http://www.isranews.org/investigative/investigate-procure/item/43815-ืnews02_43815.html#.VokGL4LVpOl.facebook พฤติการณ์ชัดส่อล็อคตัวบ.ประดับไฟล่วงหน้า! สตง.ขู่เรียก'สุขุมพันธ์' ให้ถ้อยคำ วันอาทิตย์ ที่ 03 มกราคม 2559 เวลา 10:00 น. ผู้ว่าฯ สตง. เผยความคืบหน้าผลตรวจสอบโครงการประดับไฟ ปีใหม่ กทม. 39.5 ล้าน พฤติการณ์ชัดส่อล็อคตัวบ.รับงานไว้ล่วงหน้า ชี้ยังไม่ทันลงนามสัญญา เนื้องานเกิดแล้ว 20 % รับลูกข้อมูล 'อิศรา' สอบต่อปมแจ้งเพิ่มวัตถุประสงค์ทำธุรกิจประดับไฟ ก่อนยื่นซอง 3 เดือน แถมผูกรับงาน 6 ปีติด เตรียมร่อนหนังสือให้ชี้แจงเป็นทางการ ไม่เคลียร์ เชิญผู้ว่าฯ เข้าให้ถ้อยคำด้วย เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2559 นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบการดำเนินโครงการค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Motif of Light) บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร วงเงิน 39.5 ล้านบาท ของ สำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ว่า ขณะที่สตง.อยู่ระหว่างเก็บรวบรวมหลักฐานการดำเนินงานโครงการนี้ ทั้งในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ ความคุ้มค่า และการประกวดราคาว่าจ้างเอกชนเข้ามารับงาน โดยประเด็นที่พบตรวจพบพิรุธค่อนข้างชัดเจน คือ ขั้นตอนการว่าจ้างเอกชนเข้ามารับงาน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เอกชนที่ปรากฎรายชื่อเป็นชนะการประกวดราคา ได้นำสิ่งของเข้ามาทำงานล่วงหน้าประมาณ 20 % ก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาว่าจ้างเป็นทางการ ส่อให้เห็นถึงการเตรียมการเข้ามารับงานนี้โดยเฉพาะ "งานนี้ไม่ใช่คืองานประดับไฟอย่างเดียว แต่เป็นการออกแบบด้วย ในข้อเท็จจริงผู้รับจ้างควรจะต้องมีเวลาเตรียมงานพอสมควร แต่การดำเนินงานนี้ กลับเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ถ้าไม่มีการเตรียมการล่วงหน้ามาก่อน งานคงออกมาไม่แล้วเสร็จ และจุดสำคัญที่ต้องไปดูคือการตรวจรับงานดวงไฟเป็นหลักล้านดวงจะใช้วิธีการอย่างไร ของเหล่านี้ ต้องใช้เวลาเตรียมการพอสมควร แต่นี่ใช้เวลาสั้นๆ แต่เตรียมการได้ทำ ทำกันได้อย่างไร" ผู้ว่าฯ สตง. ยังระบุด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลสำคัญที่สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบด้วยคือ เอกชนผู้ชนะงาน เพิ่งแจ้งเพิ่มวัตถุประสงค์ทำธุรกิจไฟประดับ จากเดิมที่ทำธุรกิจนำเที่ยวเป็นหลัก ก่อนยื่นซองเสนอราคาแค่ 3 เดือน และเอกชนรายนี้ ยังผูกรับงานกับสำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานครมาตลอด 6 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งสตง.จะรับข้อมูลนี้ไปตรวจสอบเชิงลึกต่อด้วย "งานประดับไฟของกทม. หากใครที่เข้าไปชมมาแล้วแล้ว คงจะเห็นว่าผลงานออกมาเป็นอย่างไร มีการนำเสนอแนวคิดที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยน้อยมาก ไฟหลายส่วนเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของชาติอื่นมากกว่า ขณะที่จุดที่ประดับไฟก็อยู่ในพื้นที่ลานคนเมือง เป็นจุดแคบ ไม่ได้เปิดกว้าง พื้นที่ถนนสองข้างทางก็ไม่ได้รับประโยชน์ ถ้าทำบริเวณถนนราชดำเนินทั้งเส้นจะคุ้มค่ามากกว่า ขณะที่ช่วงเวลากลางวันไฟก็เปิดไม่ได้ และยังมีการกั้นรั้วไม่ให้คนเข้าไปในพื้นที่ได้ ระยะเวลาในการแสดงก็สั้นมาก จึงไม่แน่ใจว่าจะช่วยกระตุ้นเรื่องการท่องเที่ยวได้มากน้อยแค่ไหน" ผู้ว่าฯ สตง. ยังกล่าวด้วยว่า การที่กทม. ดำเนินงานโครงการที่ใช้งบประมาณจำนวนมาก ควรมีการวางแผนงานที่ดีกว่านี้ แต่ลักษณะงานที่ปรากฎ ชวนให้เข้าใจว่า เหมือนเพิ่งคิดได้ว่าจะทำ ก็เลยไปหาแหล่งเงินมาใช้ สุดท้ายก็ไปเอาเงินจากงบสำรองฉุกเฉินมาใช้ ซึ่งโดยหลักการการใช้จ่ายเงินส่วนนี้ จะต้องเป็นโครงการฉุกเฉินที่มีความจำเป็นจริงๆ มีโครงการเตรียมพร้อมไว้ชัดเจนมากกว่านี้ ชี้ให้เห็นถึงการใช้จ่ายเงินที่เข้าข่ายผิดวินัยทางการคลังด้วย "ในเร็วๆนี้ สตง. จะทำหนังสือแจ้งให้ กทม. ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดอีกครั้ง แต่ถ้ายังชี้แจงไม่เคลียร์ อาจจำเป็นจะต้องเชิญตัวแทนกทม. รวมถึง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.เข้าชี้แจงให้ถ้อยคำกับสตง.เป็นทางการด้วย" ผู้ว่าฯ สตง.ระบุ -------------------------------------------------------------------------------------------------- ผิดก็ว่าไปตามผิดครับ ไม่มีแถว่ามาจากการเลือกตั้ง แล้วจะทำอะไรก็ได้ และขออภัยบางคน ที่ผมตั้งกระทู้ข่าวนี้ก่อน
โดยส่วนตัวเรื่องนี้ยังไม่รู้ว่าใครทำผิด แต่ดูแนวแล้วเหมือนว่า กทม. จะไม่โปร่งใสจริง ไปดูข้อกล่าวหาและคำชี้แจงทั้ง 2 ฝ่ายกัน สตง.ตรวจสอบความผิดปกติการใช้งบประมาณประดับไฟลานคนเมือง กทม. พบบริษัทที่ชนะประมูล มีพื้นฐานทำธุรกิจทัวร์ *************************************** รองผู้ว่าฯ กทม.ชี้แจงการใช้งบ 39 ล้านบาท ประดับตกแต่งไฟที่ลานคนเมือง ไม่ได้ใช้งบฉุกเฉินตามที่ถูกกล่าวหา และไม่มีการฮั้วประมูลกับบริษัทที่รับงาน นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงประเด็นโครงการจัดซื้อจัดจ้างประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่ลานคนเมือง กรุงเทพมหานคร ด้วยงบประมาณ 39.5 ล้านบาท โดยยืนยันว่างบประมาณที่นำมาจัดซื้อจัดจ้างไม่ใช่งบประมาณฉุกเฉิน แต่เป็นงบกลางที่มีประมาณ 3,000 ล้านบาท พร้อมยืนยันว่าไม่มีการฮั้วประมูลกับบริษัทผู้รับงาน เนื่องจากเป็นการจัดซื้อจัดจ้างรูปแบบ อี-อ็อกชั่น ที่มีบริษัทพร้อมดำเนินการเพียง 2 ราย และ ไม่ทราบมาก่อนว่า บริษัทที่ชนะการประมูลเป็นบริษัทนำเที่ยว แต่ยอมรับว่าระยะเวลาดำเนินการมีน้อย เพราะเริ่มวันที่ 17 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม มองว่าการประดับไฟที่จะเปิดถึงปลายเดือนมกราคมนี้ เป็นแระโยชน์ในหลายส่วน เฉพาะผู้เข้าชมช่วง 5 วันที่ผ่านมา มีกว่า 1 ล้านคน และ สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการละแวกใกล้เคียงมากกว่า 5.5 ล้านบาท ****************************************** หลังจากที่นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาวิจารณ์ถึงการทำงานของกทม. ว่าอาจส่อแววทุจริต โดยเฉพาะประเด็นการว่าจ้างบริษัทประดับไฟ 39 ล้านบาท ที่กำลังเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ // วันนี้ ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาชี้แจง ทุกประเด็นไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่เปิดให้บริษัททัวร์เข้ามาประมูลหรือการเตรียมติดตั้งไฟประดับและงบประมาณที่ใช้ในโครงการนี้ เราไปติดตามทั้งการตั้งข้อสังเกตุของนายวิลาศ และคำชี้แจงของ กทม. จากประเด็นการตั้งข้อสงสัยของนายวิลาศ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ถึงการฮั้วประมูลและมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทางรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ออกมาชี้แจงแล้วว่า การดำเนินการทั้งการเปิดประมูล การดำเนินการด้านงบประมาณก็เป็นไปตามกฎหมาย โดยยืนยันว่าโปร่งใส นอกจากนี้ทางรองผู้ว่ากรุงเทพมหานครก็กล่าวเพิ่มเติมหลังการชี้แจงในประเด็นต่างๆ ว่าหลังจากนี้จะตอบโต้นายวิลาศเช่นกัน ภายหลังจากการแถลงข่าวของกรุงเทพมหานคร นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้ นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ที่ยืนยันว่าโครงการตกแต่งประดับลานคนเมืองมีความโปร่งใสว่า เรื่องนี้ตนอยากให้เอาเอกสารที่มีเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) ของการประมูลมาเปิดเผยเพื่อยืนยันความโปร่งใส เพราะเพียงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ก็ถือว่าทุจริตอย่างแน่นอน โดยอาจรู้เห็นกับบริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนท์ เทรเวล จำกัด ที่เป็นบริษัทิที่ได้รับงาน เนื่องจากมีการเปิดซองประมูลวันที่ 17 ธันวาคม โดยงานจะต้องมีขึ้นในวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งห่างกันไม่กี่วัน หากไม่มีการรู้เห็นกันล่วงหน้าบริษัทที่ประมูลได้จะไปหาหลอดไฟ 5 ล้านดวงจากที่ใดเพื่อให้ทันเวลา หากไม่มีการเตรียมไว้ก่อนแล้ว อย่างนี้ถือเป็นการล็อคสเป็คกันหรือไม่ และคุ้มค่ากับเงิน 39.5 ล้านบาทหรือไม่ ถึงแม้ตนจะไม่มีรายละเอียดมากมายแต่ถือว่าพฤติกรรมส่อทุจริตแล้ว
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตั้งคำถามถึงการเขียนทีโออาร์ของกทม.อาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน หลังพบว่ามีการเลื่อนประมูลให้เร็วขึ้น ทำให้7 ใน 9 บริษัท เตรียมตัวไม่ทัน นอกจากนี้ยังสงสัยอีกว่า ทีโออาร์ที่เขียนเสร็จในวันเดียว อาจมีการเตรียมกันมาแล้วกับบริษัทที่ล็อคสเปค นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. กล่าวถึงการตรวจสอบโครงการประดับไฟแอลอีดีตกแต่งบริเวณลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จำนวน 5 ล้านดวง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ถึง 31 มกราคม 2559 มูลค่า 39.5 ล้านบาทว่า เคยลงไปตรวจสอบ บริษัทรับเหมาที่จัดไฟลานคนเมืองแล้ว พบว่าไม่มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดแสดงไฟ โดยผู้ว่าฯสตง.ยังตั้งคำถามว่า ในทีโออาร์ไม่ระบุคุณสมบัติเอกชนต้องมีประสบการณ์จัดแต่งไฟ แต่เปิดกว้าง ทั้งๆที่ บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัด ที่ชนะประมูลไม่มีอุปกรณ์ใดๆเลย ผู้ว่าฯสตง.ยังกล่าวถึงประเด็นที่ กทม.เลื่อนประมูลเร็วขึ้น อาจทำให้ 7 จาก 9 บริษัท ถอนตัวเพราะเตรียมตัวไม่ทัน ในขณะที่บริษัท คิวริโอ กลับสามารถเข้าทำงานก่อนทำสัญญา ถือว่าไม่เป็นธรรมกับบริษัทที่ถอนตัว โดยรายละเอียดการทำทีโออาร์ ยังระบุว่า วันที่ 12 พฤศจิกายน 2558 มีการขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการร่างทีโออาร์ โดยในวันรุ่งขึ้น คือ13 พฤศจิกายน ก็ได้ประกาศทีโออาร์ ซึ่งแปลว่าโครงการไฟประดับของกทม.เขียนทีโออาร์เสร็จในวันเดียว และอาจหมายถึงบริษัทเตรียมงานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นข้อสังเกตว่าอาจเตรียมการมาล่วงหน้า เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เอื้อประโยชน์ให้บริษัทที่อาจเตรียมการมาก่อน นอกจากนี้ ทีโออาร์ ยังพบอีกว่าไม่ได้ออกแบบการประดับไฟให้เป็นเอกลักษณ์ของไทยตามที่ระบุไว้ ซึ่งต้องดูว่าการติดตั้งไฟดังกล่าว ประกอบตามทีโออาร์ หรือสำเร็จรูปมาจากต่างประเทศ ถ้าสำเร็จรูปมาต้องดูต่อว่าทำไมแบบในทีโออาร์ถึงตรงกับของสำเร็จรูป ที่สำคัญคือพบว่าคนงานที่มาประดับไฟเป็นชาวจีน จึงตั้งข้อสงสัยว่าติดตั้งตามทีโออาร์ หรือมีของสำเร็จรูปส่งมาจากต่างประเทศ
ผลสรุป สตง. ข่าว 7 สี - สตง.สรุปผลตรวจสอบ โครงการประดับไฟแอลอีดี ของกรุงเทพมหานครมีพิรุธ ใช้เงินแผ่นดินส่อไปในทางไม่สุจริต โดยเรียกบริษัทรับเหมาเข้าชี้แจงเพิ่มวันพรุ่งนี้ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.ได้สรุปผลการตรวจสอบการใช้งบประมาณ 39.5 ล้านบาท ในโครงการประดับไฟแอลอีดีภายใต้ชื่อ "กรุงเทพฯแสงสีแห่งความสุข" ของกรุงเทพมหานครว่ามีพิรุธใช้เงินแผ่นดินส่อไปในทางไม่สุจริต โดยเฉพาะในประเด็นผู้เข้าร่วมประมูลงานมีเพียง2 บริษัท จากทั้งหมด 6-7 บริษัท รวมถึงบริษัทได้นำเข้าและจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อมก่อนจะมีการว่าจ้างเซ็นสัญญาส่วนไฟที่นำมาประดับก็เป็นแผงไฟสำเร็จรูปแต่มีการเบิกค่าออกแบบประกอบกว่า20 ล้านบาท และหลังจากวันนี้ ไฟที่จัดแสดงไว้ทุกดวงจะต้องส่งคืนบริษัทไม่ได้เป็นสมบัติของกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ สตง.ได้เรียกบริษัทรับเหมาเข้าชี้แจงเพิ่มในวันพรุ่งนี้แล้ว เพื่อนำผลตรวจสอบทั้งหมดส่งให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินหรือคตง. พิจารณาเอาผิดกับผู้ว่าราชกรุงเทพมหานคร ในสัปดาห์หน้า ขณะที่นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกกรุงเทพมหานคร ยืนยัน แผงไฟประดับถูกออกแบบขึ้นมาเฉพาะไม่ใช่แผงไฟสำเร็จรูปส่วนค่าออกแบบไฟได้ใช้งบประมาณเพียง2 แสนบาท ไม่ใช่ 20 ล้านบาท ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้เข้าชี้แจงกับสตง.แล้ว และตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ได้สร้างเม็ดเงินให้คนในชุมชน และผู้ค้าได้สูงเกือบ10 ล้านบาท มีผู้เข้าชมมากถึง 1.6 ล้านคน เกินเป้าที่ตั้งไว้ถึง 4 เท่า และวันนี้เป็นวันสุดท้าย ที่มีการจัดแสดงไฟประดับ
ผิดก็จัดเต็มครับ ไม่สนับสนุนคนทำผิดไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ^^ แปลก ทีงี้ล่ะควายแดงเงียบ หรือว่าไม่ทันกันล่ะนี่ ฮ่าๆๆ
ฟังทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูล โฆษกประจำตัวผู้ว่าฯกทม. ยืนยันโครงการประดับไฟลานคนเมืองกว่า39ล.ถูกต้องตามกระบวนการ-ไม่หนักใจกับการตรวจสอบ วันนี้(1 ก.พ.59) นายวสันต์ มีวงษ์ โฆษกประจำตัวของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยกรณีที่ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เตรียมทำหนังสือเชิญ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าชี้แจงการใช้งบประมาณ 39 ล้าน 5 แสนบาท ในโครงการประดับไฟแอลอีดีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ลานคนเมืองว่า ก่อนหน้านี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มอบหมายให้นายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าชี้แจงรายละเอียดและตอบข้อสงสัย นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าการจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องตามกระบวนการ พร้อมระบุว่าไม่หนักใจกับการตรวจสอบ เนื่องจากเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนด้วยความสุจริตและพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ นอกจากนี้ได้มอบหมายให้สถาบันการศึกษา ทำแบบสอบถามความพึงพอใจของประชาชนถึงโครงการประดับไฟแอลอีดีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย ด้านนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมาว่าจะทำหนังสือเชิญผู้ว่าฯกทม.เข้าชี้แจงหลัง ได้ทำหนังสือเชิญ ก่อนหน้านี้แต่ผู้ว่าฯกทม.แจ้งว่าติดภารกิจไปราชการต่างประเทศ ข่าว 7 สี - แม้ว่าอุโมงค์ไฟ ลานคนเมือง ของกรุงเทพมหานคร จะสิ้นสุดไปแล้วแต่การตรวจสอบยังเดินหน้าต่อ ล่าสุด สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พบข้อพิรุธเพิ่มอีก ปิดไฟไปแล้วกับโครงการ "กรุงเทพฯ แสงสีแห่งความสุข" มูลค่า39.5 ล้านบาท หลังจากจัดแสดงที่ลานคนเมือง เป็นเวลา 1 เดือนเต็มฉลองปีใหม่ 2559 นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่าได้มีหนังสือเชิญหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้เข้าชี้แจงถึง 2 ครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กทม.จะไม่ชี้แจง แต่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน มั่นใจจากหลักฐานที่มี จะสรุปผลส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ได้ เพราะโครงการมีข้อพิรุธชัดเจน ส่อฮั้วประมูล ล็อคสเป็ค และเอื้อประโยชน์ให้เอกชน โดยจะให้ 2 บริษัท ที่เข้าประมูลมาชี้แจงต้นเดือนนี้ ล่าสุด การตรวจสอบเอกสารสัญญา ยังพบว่าทั้ง 2 บริษัท ที่ยื่นประกวดราคา มีผู้รับมอบอำนาจ เป็นบุคคลเดียวกัน ที่เพิ่งไปจดทะเบียนเพิ่มคุณสมบัติทำกิจการไฟฟ้า ไฟประดับได้ ให้เข้าหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้
การที่ฟากฝั่งคนที่เลือกคุณชายหมูมาเป็นผู้ว่ากทม.สนับสนุนให้มีการตรวจสอบข้อสงสัยว่าอาจมีการทุจริต คือสิ่งที่ควายแดงไม่กล้าแม้จะคิด สำหรับควายแดง ชินวัตรและเผาไทยคือนายจ้าง ถ้าตรวจสอบนายจ้างแล้วจะเอาอะไรกิน
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมันต้องแบบนี้ ตรวจสอบคน, พรรค ที่ตัวเองเลือก ถ้ามีปัญหาทุจริต ไม่ใช่มาปกป้องด้วยตรรกะว่ามาจากการเลือกตั้ง
9 ก.พ. | ข่าว 12:00 น. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เรียกบริษัทเอกชนที่รับเหมาโครงการประดับตกแต่งไฟ ที่บริเวณลานคนเมือง มูลค่า 39 ล้านบาทของกรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดโอกาสให้ชี้แจงข้อมูล
ป.ป.ช. เร่งสอบ กทม.ติดตั้งไฟLED 39 ล้านบาท กทม. 15 ก.พ.-ป.ป.ช. เร่งสอบกรณี กทม. กรณีติดตั้งไฟแอลอีดีประดับลานคนเมืองจำนวน 39 ล้านบาท นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึง การตรวจสอบโครงการติดตั้งไฟแอลอีดีประดับลานคนเมืองของกทม. มูลค่า 39 ล้านบาทว่า ป.ป.ช.ได้ส่งทีมงานไปเก็บรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล แต่จะยังไม่เชิญ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร์ ผู้ว่าฯกทม.มา โดยเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ความสำคัญ คงต้องเร่งดำเนินการและแจ้งผลให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทราบโดยเร็วว่ามีเรื่องความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ซึ่งปกติในขั้นตอนแสวงหาข้อเท็จจริงนี้จะใช้เวลาประมาณ 90-120 วัน จึงต้องดูว่าผลการแสวงหาข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/404171
คตง.เตรียมพิจารณาโครงการประดับไฟลานคนเมือง 39.5 ลบ. หลังจนท.พบเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน 11 เม.ย. | ข่าว 12.00 น. สตง. สรุปผลการตรวจสอบโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานคร เอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน รวมทั้งอาจมีการฮั้วประมูล โดยบริษัทที่เข้ายื่นซองประมูลมีความเกี่ยวข้องกัน 11 เม.ย. | ข่าว 19.00 น.อุโมงค์ไฟของกรุงเทพมหานครเมื่อช่วงปีใหม่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่าโครงการนี้ไม่โปร่งใส และเตรียมส่งต่อให้ ปปช.พิจารณาความผิดผู้บริหารกรุงเทพมหานคร สตง.ตรวจสอบไฟประดับปีใหม่ กทม.39 ล้าน รู้ผลชัดเดือนนี้ 2016/04/11 7:53 PM กทม. 11 เม.ย. – โครงการประดับไฟในช่วงเทศกาลปีใหม่ บริเวณลานคนเมือง กทม. ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 39 ล้านบาท สตง.ใช้เวลาตรวจสอบกว่า 3 เดือน พบว่าโครงการนี้ส่อทุจริตและอาจมีผู้บริหารระดับสูงมีส่วนเกี่ยวข้อง 2 คน ซึ่งผลอย่างเป็นทางการจะรู้ชัดภายในเดือนนี้. – สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/444788
เปิดหลักฐานฮั้วประมูลไฟประดับ กทม. 2016/04/24 8:17 PM กรุงเทพฯ 24 เม.ย. – ภายในสัปดาห์หน้า สตง.เตรียมแถลงผลสอบโครงการไฟประดับลานคนเมือง กทม.ใช้งบฯ กว่า 39 ล้านบาท ขณะที่นักวิชาการด้านกฎหมาย ระบุเอกสารมอบอำนาจแจ้งเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทเอกชนส่อฮั้วประมูล. -สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/content/453707
เบื้องหลัง! สตง. เชือด ‘สุขุมพันธุ์-พวก’ 13 ราย คดีฮั้วประดับไฟ กทม. 39 ล้าน รองผู้ว่าฯให้การยันนโยบายโดยตรง ‘ผู้ว่าฯ’ พบพิรุธเพียบ เอกชน 3 ราย มอบ ‘หญิงสาว’ รายเดียวแจ้งเพิ่มธุรกิจประดับไฟ ผู้ชนะราคาสั่งของมาก่อนการประกวด สำแดงมูลค่ากรมศุลฯแค่ 28 ล้าน หนึ่ง ใช้งบฉุกเฉินดำเนินการแทนงบประมาณปกติ สอง กระบวนการจัดทำใบเสนอราคา-ทีโออาร์เสร็จในวันเดียว สาม เอกชน 3 รายที่ร่วมซื้อซองประกวดราคา มอบอำนาจ ‘หญิงสาว’ คนเดียวไปแจ้งเพิ่มวัตถุประสงค์ธุรกิจ สี่ บริษัท คิวริโอฯ สั่งของที่จัดทำโครงการดังกล่าวเข้ามาก่อนการประกวดราคา ทั้งนี้ สตง. ได้ให้โอกาส ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ เข้ามาชี้แจงแล้ว โดยส่งหนังสือไปถึง 2 ครั้ง แต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กลับไม่เข้ามาชี้แจงแต่อย่างใด แต่กลับมีการชี้แจงผ่านสื่อว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวโปร่งใส ด้วยข้อสงสัยหลายประการ และเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา จึงทำให้ คตง. มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า พฤติการณ์ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กับพวกรวม 13 ราย เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินและทรัพย์สินของแผ่นดิน และเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 จึงมีมติให้ดำเนินการเอาผิดกับบุคคลดังกล่าว ทั้งการดำเนินคดีทางวินัย ทางอาญา โดยในส่วนทางวินัยนั้น ได้ส่งให้กับ รมว.มหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนทางอาญา ได้ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนต่อไป สำหรับรายชื่อผู้ถูก คตง. ชี้มูลความผิด มีดังนี้ 1.ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. 2.น.ส.ปราณี สัตยประกอบ ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว 3.นายธวัชชัย จันทร์งาม ผู้อำนวยการกองการท่องเที่ยว 4.คณะกรรมการกำหนดทีโออาร์ 5 ราย ประกอบด้วย 4.1 นายสิโรตม์ แสงเจริญ นักพัฒนาการท่องเที่ยวชำนาญการ ประธานกรรมการ 4.2 น.ส.วันทนา เตชะสุวรรณา นักพัฒนาท่องเที่ยวชำนาญการ กรรมการ 4.3 นายมรกต ภูมิพานิช นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ กรรมการ 4.4 นายสิทธิโชค อภิบาล นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ กรรมการ 5.บริษัท จิปาถะฯ โดยนายคฑารัฐ สันธิสิริ กรรมการผู้จัดการ 6.บริษัท สยาม เอ็ม อี.อี.ฯ โดยนายอนุชิต พลวิเศษ กรรมการผู้จัดการ 7.บริษัท คิวริโอฯ โดย น.ส.กันติกานต์ อินทศร กรรมการผู้จัดการ 8.บริษัท สรรค์สร้างฯ โดย นายวีระศักดิ์ ศิริจันทร์เพ็ญ กรรมการผู้จัดการ 9.น.ส.สิริพร ชาวปราการ http://www.isranews.org/investigative/investigate-procure/item/46691-sukhumpan.html .............................................................. ผิดจริงต้องลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างครับ
สตง.มีมติส่งเรื่องฟ้องผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และข้าราชการกรุงเทพมหานครรวม 8 คน ฐานมีพฤติการณ์ฮั้วการประมูลโครงการไฟประดับลานคนเมือง ช่วงเทศกาลปีใหม่ วงเงิน 39 ล้าน และฟ้องเอกชนอีก 3 ราย มีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พร้อมส่งเรื่องให้ ปปช.ให้ดำเนินคดีภายในสัปดาห์นี้ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กล่าวว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ตรวจสอบโครงการดังกล่าว ได้ดำเนินการติดตั้งไฟLEDจำนวน 5 ล้านดวง ผลการตรวจสอบพบพฤติการณ์ ผู้บริหารระดับสูงของ กทม. คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัฒร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และข้าราชการประจำ กทม.รวม 8 คน ที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ มีพิรุธ ผิดปกติ ส่อเอื่อประโยชน์ให้กับเอกชนผู้รับงาน ตั้งแต่ขั้นตอนการยื่นประกวดราคา รวมถึงความคุ้มค่าในการจัดจ้างทำโครงการ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบแผนของทางราชการ ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการดำเนินโครงการเป็นการไม่ปฎิบัติตามระเบียบแบบ แผนของทางราชการ เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินและทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามนัยมาตรา 44 และมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรับธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 และเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรับ พ.ศ.2542 จึงมีมติเห็นชอบที่จะดำเนินการเอาผิดต่อผู้กระทำความผิดทั้งหมด ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ปปช. รวมทั้งให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกับผู้บริหารสูงสุด กทม. รวมทั้งดำเนินการทางวินัยและอาญาแก่เจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ สตง.เรียก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มาชี้แจง 2 ครั้ง แต่ไม่ได้มาตามที่ส่งหนังสือไป ทั้งนี้ เอกชนที่เกี่ยวข้องมีทั้งหมด 3 ราย คือบริษัทจิปาถะ ไอเดีย / บริษัทคิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล / และบริษัทสรรค์สร้าง ที่มีผู้สอบบัญชีรายเดียวกันนำมาจดทะเบียน เป็นบริษัทจำหน่ายไฟและประดับ ได้ร่วมมือกันฮั้วราคาประมูล โดย สตง.ตรวจสอบราคานำเข้าไฟแล้ว พบราคาอยู่ที่ 28 ล้านบาท เมื่อบวกราคาดำเนินการแล้ว จะมีส่วนต่างของราคาการจัดไฟตามโครงการนี้มาก ซึ่งจะส่งให้ ปปช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทางอาญาและแพ่ง เพื่อนำเงินคืนคลัง กทม.
ตอนหาเสียงก็เชียร์อวย เป่าหูประชาชนดีอย่างนั้นอย่างนี้ พอหางด้วนแล้ว ก็เข้านิยาม เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น แถลงข่าวเสนอหน้ากันออกมาถล่ม หากินได้อีกต่อ เด็กเส้นจรกา มีแต่ดีๆทั้งนั้น
ก็ยังดีกว่า เสนอหน้ากันปกป้องพวกตัวเองแหละ พวกเอ็งมีสักคนไหมที่จะออกมาขอโทษประชาชน ทำงบประมาณเสียหายไปหลายแสนล้านบาท ยังบอกตัวเองไม่ผิดอยู่เลย พวกเอ็ง ก็ยังบูชาคนโกง เหมือนเป็นเทพธิดา ไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจ ใครมันน่าสมเพชกว่ากันหว่า
แสดงว่า...ถ้าเชียร์ใครแล้วคนนั้นทำผิด ก็ต้องช่วยปกป้อง ช่วยแถ เหมือนพวกควายแดงอย่างนั้นหรือ อย่าเอามาตรฐานของคุณมาเทียบกับคนอื่นสิ ถ้าทำผิด ก็ว่าผิด ให้เป็นไปตามกฎหมาย
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สรุปผลสอบความโปร่งใสโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ อุโมงค์ไฟ มูลค่า 39.5 ล้านบาท ที่ กทม.จัดขึ้นเมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ก่อนที่ คตง.จะมีมติชี้มูลความผิด ผู้ว่าฯ กทม.ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และผู้บริหารของ กทม.ที่เกี่ยวข้อง กับโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะมีหลักฐานชัดเจนของการฮั้วประมูล ซึ่งแกะรอยจากบริษัทเอกชน 3 ราย และหญิงสาว 4 คน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องติดตามได้จากรายงานชิ้นนี้ ผู้ว่าการ สตง. ไม่หวั่นผู้ว่าฯ กทม.ขู้ฟ้องกลับ ยืนยันพิจารณาตามหลักฐาน พร้อมพบความเชื่อมโยง 2 บริษัทเอกชนเป็นเครือญาติกัน นายพิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการ สตง.มองว่าเป็นสิทธิหากผู้ว่าฯ กทม.จะฟ้องกลับหลัง สตง.ชี้โครงการนี้ส่อเค้าฮั่วประมูล เพราะจากการตรวจสอบความเชื่อมโยง พบว่ามีบริษัทเอกชน 2 ราย ผู้ก่อตั้งบริษัทเป็นเครือญาติกัน มีผู้ทำบัญชีเดียวกัน และมีการมอบหมายให้ผู้ทำบัญชีไปเสนอให้ยื่นซอง รวมทั้งมีการมอบอำนาจให้ไปจดทะเบียนให้ตรงตาม tor ซึ่งเป็นน้องแท้ๆของผู้ทำบัญชีด้วย โดยใช้เวลาในการจดทะเบียนเพียง 1 วันเท่านั้น ด้าน ป.ป.ช. เตรียมนำข้อมูลจาก สตง.เข้าสู่ที่ประชุมกรรมการ ปปช.ในสัปดาห์หน้า ซึ่ง จะมีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนตามข้อกล่าวหา ว่า กรุงเทพมหานคร ดำเนินการผิดกฎหมายหรือมีการทุจริตหรือไม่ ซึ่งคดีนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริงอยู่แล้ว ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ยืนยัน ผู้ว่าฯ กทม.ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เพราะเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตของ สตง.จนกว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการถึงที่สุด ส่วนท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ รองหัวหน้าพรรค ยืนยันพรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับผู้ว่า กทม. ดังนั้นจึงเป็นดุลยพินิจของผู้ว่า กทม.เองในการตัดสินใจ พร้อมยอมรับอาจการทาบทาม นางนวลพรรณ ล่ำซำ ลงสมัครผู้ว่า กทม. ในนามพรรคประชาธิปัตย์แทน มรว.สุขุมพันธ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าฯ กทม. ยืนยันค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้า ถูกต้องตามระเบียบ และไม่เคยสั่งให้ใครทำผิดกฎหมาย ดังนั้นยังไม่ต้องลาออก หรือ ยุติการปฎิบัติหน้าที่ ผู้ว่าฯ กทม.ยืนยันโครงการอุโมงค์ไฟถูกต้อง โปร่งใสทุกขั้นตอน ระบุมติ สตง. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นยังไม่ชี้ใครผิดถูก เตรียมฟ้องกลับคนกล่าวหา ยืนยันไม่ลาออก หรือ ยุติปฏิบัติหน้าที่ ไม่สนอดีต ส.ส.พรรค ปชป.ขับไล่เพราะไม่ใช่มติพรรค เผยขอพักผ่อนหลังหมดวาระ มี.ค.ปี 60 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวภายหลังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง.มีมติให้ดำเนินการเอาผิด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พร้อมข้าราชการ รวม 9 คน กรณีโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Motif of Light) ของกรุงเทพมหานคร ว่า ต้องขอขอบคุณ สตง.และถือเป็นเรื่องดีที่ให้ความสำคัญในการดูแลการใช้จ่ายเงินภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ สิ่งที่ตนเองตอกย้ำตลอด 7 ปีที่ผ่านมา คือ กทม.ต้องทำงานโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบ ไม่เคยสั่งให้ใครทำผิดกฎหมาย ตนเองมีนโยบายในการสร้าง กทม.ให้เป็นมหานครแห่งความสุข ซึ่งในช่วงเวลาก่อนปีใหม่ได้เกิดปัญหาหลายด้าน รวมถึงเหตุการณ์ที่มีผลกระทบกับการท่องเที่ยว และ เศรษฐกิจของไทย ซึ่งสิ่งสำคัญ คือ หาวิธีส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างรายได้ให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย แต่งบประมาณที่ กทม.เสนอไป ถูกปรับลดลงจากกว่า 200 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ซึ่งก็เคารพในการตัดสินใจ แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ส่งเสริมการท่องเที่ยว และ ให้ประชาชนมีรายได้ จึงได้เกิดโครงการนี้ขึ้น ซึ่งอยากทำมาหลายปีแล้ว แต่บ้านเมืองเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ประกอบกับงบประมาณการท่องเที่ยวไม่เพียงพอ จึงใช้อำนาจในฐานะ ผู้ว่าฯกทม.ดำเนินการ ซึ่งมีประชาชนเข้ามาชมงานกว่า 1.7 ล้านคน การใช้จ่ายรวม 33 วัน จำนวน 10 ล้านบาท ทั้งนี้ ยืนยันว่าในเรื่องนโยบายไม่ได้เป็นครั้งแรก และ จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ กทม.ใช้งบส่งเสริมการท่องเที่ยว และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีรายได้ อย่างไรก็ตาม กทม.ยินดีให้ความร่วมมือกับ สตง.ตั้งแต่งานยังไม่จบ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า สตง. ขอเอกสารตั้งแต่เริ่มโครงการแต่ไม่เคยให้คำแนะนำใด ที่ผ่านมาตนเองให้ความร่วมมือกับ สตง.มาโดยตลอด โดยมอบหมายให้รองผู้ว่าฯ กทม. ไปชี้แจงแทนตาม พ.ร.บ.ระเบียบการบริหารงาน กทม.มาตรา 55 และ เห็นว่าจะใช้วิธีการนี้ในการตรวจสอบหน่วยงานอื่นด้วย ไม่ใช่ตรวจสอบเพียง กทม. พร้อมกันนี้ ยืนยันว่าโครงการดังกล่าวถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง และ เป็นเรื่องประหลาดที่ สตง.ใช้วิธีการนี้กับกทม. ตั้งแต่โครงการยังไม่แล้วเสร็จ แต่ตนเองก็ไม่มีอะไรปิดบัง และ พร้อมชี้แจงต่อไป ขณะเดียวกันเห็นว่ามติเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่จะต้องดำเนินการต่อไป ยังไม่มีใครผิดหรือถูก จึงยังไม่ต้องลาออก หรือ ยุติการปฎิบัติหน้าที่ ดังนั้น จากนี้ไปหากมีการนำเสนอว่าตนเองผิดจะไม่ไว้หน้าใคร จะฟ้องทันที เพราะฉะนั้นต้องเขียนอย่าระมัดระวัง ลำพังตนไม่เป็นไรแต่เป็นห่วงลูกน้อง ดังนั้น ขอความเป็นธรรมให้กับลูกน้องด้วย ส่วนอนาคตทางการเมืองหลังหมดวาระ ในเดือนมี.ค.ปี 60 จะยุติบทบาททางการเมือง และ ใช้เวลาพักผ่อน รวมถึงช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พร้อมยืนยันเป็นสมาชิคพรรคต่อไปเพราะยังไม่มีมติขับตนเองออกจากพรรค ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ขณะเดียวกันยังพูดติดตลกที่อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งม.44 ดำเนินการกับตนว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ นึกว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ชอบ ม.44 เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ศาลาว่าการ กทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงด่วน กรณีโครงการค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Motif of Light) กทม. หลังคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผู้ว่าฯ กทม. และข้าราชการ กทม. รวม 9 ราย มีส่วนร่วมในการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 ในโครงการดังกล่าว วงเงิน 39.5 ล้านบาท โดยจะดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำความผิดทั้งหมด
อดีต ส.ส.พรรคปชป.เรียกร้องนายกรัฐมนตรี ใช้ม.44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว จัดการกรณีโครงการอุโมงค์ไฟของ กทม.ให้เป็นตัวอย่าง พร้อมเรียกร้องให้ สตง.ตรวจสอบโครงการของ กทม.เพิ่มอีก 2 เรื่อง จากกรณีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ดำเนินการเอาผิดกับผู้ว่าฯ กทม.และ เจ้าหน้าที่อีก 8 คน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ และใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้ ได้เปิดแถลงข่าวเรียกร้องให้ สตง.ตรวจสอบข้อกล่าวหาเพิ่มอีก 2 เรื่อง คือ บริษัทที่ชนะการประมูลการจัดกิจกรรมของ กทม.ถึง 9 ครั้ง ทั้งที่เป็นเพียงบริษัทนำเที่ยว อีกทั้งยังพบว่ามีการขออจดทะเบียนเพิ่มวัตถุประสงค์ให้กับบริษัทเกิดขึ้นก่อนการประมูลไม่กี่วัน จึงเชื่อว่าการประกวดราคาของ กทม.ในทุกครั้งมีการฮั้วประมูลเกิดขึ้น นอกจากนี้ยัง เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช.ใช้มาตรา 44 เพื่อจัดการเรื่องดังกล่าวให้เป็นตัวอย่าง ส่วนข้อเรียกร้องที่ขอให้ผู้ว่าฯกทม.หยุดการปฏิบัติหน้าที่นั้น เบื้องต้น ได้ตรวจสอบจากบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแล้ว พบว่าการจะให้ผู้ว่าฯ กทม.หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนั้น ไม่สามารถทำได้เนื่องจากกฎหมายดังกล่าว ระบุไว้ในมาตรา 66 ผู้ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ ถ้าหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไว้เพียง 5 ตำแหน่ง เท่านั้น คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว.ข้าราชการการเมืองอื่นๆ ซึ่งตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ไม่ใช่ข้าราชการการเมืองอื่น แต่เป็นตำแหน่งเฉพาะ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ป.ป.ช. ส่วนการส่งมติดังกล่าวให้สำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อชี้มูลความผิด และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายนั้น ล่าสุด ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำเอกสารเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ ซึ่ง นายพิสิษฐ์ ลีลาวัชโรภาส ผู้ว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ยืนยันจะเร่งดำเนินการให้เสร็จ และ ส่งให้ ป.ป.ช.ภายในวันนี้ แต่ถ้าหากยังไม่เรียบร้อยจะส่งได้ภายในวันจันทร์หน้าอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ในส่วนของ กทม.ยังมีเรื่องร้องเรียนอีกหลายเรื่องทั้งในส่วนของการจัดซื้อเครื่องดนตรี เปียนโน และ การติดตั้งกล้อง cctv ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา ในการตรวจสอบ 4 พ.ค.59 --- สุขุมพันธุ์ เดือดขู่ฟ้องกลับใครกล่าวหาผิด โครงการไฟประดับ 39 ล้าน ยันใช้อำนาจกระตุ้นท่องเที่ยว-ศก. ซัดสตง.รีบสรุปสำนวนเอาผิดกทม. ไม่หวั่นปชป.ยุงัดม. 44 ฟันพ้นเก้าอี้ ผู้ว่า สตง.ยืนยันว่า สำนวนการตรวจสอบโครงการอุโมงค์ไฟ กทม.วงเงิน 39 ล้านบาท พร้อมที่จะส่งให้กับ ป.ป.ช.รวมถึงศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอ.ตช. พิจารณาได้ภายในวันอังคารนี้ โดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน บอกว่า สตง.ได้สรุปสำนวนการไต่สวน รวมถึงหลักฐานต่าง ๆ เสร็จหมดแล้ว และพร้อมที่จะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามขั้นตอน ในวันอังคารที่ 10 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเบื้องต้นจะส่งให้กับ 2 องค์กร คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอ.ตช. เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการต่อต้านการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาลที่ดีของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนจะดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ คณะกรรมการ ศอ.ตช.จะพิจารณา ส่วนเนื้อหาที่ สตง.สรุปไว้ในสำนวนการไต่สวน ทั้งหมดเป็นเรื่องของการพบข้อมูลพิรุธการจัดทำโครงการ ทั้งการนำงบฉุกเฉินมาใช้แทนงบปกติ บริษัทที่เข้าร่วมซื้อซองและประกวดราคาอย่างน้อย 3 บริษัท และไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน รวมไปถึงขั้นตอนการร่าง ทีโออาร์ ที่พบความผิดปกติ เพราะบริษัทที่ชนะการประกวดราคา มีการสั่งซื้อของจากต่างประเทศมาเตรียมไว้ก่อนจะมีการประกวดราคา ดังนั้นจึงน่าเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ และมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรา 44 เข้ามาดำเนินการตามที่หลายฝ่ายเรียกร้องหรือไม่นั้น นายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขานุการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ ศอ.ตช.บอกว่า จะต้องรอให้ สตง.ส่งข้อมูลรายละเอียดมาก่อน ถึงจะพิจารณาได้ว่าจำเป็นต้องใช้หรือไม่ องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับท่าที่ของพรรค ต่อผู้ว่าฯ กทม.หลังมีปัญหาการบริหารงานในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของกล้องซีซีทีวี การจัดซื้อเครื่องดนตรีให้โรงเรียนในสังกัด และการฮั้วประมูลไฟประดับ โดยที่ทางพรรคไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบการทำงานได้
ปชป.เตรียมยื่นสตง.สอบเพิ่มรองผู้ว่าฯกทม.2คน กรณีเกี่ยวข้องคดีทุจริตโครงการไฟประดับ วันนี้ (8พ.ค.59) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.กรุงเทพมหานาคร (กทม.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยว่า ในวันอังคารที่ 10 พ.ค.นี้ จะยื่นหนังสือถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อขอให้เพิ่มผู้ถูกกล่าวหาในคดีทุจริตโครงการไฟประดับตกแต่งซุ้ม อุโมงค์ของกทม. โดยจะขอให้สตง.สอบเพิ่มรองผู้ว่าฯกทม.2 คน คือ นายจุมพล สำเภาพล ในฐานะผู้ลงนามอนุมัติการเบิกใช้งบฉุกเฉิน และนายอมร กิจเชวงกุล ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองคนมีส่วนรู้เห็นกับโครงการนี้ และเชื่อว่าอาจมีการทุจริต พร้อม กันนี้จะยื่นเรื่องให้ สตง.ตรวจสอบเพิ่มอีก 2 โครงการ ที่เป็นการจัดจ้างบริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัด เพื่อมารับงานในโครงการจัดจ้างผลิตโฆษณา และโครงการจัดซื้อเครื่องดนตรีไทย เป็นเงินงบประมาณรวมกว่า 36 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองโครงการมีขั้นตอนและวิธีการความผิดคล้ายกับโครงการไฟประดับของกทม. นายวิลาศ กล่าวด้วยว่า จะยื่นเรื่องเพื่อขอให้สตง. ตรวจสอบ นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯที่ดูแลสำนักโยธาและสำนักรักษาความสะอาดเพิ่มเติม เนื่องจากพบการดำเนินโครงการจัดซื้อเครื่องสูบน้ำชนิดลากจูง ซึ่งจัดซื้อจากประเทศจีนและมีราคาสูงกว่าเครื่องที่จัดซื้อจากยุโรปกว่าเท่าตัว และโครงการจัดซื้อรถขัดพื้นถนนซึ่งซื้อมาแล้ว 20 คัน และกำลังจะจัดซื้อเพิ่มอีก 30 คัน คันละ 6 ล้านบาท ซึ่งไม่มีเหตุผลเพียงพอในการจัดซื้อ โฆษก กทม.วสันต์ มีวงษ์ แจงละเอียดปมเหตุไฟประดับ ทั้งความคุ้มค่า เหตุที่ต้องใช้งบฉุกเฉิน และกรณีที่ถูก คตง.ชี้ผู้ว่า กทม. และข้าราชการฮั้วประมูล อดีตส.ส.พรรคปชป.ยื่นหนังสือถึงสตง.เพื่อให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณของกทม.3เรื่อง วันนี้(10 พ.ค.59) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ขอให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของกรุงเทพมหานคร 3 เรื่อง ประกอบด้วย กรณีโครงการประดับตกแต่งไฟ งบประมาณ 39.5 ล้านบาท โดยเรียกร้องให้ตรวจสอบเพิ่มเติมกับนายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่ากทม.ที่ดูแลงบประมาณและเป็นผู้ลงนามใช้งบฉุกเฉินและนายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่ากทม.ที่เป็นผู้ออกมารับรองว่าโครงการนี้มีความโปร่งใส ทั้งนี้ พร้อมขอให้สตง.ตรวจสอบบริษัทคิวริโอ ทัวร์ แอนด์แทรเวล ที่ดำเนินโครงการดังกล่าวให้กับกทม. เนื่องจากมีการจดทะเบียนเพิ่มวัตถุประสงค์ในวันที่16 มิ.ย.2553 เพื่อรับงานอีเวนท์และงานโฆษณาให้กทม.จำนวน 9 ครั้ง ระหว่างปี 2553 - 2558 รวมเป็นเงินกว่า 36 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทคิวริโอ ยังรับจัดซื้อเครื่องดนตรีไทยงบประมาณกว่า 2,600,000 บาท โดยมีการจดทะเบียนเพิ่มเติมวัตถุประสงค์เพื่อขายเครื่องดนตรีไทยเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2558 ซึ่งกรณีดังกล่าวคล้ายกับโครงการไฟประดับลานคนเมือง ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่าบริษัทดังกล่าวเคยบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ 1,000,000 บาทนั้นนายวิลาศ ยืนยันว่าหากบริจาคเงินแต่กระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินการ โดยยังขอให้ตรวจสอบนายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่ากทม.กรณีการซื้อเครื่องจักรที่มีราคาแพงเกินจริงใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าและไม่มีเหตุผลในการจัดซื้อ ได้แก่เครื่องสูบน้ำชนิดลากจูง ราคาเครื่องละ900,000 บาท จำนวน200 เครื่อ และการจัดซื้อรถขัดพื้นคันละ 6,000,000 บาทมีการจัดซื้อไปแล้ว 20 คัน จากทั้งหมด 50 คันเหลืออีก 30 คัน ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ขณะที่นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ตรวจการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ระบุว่าจะดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมและให้ความเป็นทำกับทุกฝ่าย ส่วนสำนวนที่สตง.ได้ตรวจสอบและสรุปแล้วก่อนหน้านี้จะส่งให้ปปช.และศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติต่อไป
ด้วยงบประมาณแค่นี้ผู้ว่าท่านคงไม่เอา โดยคิดเทียบกับ ทรัพย์สินที่ท่านมี 600กว่าล้าน http://www.isranews.org/about-us/71-investigate/19728-ต้นทุน.html ดอกเบี้ย ค่าเช่าและปันผล ของท่านก็มากเกินพอแล้ว #ส่วนตัวคิดว่าลูกน้องเป็นพิษ...ซึ่งลูกน้องใกล้ชิดขนาดนี้คงปัดความรับผิดชอบไม่ได้
มาจาก ที่ปรึกษาของรองผู้ว่าฯ ที่อยู่เบื่องหลัง งานนี้รับเต็มๆ คือพลาดมาก รอฟังจาก คุณอรรถวิช น่าชัดเจนที่สุด
โครงการประดับไฟของกรุงเทพมหานคร หรือ กทม.ยังไม่จบ หลัง สตง.สรุปรายงานว่าพบการทุจริตฮั้วประมูลไปแล้ว ล่าสุด ป.ป.ช.ก็มีมติตั้งอนุไต่สวนรองผู้ว่าฯกับพวกรวม 14 ราย แต่ยังไม่รวม หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร ระบุจะส่งผลสอบสตง.ไปให้อนุกรรมการพิจารณาเพิ่มเติม พร้อมดำเนินการหากพบพาดพิงถึง นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการจัดจ้างการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ Motif of Light ของกรุงเทพมหานคร งบประมาณ 39.5 ล้านบาท ว่า จากการแสวงหาข้อเท็จจริงเบื้องต้น มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอต่อการไต่สวนข้อเท็จจริงใน 3 ประเด็น คือ 1.เรื่องใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายทั่วไปกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 40 ล้านบาทในการจัดทำโครงการนี้ ไม่มีการพิจารณาถึงความจำเป็นและเร่งด่วนอย่างแท้จริง 2.เรื่องกำหนดรายละเอียดขอบเขตงาน หรือ TOR และประมาณการค่าใช้จ่าย มีการดำเนินการก่อนที่จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนด TOR 3.เรื่องสมยอมราคา ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีบริษัทเอกชนเข้าข่ายสมยอมราคาจำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท จิปาถะ ไอเดีย จำกัด // บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัด // และบริษัท สรรค์สร้าง จำกัด ดังนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกับพวก รวม 14 ราย โดยมี นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน นายสรรเสริญ บอกด้วยว่า การพิจารณาของ ป.ป.ช.เป็นคนละส่วนกับของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. โดยในส่วนของ สตง. เพิ่งส่งหนังสือมาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการ หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้กระทำผิดด้วย ฉะนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะส่งข้อมูลของ สตง.ไปให้คณะอนุกรรมการที่ตั้งขึ้นพิจารณาต่อไปว่ามีมูลที่จะกล่าวหาเพิ่มเติมหรือไม่ ยืนยันว่าผลการตรวจสอบเบื้องต้นของ ป.ป.ช.และ สตง.ไม่ได้ขัดแย้งกัน ชงศาลฎีกาการเมือง ป.ป.ช.ลงดาบ “เด็กเยาวภา” ยื่นทรัพย์สินเท็จ นอกจากนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของ นายเกษม นิมมลรัตน์ กรณีพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ // ตำแหน่ง ส.ส. // และกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ รวม 6 กรณี โดย ป.ป.ช.มีมติว่า นายเกษม จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ จึงมีมติให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยให้ นายเกษม พ้นจากตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และห้ามมิให้นายเกษมดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี สำหรับ นายเกษม เป็นอดีต ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เคยลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ลงสมัคร ส.ส.แทน 13 พ.ค.| ข่าว 16.00 น. ป.ป.ช. มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงรองว่าผู้ราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก 14 คน หลังถูกกล่าวหาว่าเชื่อมโยงกับการทุจริตโครงการไฟประดับของกรุงเทพมหานคร
สตง.เตรียมตรวจสอบโครงการปรับปรุงห้องผู้บริหารกทม. ว่าส่อไม่สุจริตหรือเข้าข่ายฮั้วประมูลหรือไม่ กรุงเทพฯ 10 มิ.ย.-สภากรุงเทพมหานครเปิดเผยผลตรวจสอบโครงการปรับปรุงห้องผู้ว่าฯ และคณะผู้บริหารวงเงินกว่า 16 ล้านบาท เป็นการโยกงบระหว่างสำนัก ด้าน สตง.ส่งหนังสือถึงปลัดกรุงเทพมหานคร ขอเอกสารชี้แจงโดยเร็วที่สุด ผู้ว่าฯ สตง.ตั้งข้อสังเกตถึงเหตุผลกับการใช้งบกว่า 16 ล้านบาท ปรับปรุงห้องทำงานผู้บริหาร กทม.ที่ไม่สอดคล้องกัน โดยข้อมูลในเว็บไซต์สำนักการโยธา เผยตัวเลขราคากลางค่าครุภัณฑ์ที่น่าจับตา อาทิ ค่าโต๊ะอาหารกว่า 100,000 บาท เก้าอี้เท้าแขน 2 ตัว ตัวละกว่า 60,000 บาท ทีวีขนาด 75 นิ้ว พร้อมขาแขวน ราคากว่า 300,000 บาท ทำให้ต้องส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบร่องรอยการตกแต่ง ปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว และพบแบบแปลนของสำนักการโยธาไม่มีลายเซ็นกำกับของผู้ออกแบบ จึงสงสัยว่าเมื่อดำเนินโครงการแล้ว เหตุใด กทม.ไม่ส่งเอกสารจัดซื้อจัดจ้างให้ สตง. ล่าสุด สตง.ส่งหนังสือถึงปลัดกรุงเทพมหานคร ขอรายละเอียดโครงการ เพื่อไขความกระจ่างโดยเร็ว ขณะที่ประธานคณะกรรมการโยธาและผังเมือง สภา กทม.พบข้อมูลว่า สำนักงบประมาณ กทม.โอนงบปี 2559 ของสำนักการระบายน้ำ 2 รายการ จัดตั้งรายการจ่ายใหม่ ให้สำนักการโยธาไปปรับปรุงห้องผู้บริหาร กทม. ซึ่ง 21 มิถุนายนนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าชี้แจง คาดสรุปผลไม่เกินสิ้นเดือนนี้ ทั้ง 2 หน่วยงานที่มีอำนาจตรวจสอบ กทม.ตั้งข้อสังเกตตรงกันว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่เหลือเวลารับใช้คนกรุงเพียง 8 เดือน มีความเหมาะสมจำเป็นเพียงใด ที่ต้องปรับปรุงห้องทำงาน แม้ผลสรุปโครงการนี้อาจดำเนินงานได้ตามอำนาจของผู้ว่าฯ กทม. แต่ความโปร่งใสในการบริหารเงินที่ได้จากภาษีคนกรุง ยังคงเป็นข้อครหาที่ทำให้สังคมเคลือบแคลงใจ ตั้งคำถามถึงการใช้เงิน ที่ควรคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน.-สำนักข่าวไทย สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่ง ผอ.สำนักฯ บุกห้องทำงานผู้ว่าฯ กทม.ขอตรวจสอบความโปร่งใสโครงการปรับปรุงห้องผู้บริหาร กทม.มูลค่า 16.5 ล้านบาท การเข้าตรวจสอบครั้งนี้ เป็นเพราะโครงการดังกล่าวมีเอกชนเข้าไปทำห้อง ก่อนจะมีการประกวดราคาหาผู้รับเหมา สตง.จึงต้องการเข้าไปตรวจสอบ แต่ สตง.ระบุว่าได้ประสานกับทาง กทม.ไปแล้ว 2 ครั้งแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงส่งนายชัยวัฒน์ อนันตศานต์ ผอ.สำนักตรวจสอบการบริหารพัสดุและสืบสวนที่ 3 ไปที่ศาลาว่าการ กทม.ในวันนี้ ซึ่งครั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.อนุญาตให้ สตง. เข้าไปตรวจสอบได้ และพบว่าการซ่อมแซมเป็นไปตามแบบแปลนที่ส่งมาให้ สตง.แต่ยังต้องตรวจสอบว่า ทำไมถึงมีการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง และราคาวัสดุแพงเกินจริงหรือไม่ ซึ่งปลัด กทม.รับปากที่จะส่งส่งเอกสารทั้งหมดให้ สตง.ภายในวันพุธนี้ และยืนยันว่า โครงการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เพราะมีการอนุมัติช่วงปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์พักราชการ และสาเหตุที่ต้องปรับปรุงซ่อมแซม เพราะฝ้าห้องน้ำพัง และห้องนี้ไม่ได้ปรับปรุงใหม่มา 40 ปีแล้ว
ผลสอบโครงการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของ กทม.เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งใช้งบกว่า 39 ล้านบาทนั้น ล่าสุด ทาง สตง.สรุปผลสอบแล้ว พบว่า ไม่มีการปฏิบัติตามระเบียบของราชการ และเชื่อว่าใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เบื้องต้น นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน บอกว่า ได้ทำหนังสือแจ้งกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงและแจ้งความเอาผิดอาญากับผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องของ กทม.แล้ว เนื่องจากเป็นการทำให้เกิดความเสียหายแก่เงินและทรัพย์สินของแผ่นดิน ตาม ม. 44 และ 46 พ.ร.บ.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินและเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูล อย่างไรก็ตาม ปลัดกระทรวงมหาดไทย บอกว่า ตอนนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้ เนื่องจากข้อมูลของ สตง.ยังเป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ จะต้องตั้งกรรมตรวจสอบ ข้อเท็จจริงภายใน 90 วัน และหากพบว่าเข้าข่ายความผิดและเกี่ยวข้องกับส่วนใดก็มีระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ว
รมว.มหาดไทยแจงตั้งคณะกรรมการสอบผู้ว่าฯกทม.กรณีอุโมงค์ไฟประดับ39ล้าน ยืนยันมท.ไม่มีอำนาจปลดตำแหน่งใคร วันนี้ (12ก.ค.59) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งหนังสือมายังกระทรวงมหาดไทยว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้ตรวจสอบความไม่โปร่งใสโครงการค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ว่า สตง.ได้แจ้งมา 2-3 ข้อ ให้ตรวจสอบสวนตามข้อเท็จจริง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยกับเจ้าหน้าที่ เพื่อหาข้อเท็จจริง และให้แจ้งความดำเนินคดี ฟ้องแพ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯและส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่สตง.แจ้งมา อย่างไรก็ตาม มหาดไทยไม่มีหน้าที่ในการปลดตำแหน่งใคร ต้องให้มีข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและรอให้คดีเสร็จสิ้นก่อน ส่วนการดำเนินคดีเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.อ.อนุพงษ์ยืนยันเป็นไปตามกฎระเบียบที่สามารถดำเนินการได้ ผู้ว่า สตง. แนะ ผู้ว่า กทม. ดำเนินคดีตัวเอง คดีฮั้วประมูลอุโมงค์ไฟ ขณะที่นายกฯย้ำไม่ใช้ ม.44 ปลดผู้ว่า นายกรัฐมนตรี ยืนยันยังไม่ใช้มาตรา 44 ปลดผู้ว่าฯ กทม.ออกจากตำแหน่ง ตามที่ สตง.ตรวจพบทุจริตโครงการอุโมงค์ไฟ 39 ล้านบาท ระบุให้รอผลสอบสวนของกระทรวงมหาดไทย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงวถึงกรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ตรวจสอบพบการทุจริตโครงการประดับไฟส่งเสริมการท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ของ กทม.หรืออุโมงค์ไฟ มูลค่ากว่า 39 ล้านบาทว่า ว่าเรื่องนี้กระทรวงมหาดไทย อยู่ระหว่างการตรวจสอบจึงต้องรอผลการสอบสวนก่อน ซึ่งมีฏหมายหมายอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อมีการร้องเรียนก็มีหน่วยงานตรวจสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงยังไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ดำเนินการกับหม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ด้าน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวย้ำว่าได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และ สั่งการปลัดกระทรวง เป็นผู้ดำเนินการทางคดีกับผู้ว่าฯกทม.และ ผู้ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่อทุจริตอุโมงค์ไฟ 39 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ต้องให้แล้วเสร็จ แม้ว่าผู้ว่าฯกทม.จะหมดวาระในช่วงเดือนกันยายนนี้ เพราะกฎหมายยังมีผลบังคับใช้ แม้ว่าผู้กระทำผิดจะเกษียณอายุไปแล้ว พร้อมกันนี้ พลเอก อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงการทำงานของศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยการออกเสียงประชามติว่า ยังไม่มีการรายงานปัญหาสำคัญในการทำงานและย้ำว่า ศูนย์ดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามปกติเพื่อให้การทำประชามติเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยทำหน้าที่จัดทำรายชื่อ รวมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และสร้างความเข้าใจประชาชนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนกรณีที่กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ เตรียมจัดกิจกรรมรณรงค์ในทุกสัปดาห์นั้น มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่แล้ว ทั้งในส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ คสช. ผู้ว่าฯ กทม.รอผลตรวจสอบกรณีโครงการไฟฟ้าประดับตกแต่งที่ลานคนเมือง มูลค่า 39 ล้านบาทจาก ป.ป.ช.หลังกระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง สตง.ให้กทม.ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงค่าใช้จ่ายประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 39 ล้าน 5 แสนบาทโดยให้กรอบระยะเวลา 60 วัน
ป.ป.ช.เตรียมนำผลสอบสตง.กรณีทุจริตอุโมงค์ประดับไฟของกทม.39ล้านบาท ขยายผลเอาผิดผู้เกี่ยวข้อง วันนี้ (13ก.ค.59) นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการป.ป.ช. เตรียมนำผลสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งได้ชี้มูลความผิดม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมพวกคดีอุโมงค์ประดับไฟกทม. 39.5 ล้านบาท เข้าไปพิจารณาในสำนวนสอบสวนของอนุกรรมการป.ป.ช.ด้วย ก่อนหน้านี้คณะอนุกรรมการป.ป.ช.ได้รวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อพิจารณาว่ามีเจ้าหน้าที่จากกทม.รายใดบ้างที่เข้าข่ายความผิดตามข้อกล่าวหาและต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ ก่อนที่จะสรุปให้กับที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. รับทราบและจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป ด้านนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ชี้แจงขั้นตอนหลังจากสตง. ส่งหนังสือมายังกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับอุโมงค์ประดับไฟ มูลค่ากว่า 39.5 ล้านบาทของกรุงเทพมหานครทุจริต ว่า กระทรวงมหาดไทยไม่มีอำนาจแจ้งความเอาผิดผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและพวก มีหน้าที่เพียงแจ้งเรื่องไปยังกทม.เพื่อให้กทม.เป็นผู้แจ้งความเอาผิดภายใน 30 วัน และผู้ว่ากทม.ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติเพราะคดียังไม่สิ้นสุด ก่อนหน้านี้ สตง.ได้ชี้มูลความผิดม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กับข้าราชการในสังกัดกทม. และบริษัทเอกชน รวม 13 ราย มีพฤติการณ์เข้าข่ายเอื้อให้บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวล จำกัด ชนะการประมูลโครงการอุโมงค์ประดับไฟกทม.วงเงิน 39.5 ล้านบาท และส่งรายงานผลสอบให้กับป.ป.ช.และกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง