันมีข่าวลือหนาหูมาตลอดว่ามีคนไม่ต้องการให้บางนิกายรับตำแหน่งสมเด็จ พระสังฆราช พยายามที่จะไม่ให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสังฆราช และพยายามหาความมัวหมองมาสู่ท่าน ด้วยการอ้างว่าท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระธัมมชโยทั้งที่ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน "คิดว่ามีกระบวนการเบื้องหลังและคดีธรรมกายจึงเป็นแค่ประเด็นที่ถูกนำมาฟาดฟันไม่ให้สมเด็จฯวัดปากน้ำได้รับการสถาปนาเป็นสังฆราช ศึกศาสนาครั้งนี้คนที่จะหนักใจที่สุด คือ พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากไม่ได้คาดหวังให้ สปช.ทำหน้าที่ตรงนี้ นายกฯจะทำอย่างไรกับ คณะกรรมการชุดนี้ที่จะสร้างความแตกแยกในวงการพุทธศาสนา และเรื่องนี้เป็นการบ้านที่หนักของรัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่ปรองดองให้คดีความมันหมดไปแต่ ณ เวลานี้แผ่นดินไทยแตกโดยคณะสงฆ์" พระราชวิจิตรปฏิภาณกล่าว ชี้′พุทธะอิสระ′ไม่เหมาะสม พระราชวิจิตรปฏิภาณกล่าวอีกว่าอยากให้ประชาชนเทียบดูว่าระหว่างธรรมกายเดินธุดงค์ธรรมชัยกับพระพุทธะอิสระไปปิดถนนแจ้งวัฒนะ ภาพสองภาพเทียบกันได้ไหม หากอ้างว่าพิทักษ์ศาสนาหรือต่อสู้คอร์รัปชั่น ก็อยากถามว่าใช่หน้าที่พระหรือไม่ ขณะเดียวกันการใช้วาจาต่อ มส.และสาดใส่เรื่องอำนาจอย่างรุนแรงผิดลักษณะของพระสงฆ์ อยากให้หันกลับมองตนเองก่อนว่ามีที่มาอย่างไร ทั้งนี้อยากให้ประชาชนลองพิจารณาว่ากริยา คำพูดคำจาของพระพุทธะอิสระมีต่อพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ควรทำแบบนี้หรือไม่ ต้องดูนิสัยของคนด้วยว่าจะมาชำระพระศาสนาควรมีนิสัยแบบนี้หรือไม่ การให้สัมภาษณ์สื่อสมควรใช้คำพูดอย่างไร มีความเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งกรณีที่มีการถวายสังฆทานที่มีรองเท้า กระเทียม แล้วบอกว่าเป็นปริศนาธรรมนั้นเหมาะกับคำว่าสังฆทานหรือไม่ ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1424737561
พอมาอ่านในบทความกะทิธรรม ถึงได้เข้าใจวิถีการอยู่ร่วมกับโจรในความเห็นท่านเจ้าคุณคือแกล้งทำมองไม่เห็น แล้วก็ภาวนาว่าโจรคงกลับใจ ท่านเจ้าคุณปล่อยเนื้อร้ายนี้ลามเป็นมะเร็งนานแล้ว ทุกวันนี้เกินปัญญาท่านเจ้าคุณจะแก้ ทางเดียวที่จะรอดคือต้องผ่าตัดแล้ววัดดวง ที่ผ่านมาท่านเจ้าคุณไม่ทำอะไรเลยอ้างเป็นการปกครองคณะสงฆ์ แล้วเป็นอย่างไร 10 กว่าปี ชาวบ้านมองตาปริบ ๆ ค่อย ๆ มองความเสื่อมถอยอย่างสลดใจ ท่านเข้าคุณมองแต่ความก้าวหน้าตำแหน่งหรือเปล่า เสียงสะท้อนเล็ก ๆ แทนที่จะรีบจัดการแก้ไข ข่าวหนาหูตลอดเวลาว่าพระสามารถขอเครื่องราชได้ กระแสวัดทำการค้ามีตลอด หากจำไม่ได้จะเตือนความจำ ตอนจตุคามแรง แทบทุกวัดต้องทำจตุคามขาย ตอนบูชาเทพราหู แทบทุกวัดมีการจัดทำพิธี แล้วทำไมวิถีที่ไม่ได้เป็นพุทธแท้ ๆ กลับมีต่อเนื่องพร้อม ๆ กับความเจริญก้าวหน้าของท่านเจ้าคุณ กระแสวิจารณ์ วัดพระธรรมกาย เรื่องธุดงค์ธรรมชัย.... ธุดงค์ธรรมชัย ธุดงค์หรือเดินพาเหรด-จาริกเพื่อจารึก ..................................... กระแสวิจารณ์การเดินธุดงค์ของวัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี หนาหู ทั้งสื่อออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ ที่หนักหนาคือสื่อออนไลน์ มีการใช้คำหยาบ ด่าทออย่างรุนแรง ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกของการเดินธุดงค์ เพระยังมีการบิณฑบาตยาตราสลับกันไป จะให้วิจารณ์แบบนั้นคงไม่ได้หรอก แต่ใคร่ขอให้ทั้งวัดพระธรรมกาย และประชาชนต้องทำความเข้าใจธุดงค์ของพระพุทธเจ้าให้ดีเสียก่อนว่ามีพุทธประสงค์อย่างไรที่ทรงบัญญัติธุดงค์สำหรับภิกษุสามเณร แต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ มีการบำเพ็ญเพียรของนักบวชประเภทฤาษี ชีไพร มีการทรมานกายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ความทุกข์ทรมานที่เกิดจากร่างไปทำลายกิเลส บางลัทธิก็เพ่งพระอาทิตย์ ยืนเท้าเดียว นอนบนวัตถุมีคม บ้างก็กำมือบริกรรมจนเล็บทะลุหลังมือ บ้างก็เปลือยกาย บ้างก็บูชาไฟให้ร่างกายเร่าร้อน จิตเมื่อยู่กับทุกขเวทนาก็จะลืมกิเลส การบำเพ็ญอย่างนี้เรียกว่า “ตบะ” คือการทรมานร่างกายเพื่อเผากิเลส แม้เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าออกบวชก็บำเพ็ญเพียรอย่างนั้นเหมือนกัน เรียก “ทุกกรกิริยา” หลายวิธีการจนกระทั่งอดอาหารทรมานกาย และทรงบำเพ็ญได้ยิ่งกว่านักบวชในครั้งนั้น จวบจนกระทั่งพระอินทร์ดีดพิณ ๓ สาย จึงทรงได้สติ และหันมาบำเพ็ญแบบมัชฌิมาปฏิปทา เพราะทรงสัมผัสได้ว่า มารที่ขัดขวางความสำเร็จ มี ๕ ประการ ข้อแรก คือ “ขันธมาร” แปลง่าย ๆ ว่า “เมื่อร่างกายวิปริต จิตก็วิปลาส” เอาแค่ปวดหัวก็หมดสติปัญญาแล้ว ถ้ายิ่งกว่านั้นปัญญาจะเหลืออะไร จึงตรัสไว้ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรว่า... การทรมานตน เป็นทุกข์ ไม่ใช่วิธีประเสริฐ หาประโยชน์มิได้... นี่คือตบะแบบฤาษี ชีไพร เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศคำสอน แต่คำสอนต้องมีภาคปฏิบัติเพื่อขัดเกลากิเลสควบคู่กับการบำเพ็ญเพียรทางจิตคือสมถกัมมัฏฐาน และทางปัญญาคือวิปัสสนากัมมัฏฐาน การฝึกภาคปฏิบัติทางกาย จิต ความเป็นอยู่ การใช้สอย การขบฉัน จึงเกิดขึ้น ทรงบัญญัติธุดงค์ แปลว่า...องค์หรือวิธีขัดเกลากิเลส... ต้อง ปวิเวกตา หลีกเร้น, วิริยาอารัมภตา ปรารภความเพียร, สันตุฏฐิตา สันโดษในปัจจัยสี่ เป็นต้น พูดง่าย ๆ คือ ละทิ้งความสุขแบบคฤหัสถ์มาปฏิบัติให้ตรงกันข้าม แต่ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าภิกษุรูปนั้น ๆ สมัครใจที่จะบำเพ็ญธุดงควัตรข้อใดใน ๑๓ ข้อ แม้เมื่อสมาทานก็ควรปฏิญาณให้พระเถระได้ทราบ บางธุดงค์ก็ต้องแจ้งให้เจ้าของสถานที่ เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ทราบ ทั้งพระเถระก็ต้องควบคุมการประพฤติจนกว่าจะเข้มแข็งพอ อนึ่ง ถ้าบำเพ็ญอย่างปฏิญญาไม่ไหว ก็อาจถอนต่อหน้าสงฆ์ได้ แล้วหาวิธีปฏิบัติใหม่ ไม่ต้องไปรักษาปฏิญญาจนตัวตาย ธุดงค์ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัตินั้นมี ๑๓ วิธีการ คือ -ถือผ้าบังสุกุล (ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ไม่มีผู้ถือครอง) เป็นวัตร -ถือครองเพียงไตรจีวรเป็นวัตร -ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร (ไม่รับนิมนต์) -เที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร (คือไม่ย้อนกลับ) -นั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร (มื้อเดียว) -ฉันในบาตรเป็นวัตร -เมื่อฉันแล้วไม่รับอาหารที่นำมาถวายในภายหลัง -อยู่ป่าเป็นวัตร -อยู่โคนไม้เป็นวัตร -อยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร (มีที่มุง แต่ไม่มีฝาบัง) -อยู่ป่าช้าเป็นวัตร -อยู่ในเสนาสนะตามที่จัดไว้แล้วโดยไม่ร้องขอ ต่อรองหรือเลือก หรือสร้างเองเป็นวัตร -ถือการนั่งบำเพ็ญเพียรเป็นวัตร ส่วนบริขารที่ต้องติดตัวเสมอ คือ มีดเล่มน้อย เครื่องกรองน้ำ หินลับมีด (ปัจจุบันใช้มีดโกนสมัยใหม่)กลด คือ เครื่องมุงบังอันเป็นต้นแบบของแคมป์เล็ก นอกจากน้นก็มีกระติกใส่น้ำ ปัจจุบันพัฒนารูปแบบใส่ได้ทั้งน้ำร้อนน้ำเย็น อาสนะปูนั่ง ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าเช็ดปาก ยารักษาโรคเฉพาะตัว การธุดงค์ พระต้องจาริกไปหาสถานที่ที่ตนองสมาทานธุดงค์ด้วยการเดินจาริกไปเป็นกลุ่มซึ่งถือธุดงค์ขัดเกลาแบบเดียวกัน แต่พอถึงสถานที่แล้วก็แยกกันพอให้มองเห็นและส่งเสียงถึงกัน เพื่อการแก้ข้อขัดข้องหรือการช่วยเหลือในกรณีจำเป็น ส่วนข้อปลีกย่อยเรียกมารยาท การขอเจ้าที่เจ้าทางซึ่งเป็นภูติผี ปีศาจ เทวดาอารักษ์ ก็ต้องศึกษาธรรมเนียม ที่สำคัญต้องไม่มีทรัพย์สินมีค่าติดตัวไป หรือไม่มีวัตถุมงคลไปจำหน่ายซึ่งเป็นอเนสนาแสวงหาลาภ เมื่อปฏิบัติธรรมก็สามารถฝึกเกลาความประพฤติในการดำรงชีวิตพระ คราวนี้ หันมาดูธุดงค์ธรรมชัยที่ดำเนินเป็นกิจกรรมอยู่ในปัจจุบันว่า ตรงกับธุดงค์ ๑๓ ประการไหม ? คำถามนี้ต้องเป็นคำถามที่วัดพระธรรมกายต้องถามตนเอง และตอบคำถามตามพุทธบัญญัติให้ได้ก่อน อย่าเถียง อย่าดื้อรั้น อย่าสร้างภาพสวยงาม คำถามต่อมาที่ต้องถาม คือ ทำไมต้องมีการรวมพระจำนวนมากจัดระเบียบแบบโปรแกรมม์ ครองจีวรรูปแบบเดียวกัน จัดขบวนแบบแฟนตาซี ทั้งพระทั้งคน พระเดินกำหนดอะไร จุดหมายปลายทางทำอะไรในแต่ละรูป พระของวัดเสร็จการเดินจะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนในธุดงค์ ๑๓ ข้อ พระที่นิมนต์ขนมาได้รับการถวายปัจจัยรูปละเท่าไหร่ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละครั้ง เป็นเงินลงทุนเท่าไร ต้องถามพระที่ได้รับนิมนต์และถูกบังคับด้วยว่ามันขัดเกลากิเลสลงบ้างไหม เสียงบ่นของพระที่ทั้งนิมนต์และถูกบังคับ เขาพูดลับหลังว่าอย่างไร เขาบ่น เขาด่าว่าอย่างไร ประเมินเสียงวิจารณ์ชองคนทั่วไปว่าอย่างไร หรือคิดเอาว่า “ฉันจะทำอย่างนี้ มีอะไรไหม ?” ภาพแห่งความงดงามที่ช่างภาพมีฝีมือชั้นเยี่ยมมันใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของธุดงควัตรของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? มันลามไปต่างจังหวัดจนถึงแพร่ลัทธิไปถึงต่างประเทศ จนคนเข้าใจว่า “นี่ คือธุดงค์ขนานแท้” ระวัง “ผิดจะกลายเป็นครู” ขอเรียนท่านเจ้าคุณทั้งสองรูปว่าผมเองไม่ใช่เป็นศัตรูของวัดพระธรรมกาย ความจริงผมเป็นกัลยาณมิตรตลอดมา ซึ่งท่านทั้งสองพอทราบดีว่า ผมป้องกันไว้ในหลายกรณี แต่ก็เฝ้ามองตลอดมา แม้บัดนี้ท่านอาจจะไม่รู้จักผมแล้วก็ได้ ส่วนญาติโยมที่นับถือจะโกรธก็ไม่ว่า แต่ปรโตโฆสะ คือ ฟังคนอื่นบ้างก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าโยมจะไม่ชอบหน้าก็ไม่ว่ากัน แต่ต้องสำนึกว่า “มิตรที่ดีนั้น ต้องป้องกันความเสียหายของมิตร” ...แต่ถ้ายังเดินธุดงค์แบบนี้ ก็ต้องบอกได้เลยว่า “ไม่ใช่ธุดงค์ของพระพุทธเจ้า แต่เป็นธุดงค์ธรรมชัย คือธุดงค์แบบธัมมะชะโย” ที่ถูกสร้างรูปแบบขึ้นมาด้วยการจัดแบบแฟนตาซี มีอันแต่จะเหนื่อยทั้งการจัดการ การถูกวิจารณ์จากท่านผู้รู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังดึงชื่อเสียงของพระนักปกครองคณะสงฆ์ที่หลงนิมนต์และเกรงใจไปทำลายจนหมดสิ้น... ด้วยความรักและห่วงใย พระราชวิจิตรปฏิภาณ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ บทความที่อ้างอิง http://www.katitham.com/
อยากเสริมอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการบริหารบ้านเมือง แม้แต่ศาสนจักร หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ แล้วว่าจะเป็นที่เสียหายแน่นอน พระวินัยเป็นสิ่งที่พึ่งได้ อาญาสิทธิ์นี้ใช้เพื่อจรรโลงพระศาสนามิให้มัวหมอง ดังคำพระราชปรารภล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ที่ได้ให้ไว้ว่า "เกรงใจเสียงาน สงสารฉิบหาย เชื่อง่ายเป็นทุกข์"
Anna Jill ดิ้นไม่หลุด ยังไงก็ต้อง "อาบัติปาราชิก" อ.ปรีชา สุวรรณทัต แจง สมเด็จพระสังฆราชมีพระลิขิต ออกมาถึง 3 ฉบับ ติดต่อกัน ชี้ชัดว่า ธัมมี่ ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากการเป็น "สมณะโดยอัตโนมัติ" ตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ #มีศักดิ์สูงกว่ากฎหมายทั่วไป แม้แต่รัฐธรรมนูญ ไม่เกี่ยวกับกฎหมาย ของฝ่ายบ้านเมือง การถอนฟ้องอาญาของอัยการ เป็นคดีทางโลก ไม่มีเหตุผลลบล้าง การปาราชิก เป็น" อกาลิโก" คือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติ โดยไม่จำกัดกาลเวลา ไม่ขึ้นกับกาลเวลา การมีมติของมหาถั่วแระ เมื่อ 20 กพ. จึงขัดกับพระธรรมวินัย เท่ากับบิดเบือนพระธรรมวินัย ตนไหนโหวตไม่ปาราชิก ย่อมเข้าข่าย อาบัติปาราชิกด้วยเด้อ วินัยสงฆ์ หรือ พระวินัยเป็นกฎหมายของพระภิกษุ เป็นเครื่องควบคุมความประพฤติก ารปฏิบัติตนของภิกษุ ให้เป็นนักบวชที่น่าเคารพเลื่อมใส ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความศรัทธาชื่นชม และมีใจโน้มเข้าหาเพื่อฟังธรรมต่อไป ข้อห้ามนั้นจึงบัญญัติขึ้นเป็นพระวินัย ห้ามมิให้ภิกษุทำอีกต่อไป การทำผิดพระวินัยเรียกว่า อาบัติ พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติ ชั้นความผิดที่รุนแรงมากน้อยตามลำดับ ดังนี้ คือความผิดขั้นสูงสุด เรียกว่า ปาราชิก ชั้นรองลงมาตามลำดับคือ สังฆาทิเสส อนิยต นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ แต่ละขั้นมีจำนวน และรายละเอียดต่างกันไป แต่รวมแล้วเป็นข้อห้ามทั้งหมด 227 ข้อ การไม่ทำสิ่งที่ทรงห้ามทั้ง 227 ข้อ ก็คือการรักษาศีล 227 ข้อ ที่พระภิกษุทุกรูปต้องถือปฏิบัติให้เคร่งครัดนั่นเอง อ.ปรีชา ยังชี้ว่า เจ้าอาวาส และ คกก มส. ถือเป็นเจ้าพนักงาน ตามกระบวนกฎหมายอาญา ตาม พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา 45 บัญญัติว่า “ ให้ถือว่าพระภิกษุ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครอง คณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา ” ดังนั้น สมภารเจ้าอาวาส จึงเป็นเจ้าพนักงานตามประมวล กฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดต่อ เจ้าพนักงานและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136-166 กล่าวคือ หากมีผู้กระทำความผิด ไม่ว่าเป็นการดูหมิ่นต่อสู้ขัดขวาง บังคับขู่เข็ญเจ้าอาวาส ก็จะเป็นความผิดอาญา ในขณะเดียวกัน หากสมภารเจ้าอาวาสในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือทำให้เกิดความเสียหาย หรือกระทำโดยทุจริตก็มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่สองพันถึงสองหมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ (ป. อาญา 157) หากมีการใช้เงินของวัด ในฐานะเป็นนิติบุคคล ไปเพื่อประโยชน์ของตนเอ งหรือผู้อื่น เจ้าอาวาสก็อาจจะเข้าข่าย กระทำความผิดฐานะเป็นนิติบุคคล ไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือผู้อื่น เจ้าอาวาสก็อาจจะเข้าข่าย กระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือมาตรา 147 จำคุก 5 ปีขึ้นไป เรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่ รมต .ที่กำกับดูแล ด้านศาสนา หากไม่ปฎิบัติตามเข้าข่าย ละเว้น ม.157 เด้อ
งง สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว โอละพ่อ! "ไพศาล" แฉ มส. ไม่มีมติ อุ้ม "ธัมมชโย" ไม่ปาราชิก วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 09:11:26 น. เมื่อวันที่ 24 ก.พ. นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Paisal Puechmongkol ถึงกรณีที่มหาเถรสมาคม แถลงว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือพรรคธัมมชโย เจ้าอาวาสพระธรรมกาย ยังไม่ปาราชิก ว่า ไม่ได้เข้ารกเข้าพงแล้ว เพิ่งได้ทราบข่าวว่าสำนักพุทธแถลงอีกแล้วว่าในการประชุมล่าสุด มหาเถรสมาคมไม่ได้มีมติอะไร ไม่ได้มีมติว่าธัมมชโยไม่เป็นปาราชิกดังที่เป็นข่าว เป็นเพียงรับทราบที่นายสมเกียรติแถลงการไปชี้แจงต่อกรรมการศาสนา สปช. ถ้าอย่างนี้ก็ไม่เกี่ยวกับมหาเถรสมาคมนะครับ จะไปติเตียนท่านไม่ได้ว่าขัดพระบัญชาพระสังฆราชที่มีผลตามกฎหมายแล้ว อย่าให้ความขัดแย้งลุกลามเกินที่เป็นปัญหาเลย ท่านทั้งหลายพึงทราบและเข้าใจให้ตรงตามนี้นะครับ ใครแถลงแอบอ่้างเป็นมติมหาเถรสมาคมก็รับกรรมไปก็แล้วกัน และว่า ขอร้องท่านทั้งหลายอย่าได้ติเตียนมหาเถรสมาคมโดยส่วนรวม อย่าได้ติเตียนกรรมการมหาเถรสมาคมไปหมดทุกรูป จะกระทบองค์กรคณะสงฆ์มาก กรรมการมหาเถรสมาคมฝ่ายธรรมยุติ8รูป ยืนยันตามพระบัญชาสมเด็จพระญาณสังวรณ์สมเด็จพระสังฆราชลงวันที่26เมษา 42และมติมหาเถรสมาคมที่193/42 เรื่องปาราชิกว่าเป็นปาราชิกแน่นอน ฟื้นไม่ได้แล้ว กรรมการมหาเถรสมาคมอีก 3 รูป จากวัดเทพศิรินทร์ วัดบวรและวัดสัมพันธวงศ์ไม่ได้ไปประชุม ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ท่านเจ้าคุณพรหม วัดยานนาวา ยืนยันกับท่านผู้ใหญ่ว่าไม่มีมติอะไร และท่านก็ไม่ได้พูดอะไรด้วย สมเด็จวัดปากน้ำและกรรมการมหาเถรสมาคมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พูดอะไร มีแต่นั่งฟังเลขานุการรานงาน สรุปคือสมเด็จวัดปากน้ำและกรรมการมหาเถรสมาคมไม่ได้ลงมติอะไรเลย และฟังรายงานจากเลขา รายงานเสร็จเลขาอ้างว่าติดราชการขอกลับไปก่อนแล้วเอาเอกสารให้พระพูด พระที่รับฝากพูดจากเลขาจึงเป็นหมู่บ้านกระสุนตกสิครับ ความจริงเป็นอย่างนี้แล้วหลวงพี่จีวรแดงจะว่ายังไง อย่าเอาเรื่องนี้มาบิดตะกูดปลุกระดมพระปกป้องคนโกงสหกรณ์คลองจั่นดีกว่า ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมปรามเสียหน่อยจะช่วยบ้านเมืองได้มาก
ถ้าจริงก็แค่ปัดให้พ้นตัว เพราะภัยกำลังมาเยือนเท่านั้นเอง ข่าวออกมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ไม่แก้ข่าวตั้งแต่แรก มาแก้ตอนนี้ก็เพราะกระแสสังคมที่คัดค้านกันอย่างกว้างขวาง นึกว่าจะมีแต่นักการเมืองที่พูดกลับไปกลับมาเมื่อตัวเองกำลังถึงตาจน พระชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นด้วยเหมือนกันรึนี่