Vladimir Putin Attends 11th Annual Valdai Discussion Club น่าเสียดายว่าไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าระบบความมั่นคงในปัจจุบันไม่ว่าในระดับโลกหรือระดับภูมิภาค จะสามารถปกป้องเราจากการถูกแทรกแซงได้ ระบบที่เรามีอยู่นั้น อ่อนแอ แตกสลายและบิดเบี้ยวไปหมด สถาบันความร่วมมือทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในระดับนานาชาติและระดับท้องถิ่นกำลังเผชิญช่วงที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ดูเหมือนพวกที่เราเรียกว่า "ผู้ชนะ" ในสงครามเย็น มีความกระเหี้ยนกระหือรืออย่างยิ่งที่จะกินรวบทั้งหมดและมุ่งมั่นอย่างมากที่จะเปลี่ยนแปลงโลกเพื่อให้สมประโยชน์ของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว ระบบในปัจจุบันของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ และระบบการถ่วงดุลจึงไร้ประโยชน์ หมดอายุและพร้อมที่จะล่มสลายได้ทุกเมื่อ สงครามเย็นจบไปแล้ว แต่มันไม่ได้จบลงด้วยสันติภาพ และมันก็ไม่ได้จบลงด้วยข้อตกลงที่ชัดเจนที่โปร่งใสสำหรับกฎและมาตรฐานใหม่ [สำหรับประเทศต่างๆ ในโลก] สิ่งที่เรียกว่า "อธิปไตยของชาติ" นี้ ถูกจำกัดความโดยหลาย ๆ ประเทศว่าเป็นสิ่งไม่สัมบูรณ์ ดูเหมือนว่าจะมีสูตรที่ประเทศเหล่านี้ใช้กันอยู่คือ ระบบระบอบใดจงรักภักดีต่อ "ศูนย์กลางอำนาจโลก" มากเท่าไหร่ คำว่า "อธิปไตย" ก็จะมีความหมายมากขึ้นเท่านั้น ในโลกที่ถูกครอบงำโดยหนึ่งประเทศและกลุ่มของประเทศลิ่วล้อ กระบวนการที่เรียกว่า "การตัดสินใจในระดับโลก" มักจะถูกจัดแจงแต่งเติมด้วยรูปแบบของพวกเดียวกันนี้ และผลักดันออกมาภายใต้หน้ากากที่ชื่อว่า "ข้อเสนอสากล" พวกที่ว่านี้ ที่จริงกลายเป็นพวกที่ทะเยอทะยานมากเสียจนกลายเป็นว่าข้อเสนอในทางออกอะไรก็ตามที่มาจากพวกนี้ในปัจจุบันจะถูกเสนอออกมาโดยบอกว่าเป็นการตัดสินใจของ "สังคมโลก" มาตรการสำหรับพวก "กบฏ" นั้นเป็นที่รู้ดีและถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นคือการใช้กำลัง ใช้การกดดันทางเศรษฐกิจ การกดดันโดยใช้โฆษณาชวนเชื่อ และการแทรกแซงกิจการภายใน (ปูตินแถม) จะว่าไป ผมก็ยังแปลกใจเหมือนกันว่าเพื่อน ๆ ชาติตะวันตกของเราทำไมถึงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อก่อนก็สนับสนุนพวกอิสลามหัวรุนแรงที่เคยสู้รบในอัฟกานิสถานให้มาสู้กับสหภาพโซเวียต และตาลิบัน กับ อัล-เคดา ก็มีที่มาจากพวกหัวรุนแรงเหล่านี้นั่นแหละ ------------------- สงครามเย็นจบแล้ว แต่สงครามโฆษณาชวนเชื่อยังไม่จบ เมื่อ "ผู้ชนะ" คิดจะยึดครองโลกเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง มันคงไม่ง่ายนัก โชคดีที่ "ผู้ชนะ" คนนี้ไม่ค่อยฉลาดนัก เลยยิงปืนใส่เท้าตัวเองตลอดเวลา คงไม่ต้องถามว่า "ผู้ชนะ" คนนี้ หมายถึงประเทศไหน จะว่าไปจริง ๆ พวกเดียวกันนี้ก็มีบางอย่างคล้ายกัน คือชอบอ้างความเป็นสากล ชอบบอกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของความคิดนานาอารยประเทศ แล้วก็คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลนะครับ
อย่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เราถูกสอนให้มองฮิตเลอร์เลวร้ายสุดขั้วจนลืมความเลวร้ายของอังกฤษเองที่เอาพลเรือนไปเป็นเหยื่อล่อของสงคราม จนลืมความเลวร้ายของระเบิดนิวเคลียร์ที่นำไปทดลองกับคนญี่ปุ่นถึงสองลูก และถูกสอนให้มองว่าเชลยสงครามของญี่ปุ่นถูกกระทำอย่างทารุณ จนลืมไปว่า อเมริกาเองยืนปืนไฟใส่ทหารญี่ปุ่นทั้งเป็นลงไปในที่ซ่อนของญี่ปุ่น ทั้งๆที่สงครามมันเกิดความโหดร้ายขึ้นทั้งสองฝ่ายพอๆกัน
เมื่อก่อนผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่ในยุคของข้อมูลข่าวสาร คำกล่าวนี้ก็เริ่มจะใช้ไม่ได้ ดังนั้นบัลลังก์ของ "ศูนย์กลางอำนาจโลก" จึงเริ่มสั่นคลอนมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่าเพิ่งนิยมชอบใครไปก่อนนะครับ ถ้าย้อนไปร้อยกว่าปีนู้น คนไทยก็นิยมชมชอบเยอรมันกันมาก เพราะเป็นฝ่ายอำนาจที่อยู่คนละขั้วกับ อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่มีอำนาจในภูมิภาคนี้ แต่เดชบุญล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ตัดสินใจได้ถูกต้อง เรื่องจึงจบลงด้วยดี อีกสามสิบปีต่อมา ก็นิยมชมชอบญี่ปุ่นกันมาก เหตุผลเดิมจากสามสิบที่แล้ว แต่ไม่ช้ามหามิตร ก็แสดงตัวว่าเป็นมหาโจร หลังจากนั้น ก็มานิยมชมชอบอเมริกัน เหตุเพราะช่วยเราไว้จากมหามิตรคนก่อน ภายหลังอีกสามสิบต่อมา เราเกิดหลงเชื่อคำหวาน บอกว่าโดมิโน่จะเกิดแน่ ชักชวนไปทำสงครามข้างบ้าน พอสงครามไม่ได้ดั่งใจ เขาก็เปิดแนบ ทิ้งไว้ปัญหาไว้ให้เราหลายร้อยตัน และต่อจากนั้นอีกไม่นาน คนไทยก็นิยมชมชอบจีนแผ่นดินใหญ่อีก เหตุผลเพราะดูจะเป็นมิตรที่จริงใจกันเราเหลือเกิน ตอนนี้ล่วงเข้าไปสี่สิบปีแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะหมู่หรือจ่า จากประสบการณ์หลายๆครั้งที่ผ่านมา ถ้าประเทศไทยเป็นสาวๆ คงต้องร้องไห้ตามบวมกันแน่ๆ
(สิ่งที่เรียกว่า "อธิปไตยของชาติ" นี้ ถูกจำกัดความโดยหลาย ๆ ประเทศว่าเป็นสิ่งไม่สัมบูรณ์ ดูเหมือนว่าจะมีสูตรที่ประเทศเหล่านี้ใช้กันอยู่คือ ระบบระบอบใดจงรักภักดีต่อ "ศูนย์กลางอำนาจโลก" มากเท่าไหร่ คำว่า "อธิปไตย" ก็จะมีความหมายมากขึ้นเท่านั้น )ชอบประโยคนี้ครับ เห็นภาพชัดเจนอย่างเช่น ซาอุดิอาระเบีย โอมาน กาตาร์ประเทศกลุ่มนี้ ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เห็น อเมริกาว่าอะไร ทีรัสเซีย กับ จีน นี่ discradit ทุกวิถีทาง ปล.ในความเห็นผมจะระบอปการปกครองอะไรก็แล้วแต่ ถ้าผู้นำมีความสามารถและมีคุณธรรม ย่อมสามารถนำความเจริญ มาสู่ประเทศชาติได้อย่างแน่นอน
ถ้าปัจจุบันผมชอบเยอรมันที่สุด แม้ประเทศจะอยู่ห่างไกลแต่ความช่วยเหลือหลายอย่างมันไม่แอบแฝงเท่าอเมริกาหรือจีน. ชอบอันดับสองคือญี่ปุ่นเพราะมีมารยาทมองเราเป็นเพื่อนจริงๆ ส่วนจีนก็ชอบพอประมาณแต่ก็มีไม่ชอบตรงถ้าไปขัดใจจีนๆพร้อมจะฟาดงวงฟาดงาใส่เมื่อไหร่ก็ได้ อย่างกรณีการปิดเปิดเขือนในจีนที่มีผลต่อแม่น้ำโขง ถ้าจีนมีน้ำใจจริงๆจะไม่ทำอะไรแบบแล้งน้ำใจอย่างที่เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ หรือเมื่อ2-3 ปีก่อนทีีมีการฆาตกรรมบนเรือขนสินค้าจีน จีนถึงกับปิดน้ำจนแม่น้ำโขงแห้งเพื่อบีบเราให้หาฆ่าตกร เหตุการ์ณนี้มันทำให้ผมมองจีนเปลี่ยนไปเลยจริงๆ
ก็เพราะว่าประวัติศาสตร์ ข่าวสารต่างๆ ถูกเขียนขึ้นโดยชาติตะวันตกผู้ชนะสงครามฝ่ายเดียวไงคะ เราก็เลยไม่เห็นอีกด้านหนึ่งของสงครามที่ผู้ชนะกระทำกับผู้แพ้ ยกเว้นระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา แต่จะมีใครซักกี่คนที่ลุกขึ้นมาประณามอเมริกาในเมื่ออเมริกาเป็นผู้เผด็จศึก ยุติสงครามได้ โชคดีที่ทุกวันนี้มีโซเชียล แต่ก็ยังต้องฟังหูไว้หู เพราะทุกฝ่ายต่างก็เลือกพูดเฉพาะที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเอง ขนาดอิสราเอลยิงปาเลสไตน์ฝ่ายเดียว ยังไม่เห็นมีชาติไหนกล้าขึ้นเสียงกับอิสราเอลจริงๆจังๆเลยค่ะ มีพูดถึงเยอะหน่อยก็แค่ในโลกไซเบอร์เท่านั้นเอง แล้วมันก็ตกไปตามวันเวลาที่มีเรื่องอื่นให้พูดถึงเยอะกว่า เช่น อีโบล่า
ขอเอาวาทะเด็ดๆของผมมาลงหน่อย ใช้หากินมาได้พักนึงแล้ว ... ... มันไม่มีหรอกครับ ลัทธิระบอบการเมืองการปกครองที่ดีที่สุดในโลก ลัทธิการเมืองการปกครองใดๆที่ว่ากันว่าดี มันก็แค่ดีต่อระบบสังคมหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าลัทธิระบอบการเมืองการปกครองก็คือ... 1.คุณธรรม 2.ความซื่อสัตย์ สุจริต 3.ความกล้าหาญ 4.ความเสียสละ 5.ความเป็นผู้มีสติปัญญา .... ของผู้ที่จะมาทำหน้าที่ปกครอง ลัทธิระบอบการเมืองการปกครองแบบใดๆไม่ว่าจะเรียกว่าประชาธิปไตย-คอมมิวนิสท์-เผด็จการ ฯลฯ หากว่าลัทธิการเมืองการปกครองใดๆเหล่านี้จะไม่สามารถผลิตผู้ทำหน้าที่ปกครองที่มีคุณสมบัติครบถ้วน 5 ประการนั้นได้อย่างสืบเนื่อง ลัทธิการเมืองการปกครองนั้นๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นลัทธิการเมืองการปกครองหมาเช็ดแม่ทั้งสิ้น แหม่.. ชื่นใจจัง นานๆมาโพสท์ที.. อิอิอิ
สิ่งที่คุณพูดมาอาจจะใช่ในบางส่วน ในบางแง่มุมสิ่งที่คุณบอกว่าเราชื่นชอบโน่น นี่ นั่น ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงฉากหน้าของการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศ ของผู้ปกครองประเทศเราทุกยุคทุกสมัย นโยบายต่างประเทศของทุกรัฐบาลในโลกนี้ มันไม่มีรัฐบาลไหนในโลกแม้แต่รัฐหรือประเทศเดียวในโลกที่ดำเนินอย่างขาวบริสุทธิ์ หรือขับเคลื่อนอย่างดำสนิท ไปหาดูได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสีเทาที่ค่อนข้างขาวหรือ สีเทาที่ค่อนข้างดำ แต่มีสองสิ่งที่เหมือนกันทุกประเทศในโลกนี้ก็คือการเอาตัวรอดจาก ภัยคุกคาม และการแสวงหาผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ฉะนั้นการที่มาบอกว่าเรา ชื่นชอบชาติไหนเป็นพิเศษ มันไม่ใช่ประเด็น แต่มันอยู่ที่เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร กับเราจะแสวงหาผลประโยชน์ของชาติ เพื่อความมั่นคงและความผาสุกของคนในชาติ ได้อย่างไรต่างหาก ในปัจจุบันที่คนไทยส่วนใหญ่มีความรู้สึกที่ดีกับจีนเหตุเพราะความ เชื่อมโยงเกี่ยวพันทางด้านเชื้อชาติ ซึ่งผมก็คนหนึ่งละที่มีบิดาเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ประกอบกับระบอบวัฒนธรรม วิถีชีวิตที่สอดคล้องกัน มันก็เลยทำให้เราไม่รู้สึกแปลกแยก ไปจากคนจีน อีกอย่างในอดีตเมื่อ 200 กว่าปีก่อนหน้านี้ เราเคยมีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านผู้นั้น เป็นลูกคนจีนที่อพยพมาอยู่ในไทยประกอบอาชีพเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยชื่อว่า ไหฮอง แซ่แต้ ท่านผู้นี้ได้กอบกู้เอกราชจากพม่าโดยใช้เวลาเพียง 7 เดือนเท่านั้น โดยทหาร ที่ร่วมรบกับท่านส่วนหนึ่งก็เป็นลูกหลานชาวจีน ไม่ต้องบอกว่าท่านคือใคร เห็นหรือยังว่า ไทยกับจีน ยังไงๆ ก็ยังลึกซึ้ง แนบแน่นกันเสมอ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต.....