แถมยังเคยได้รับฉายาจากสื่อว่า "ไอเดียกระฉอก" … ทั้งนี้เพราะได้ใช้ให้อากู๋ ช่วยสืบหาประวัติ นายคนที่กล่าวเรื่องนี้เข้า ... ---------------------- ---------------------- ---------------------- ---------------------- ---------------------- ---------------------- ---------------------- ---------------------- ---------------------- ---------------------- แกเปรียบเทียบไว้ ได้เห็นภาพดีครับ... แต่… อยากให้แก ลองเปรียบเทียบชีวิตของแก สมัยที่ถูกปลดออกจาก ครม. หรือสมัยที่นังปู ไม่ได้ทำ 5 อะไรตามที่แกเคยมีไอเดียกระฉอก ดูบ้างว่า จะออกมาให้เห็นภาพยังไง... เพื่อนๆว่ายังไง กับที่แกกล่าวไว้ใน Quote เชิญได้ครับ... http://th.wikipedia.org/wiki/พิชัย_นริพทะพันธุ์
ความคิดนี้ ไม่ไปสอนอีปูตอนนั้นล่ะ ข้าวของแพง เศรษฐกิจตกต่ำ ขึ้นค่าแก๊ส ขึ้นราคาน้ำมัน มันซะเลย เศรษฐกิจมันเลยย่ำแย่มาจนถึงตอนนี้ แต่คนๆ นี้ เชื่อคำพูดอะไรไม่ได้เลย ตอนดีเบต กับคุณหมอวรงค์ ผมว่ามันไม่อายเลยนะ
ผมจำไม่ได้(อีกแล๊ะ) ว่า… มันเกิดอะไรขึ้น กับเหตุการณ์นี้ และ/หรือ ใครมีอำนาจจัดการเรื่องพวกนี้ ?… แถมยังทำให้ชาวบ้านร้านช่อง คนยากคนจน ต่างสมใจอยาก...
น่ารำคาญแทนนายก ช่วงนี้มีแต่ขี้แพ้ชวนตี กลัวดิว่าถ้าเขาทำได้ดีกว่า ยิ่งตอกย้ำว่าตัวเองห่วยและโกงกินแค่ไหน ที่พูดมานี้มีแต่คนรวย(ที่เห็นแก่ตัว) เท่านั้นแหละที่จะเคลียด
อ่านประวัติดู ก็จะรู้ว่าทำไมถึงว่าอย่างนั้น... และทำไมถึงได้ฉายาว่า "ไอเดียกระฉอก" แถมด้วย... -------------------------------- -------------------------------- -------------------------------- นายพิชัยได้เป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย โดยได้ทำการดีเบตระหว่างโครงการรับจำนาข้าวตันละ 15,000บาท กับโครงการรับประกันราคาช้าวกับนายวรงค์ เดชกิจวิกลม ผ่านรายการ"เจาะข่าวเด่น"ว่าการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเพื่อไทยนั้นอาจจะทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกสูงและเป็นไปได้ว่าจะขึ้นมากกว่าราคาจำนำ ด้วยวิธีการเข้าไปควบคุมการตลาด ช่วงหนึ่งของการดีเบตนายพิชัยได้กล่าวไว้ว่า หลักการของเพื่อไทยคือความเป็นไปได้ที่จะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น และเสนอให้ใช้ระบบไอทีในการควบคุมการจำนำข้าว เพื่อป้องกันการทุจริต โดยใช้เครดิตการ์ดเกษตรกรเป็นสมาร์ทการ์ด[4] แต่การดำเนินการดังกล่าวต้องแจกบัตรเครดิตเกษตรให้กับชาวนาหลายล้านคน ซึ่งต้องใช้เวลา [5] -------------------------------- -------------------------------- -------------------------------- http://th.wikipedia.org/wiki/พิชัย_นริพทะพันธุ์
ชื่อไม่ค่อยคุ้นเลย รัฐบาลปูนี่ รู้จักแต่ยิ่งลักษณ์, ชัชชาติ, สุรพงษ์, จารุพงศ์, กิตติรัตน์ แล้วก็ ณัฐวุฒิ ตัวแสบๆ ทั้งนั้นเลย ที่จำได้เพราะเรื่องเรื้อนๆ กากๆ ของคนพวกนี้
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจที่ปั่นกันมาตั้งแต่ต้นปีจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง แต่ถึงวาระสุดท้ายในปลายปี ก็ไปไม่รอด ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าที่โม้ๆ นั้น มันโกหกทั้งเพ เพราะล่าสุด “สภาพัฒน์” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ปั้นตัวเลขเอาใจรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัยได้ลดเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้เหลือเพียงแค่ 3% เท่านั้น จากที่คาดไว้เมื่อต้นปีว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.5-5.5% ขณะที่ตัวเลขส่งออกจากที่คุยโวจะโตถึง 11% กลับมีค่าเป็น 0% หรือไม่เติบโตขึ้นเลย หลอกกันต่อไปไม่ไหว ถึงเวลาเผาจริง เดือดร้อนกันจริง ไม่ใช่แค่รู้สึกไปเอง อย่างที่มีรัฐมนตรีปากไวบางคนปัดสวะไม่กล้ายอมรับความจริงว่า การบริหารประเทศของรัฐบาลนั้นไม่ได้เรื่อง ไม่สมราคาคุยโม้ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ว่าประชาชนจะอยู่ดีกินดี มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ในการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2556 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ บอกชัดๆ ว่า ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 3/2556 เติบโตเพียง 2.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 6 ไตรมาส แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.3% และคาดว่าไตรมาส 4/2556 จะเติบโตราว 1% กว่า เนื่องจากฐานที่สูงเกินปกติในไตรมาส 4/2555 สาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน มีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1)การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนลดลง ร้อยละ 1.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการซื้อสินค้าคงทนประเภทยานยนต์ลดลงมากจากฐานที่สูงในปีก่อนโดยเฉพาะการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ลดลงร้อยละ 24.8 ตามการลดลงของแรงส่งจากมาตรการรถยนต์คันแรก ขณะที่การบริโภคสินค้าในหมวดอื่นๆ ชะลอตัวลงตามรายได้ที่ลดลงจากราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ตกต่ำลง 2)การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนลดลง ร้อยละ 6.5 จากที่ขยายตัวร้อยละ 4.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาครัฐลดลงร้อยละ 16.2 ส่วนภาคเอกชน ลดลงร้อยละ 3.3% 3)การส่งออกต่ำกว่าคาดการณ์ โดยหดตัวลดลงร้อยละ 1.8 ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่หดตัวลงร้อยละ 1.9 เนื่องจากตลาดโลกยังอยู่ในภาวะซบเซา 4)ภาคเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 0.7 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้าเพราะการลดลงของผลผลิตสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด และกุ้งที่มีโรคระบาด 5)ภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 0.4 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 1.1 จากไตรมาสก่อน ตามการลดลงของอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการส่งออกและปริมาณการผลิตรถยนต์ที่สูงกว่าปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อน 6)ภาคก่อสร้าง ลดลงร้อยละ 2.2 ตามการลดลงของการก่อสร้างภาครัฐที่หดตัวร้อยละ 9.6 ขณะที่ภาคก่อสร้างของเอกชนขยายตัวร้อยละ 4.8 ภาคส่วนที่ขยายตัวดีขึ้น มีเพียงสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1 จากร้อยละ 14.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวน 6.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 มีรายรับประมาณ 3.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.7 โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวสูง 3 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน ลาว และมาเลเซีย สรุปรวม 9 เดือนแรกของปี 2556 ค่าใช้จ่ายของครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ 1.9 การลงทนรวม ขยายตัวร้อยละ 1.1 การส่งออกสินค้า มีมูลค่าส่งออกเท่ากับ 169,708 ดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.2 ขณะที่มูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทลดลงร้อยละ 2.4 ส่วนภาคเกษตร ขยายตัวร้อยละ 0.9 ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 1.1 ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 3.9 และสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ 14.7 ด้วยเหตุที่การขยายตัวแต่ละภาคส่วนดังกล่าวข้างต้นยกเว้นโรงแรมและภัตตาคารลดต่ำลง สภาพัฒน์ จึงปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2556 เหลือเพียง 3% ต่ำกว่าครั้งก่อนที่แถลงเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2556 ว่าจะขยายตัวในช่วง 3.8-4.3% เพราะการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์และปริมาณการผลิตรถยนต์ทั้งปีมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายการผลิตของภาคเอกชนซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 2.5 ล้านคัน รวมทั้งการดำเนินการตามแผนการลงทุนที่สำคัญของภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ สภาพัฒน์ ยังคาดการณ์มูลค่าการส่งออกในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐว่าจะไม่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน หรือมีอัตราการเติบโตเท่ากับ 0% ส่วนการบริโภคครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 0.9 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 2.4 และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ 0.9 ของ GDP อย่างไรก็ตาม นายอาคม ยังวาดฝันเอาใจรัฐบาลว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2557 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.0-5.0 โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก การดำเนินการตามแผนการลงทุนของภาครัฐทั้งการบริหารจัดการน้ำ และการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง รวมทั้งราคาน้ำมันและเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับต่ำ สำหรับมูลค่าส่งออก คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 7 การบริโภคครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 2.7 และ ร้อยละ 7.1 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ 2.1 - 3.1 และบัญชีเดินสะพัดขาดดุล ร้อยละ 0.6 ของ GDP การปรับลดจีดีพีทั้งปีนี้ของสภาพพัฒน์ฯ เหลือ 3% ถือเป็นการคาดการณ์ที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับหน่วยทางการอื่นๆ ที่ปรับลดลงก่อนหน้านี้ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) 3.7% กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) 3.1% ธนาคารโลก 4% และธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) 3.8% และล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดประมาณการจีดีพีปีนี้อยู่ที่ 3% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% ทันทีที่สิ้นเสียงเลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตหลุดเป้า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ออกมา “ตบกะโหลก” สภาพัฒน์ โทษฐานที่ไม่ปั้นตัวเลขเชลียร์รัฐบาล กลบเกลื่อนความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ โดยนายกิตติรัตน์ ทำไขสือไม่รู้ว่าตัวเลขสภาพัฒนาที่ประกาศออกมาเป็นอย่างไร แต่ถือว่าเป็นตัวเลขในอดีต ตอนนี้ต้องดูปัจจุบันและอนาคต ราวกับว่า นายกิตติรัตน์ จับไม้สั้นไม้ยาวมาเป็นรัฐมนตรีคลัง จึงทำเหมือนไม่รู้ว่าเขามีหลักเกณฑ์ มีตัวแปร คิดคำนวณตัวเลขชี้วัดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกันอย่างไร “ตอนนี้คนดูจีดีพีเขาดูข้ามช็อตไปหมดแล้ว เขาไม่มาดูอะไรย้อนหลัง ส่วนเศรษฐกิจจะชะลอตัวหรือไม่ ผมไม่รู้ แต่ผมเก็บภาษีได้เกินเป้า ส่วนภาษีศุลกากรที่เก็บได้ลดลงกลับเป็นเรื่องที่ดี คือนำเข้าน้อยลง ก็ทำให้ความเสี่ยงต่อการขาดดุลการค้า ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง” นายกิตติรัตน์ กล่าว สำหรับกรณีที่ สศช.เตรียมปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2556 ลงจากที่ประเมินว่าจะขยายตัว 3.8-4.3% นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นกับการที่ต้องมีอัตราการเจริญเติบโตเศรษฐกิจที่สูง เพราะไม่มีปัญหาเรื่องอัตราการว่างงาน แต่มีปัญหาขาดแคลนแรงงานมากกว่า การตอบโต้สภาพัฒน์ หน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่ประเมินตัวเลขเศรษฐกิจประเทศของนายกิตติรัตน์ ส่อแสดงให้เห็นรอยหยักในสมองของรัฐมนตรีคนนี้ และยังแสดงให้เห็นถึงการไม่ฟังใคร ถ้าหากพูดไม่ถูกใจ และวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในที แน่นอนว่า นายอาคม ไม่ลื่นไหลตอบสนองใบสั่งทางการเมืองได้ถึงอกถึงใจอย่างเช่นอดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ คนก่อนหน้านี้ คือ นายอำพล กิตติอำพน ที่ไต่เต้าจากเลขาธิการสภาพัฒน์ ไปเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และแซงโค้งแหกโผแบงก์ชาติขึ้นสู่ตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากการเสนอชื่อเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง นั่นเอง ไม่แน่ว่า ชะตาอนาคตของนายอาคม จะซ้ำรอยกับนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ที่มีข่าวแว่วว่าจะถูกเตะโด่งไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงคลัง โทษฐานที่ออกมาเปิดเผยตัวเลขความอัปยศของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจนทำให้นายกิตติรัตน์ ออกอาการหัวเสีย ขู่จะย้ายนางสาวสุภา ไปให้พ้นวงโคจรโครงการรับจำนำข้าวหลายครั้ง และสุดท้ายก็ทำสำเร็จด้วยการย้าย นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ไปเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. เป็นผลให้นางสาวสุภา ต้องหลุดจากประธานโครงการปิดบัญชีรับจำนำข้าว เพราะปลัดคลังคนใหม่ คือ นาย รังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ เป็นคนเข้ามาดูแลเรื่องนี้เอง แต่ไม่ว่า รัฐบาลหรือนายกิตติรัตน์ จะฟาดงวงฟาดงาอย่างไรก็ตาม ความจริงมันฟ้องชัดๆ ว่า รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ กำลังนำพาประชาชนคนไทยทั้งประเทศดิ่งนรก เพราะความไร้ฝีมือ ผิดพลาด ที่กลบเกลื่อนอย่างไรก็ไม่มิดนั่นเอง ที่มา http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000145484
ทำไมช่วงนี้ อดีต รอมอตวย ขี้ข้าไอ้เหลี่ยมที่มีผลการทำงานชนิดกาก สวะ สถุน ถึงออกมาพล่ามวันละตัว - 2 ตัว ไม่ว่าจะเป็นไอ้ปึ้งกัปปะ ไอ้จาตุรวยอับแสง ไอ้อัลไซเมอร์ ล่าสุดก็ไอ้หอกนี่ อยากรู้ว่าเวลามันให้สัมภาษณ์สื่อ มันไม่อาย พฤติกรรมในอดีตของตัวเองเลยหรือไงนะ