วันนี้( 8 มิ.ย.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่าการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกมากล่าวหาว่ารัฐบาลก่อนทำไมไม่รู้จักไปขอจดทะเบียนเพื่อให้โขนของไทยได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับองค์กร UNESCO นั้น ก็ต้องขอให้ท่านได้เข้าใจว่างานการขึ้นทะเบียนในเรื่องต่างๆ เป็นงานด้านธุรการที่ฝ่ายข้าราชการประจำในแต่ละกระทรวงควรจะต้องติดตามและดำเนินการ และพล.อ.ประยุทธ์ ก็ทราบอยู่แล้วว่ารัฐบาลกัมพูชา ก็เพิ่งจะไปขอขึ้นทะเบียนการแสดงโขนของเขาให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมกับUNESCO เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆนี้เอง และถ้ารัฐบาลของท่าน โดยเฉพาะครม. ประยุทธ์1 ตั้งใจทำงานและบริหารงานเป็น ก็น่าจะรู้ว่าทางกัมพูชาเขานำโขนของเขาไปยื่นขอจดทะเบียนกับUNESCO ทั้งๆที่ก็มีข้าราชการในสถานทูตไทยในกัมพูชาทำงานกันอยู่ประจำก็ควรจะรู้ถึงการเคลื่อนไหวในเรื่องต่างๆของกัมพูชาได้ไม่ยาก "ท่านนายกฯประยุทธ์ต้องรู้จักหันกลับมามองการบริหารงานของตัวท่านเองบ้าง ไม่ใช่ท่านรำไม่ดีแล้วชอบโทษปี่โทษกลอง ก็ต้องถามกันตรงๆ ว่าสรุปแล้ว 2 ปีที่ผ่านมาท่านคิดเองทำเองเป็นบ้างไหม เพราะเห็นทุกเรื่องที่ท่านทำก็ล้วนแต่เอาสิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ คิดเอาไว้ก่อนแล้วท่านก็นำขึ้นมาปัดฝุ่นทำใหม่แทบทั้งสิ้น และกรณีเรื่องการขึ้นทะเบียนโขนนี้ ท่านควรจะกลับไปตำหนิรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมที่ท่านแต่งตั้งมากับมือท่านเองและควรถามท่านรัฐมนตรีของท่าน ว่าทำงานเป็นหรือเปล่าด้วย นี่ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่ถูกพวกท่านยึดอำนาจไปเสียก่อนก็รับรองได้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และก็ไม่อยากเห็นท่านนายกฯ ใช้อารมณ์ในการยืนให้สัมภาษณ์สื่อเหมือนเช่น 2 วันที่ผ่านมา เพราะดูไม่งามเลย"นายสุรพงษ์กล่าว. http://www.thaipost.net/?q=ปึ้งอัดบิ๊กตู่ปล่อยเขมรขึ้นทะเบียนโขน-โวรัฐบาลปูจะไม่เป็นแบบนี้ ....................................................................................... งานนี้โทษข้าราชการประจำอีกตามเคยเหมือนกับกรณีพาสปอร์ตทักษิณเลย แถมยังความจำสั้นอ้างว่า ถ้าไม่ถูกยึดอำนาจก่อนจะไม่เป็นอย่างนี้ ถูกยึดอำนาจขณะเป็นรัฐบาลรักษาการเพราะเหตุยุบสภาหนีความผิดจาก พรบ.นิรโทษ พรบ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งพรรคเพื่อไทยทำตัวเอง ในขณะที่เสียงประชาชนต่อต้านมากมายแต่ไม่สนใจสุดท้ายประเทศชาติถึงทางตันไม่สามารถเดินต่อไปได้ และทำให้ทหารจำเป็นต้องเข้ามา หากไม่มีการลักหลับประชาชนลงมติตอนตี 4 จะมีวันนี้ไหม
จะเอาอะไรกับคนที่บอกไม่ให้คนไทยเรียกกัมพูชา ว่าเขมรเล่า มันเขมรเคารพยิ่งบรรพบุรุษขนาดนี้ เคารพยิ่งกว่าคนไทยด้วยซะอีก คนพันธุ์นี้ จะพูดเรื่องรักษาผลประโยชน์ของประเทศได้อย่างไรกัน
อ้าว ยังงี้ก็เหมือนปึ้งด่าเขมรว่าโกงเหมือนนายพลตัดแปะนะซิ เอาละซิ ดูถูกคนไทย ด่าคนเขมร ทีนี้จะเหลืออะไร
จริงของไอ้ปึ้งมัน ถ้ามันและนังปูกี้ยังอยู่ เขมรไม่มีวันมีโอกาสไปขึ้นทะเบียนว่าโขนเป็นของเขมร เพราะมันจะชิงไปจดทะเบียนว่าโขนเป็นของเขมรก่อน
แกฟังที่นายกพูดไม่เข้าใจหรือเปล่า เพราะที่นายกบอกว่ารัฐบาลก่อน ไม่ไปจดทะเบียนนั้น หมายถึงจดทะเบียนเป็นสมาชิกกับเขา เพราะตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นสมาชิกของเขาเลย เอาอะไรไปขอขึ้นทะเบียนเขาก็ไม่รับหรอก ส่วนเขมรนั้นเขาจดทะเบียนเป็นสมาชิกไปแล้วเขาถึงไปขอขึ้นทะเบียนโขน แบบนี้ไม่โทษรัฐบาลก่อนแล้วจะไปโทษรัฐบาลไหนกันล่ะ ตอนนี้เราก็ขอสมัครเป็นสมาชิกไปแล้ว ถ้าเขารับเรียบร้อย เราก็คงเอาของเราไปขึ้นทะเบียนนั่นแหละ เห็นกระทรวงวัฒนธรรมบอกมีหลายเรื่องที่จะนำไปขึ้นทะเบียนรวมทั้งโขนด้วย
ตอนเขาพระวิหาร พูดเหมือนจะประเคนให้ฮวยเซ็งอยู่แล้ว ตอนมีปัญหากะฑูตมะกันก็กลัวเขาแซงชั่นอดดูหนัง โถคนแบบนี้เรียกข....
อ่านหาเรื่อง(เอาความ)..............!!! เล็ก เจ้าเก่า "โขนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ล้วนมีรากเหง้าเดียวกันครับ คือ ละครหน้ากากที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูในยุคสมัยนั้น นานเกือบพันปีวิวัฒนาการตามกาล ของเรา-ของเขา...สุดท้ายแล้ว ถ้าเป็นมรดกโลก-ก็ของมนุษย์โลกทุกคนแหละครับ(ถ้าคุณไม่ได้มาจากดาวอังคาร-หรือเกิดบนทางช้างเผือกอันไกลโพ้น) Pat Hemasuk https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn....=c4b50ab5717e2af4fc60560a384b534f&oe=580EC12E "วินาศกาเล วิปริตพุทธิ : เมื่อถึงคราววินาศ ปัญญาย่อมวิปลาสไป" วันนี้ผมไม่เขียนเรื่องของศาสนาหรอกครับ ผมอยากเขียนเรื่องโขนและนาฏศิลป์ของเขมรที่กำลังร้อนอยู่ในเวลานี้ เพราะเมื่อไรที่ปัญญาหมดไปความวินาศก็เกิดขึ้นไม่ต่างกับเวลานี้ที่คนเขมรโดนปั่นหัวให้เกลียดชังคนไทย และในเวลาเดียวกันที่คนไทยก็เกิดหมั่นใส้คนเขมรที่ไม่มองย้อนหลังไปเพียงสามสิบกว่าปีที่เขมรไม่เหลือแม้แต่ครูสอนรำเมื่อครั้งเขมรแดงจับฆ่าครูนาฏศิลป์ราชสำนักเกือบหมดในยุคคิลลิ่งฟิล นั่งคือครั้งหลังสุดที่ไทยเรายื่นมือเข้าไปช่วยฟื้นฟูนาฏศิลป์ในเขมร จะบอกว่าเจ้าหญิงบุบผาเทวี พระธิดาของเจ้านโรดมสีหนุนั้นเป็นผู้อุปถัมภ์นาฏศิลป์เขมรให้กลับมาก็ว่าได้ แต่ครูฝึกสอนส่วนหนึ่งนั้นมาจากฝั่งไทยมิใช่น้อย ไม่ใช่เจ้าหญิงบุบผาเทวี ตบมือสามทีแล้วจะเกิดนาฏศิลป์เขมรขึ้นมาใหม่จากครูสอนนาฏศิลป์ที่รอดตายในยุคเฮงสัมรินในทันทีเสียเมื่อไรกัน สำหรับผมเองนั้นผมให้เครดิตกับสมเด็จพระมหากษัตริยานีกุสุมะนารีรัตน์ พระราชมารดาของเจ้าสีหนุ หรือยายของเจ้าหญิงบุบผาเทวีต่างหากที่ถือว่าเป็นองค์อุปถัมป์ที่ยิ่งใหญ่ของนาฏศิลป์เขมรในยุคใหม่ที่สร้างคนที่เป็นครูนาฏศิลป์เขมรจนเหลือรอดถึงถึงยุคหลานเจ้าหญิงบุบผาเทวี. จะบอกว่าสยามหรือเขมรใครกันแน่คือต้นทางของนาฏศิลป์ คงพอฟันธงได้ว่าต้นทางของนาฏศิลป์ไทยในราชสำนักกรุงศรีอยุธยานั้นมาจากขอมตั้งแต่ครั้งที่อยุธยาไปตีขอมพระนครแตกแล้วกวาดต้อนผู้คนมาตั้งแต่ยุคสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เราใช้คำว่า "รำ" ตามภาษาเขมรแทนคำว่า "ฟ้อน" ที่เราใช้ในภาษาไทยกันมาตั้งแต่ยุคสุโขทัย หลักฐานที่มีคือรูปสลักของอัปสราฟ้อนรำนั้นมีในรูปสลักหินมานานนักหนาก่อนสถาปนากรุงสุโขทัยเสียอีก ดังนั้นนาฏศิลป์ในราชสำนักนั้นคงปฎิเสธไม่ได้ว่าเราเอามาจากเขมร และรวมถึงลัทธิไศเลนทร์หรือ เทวราชาของขอมนั้นก็เข้ามาเจริญในกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ยุคหลังจากนั้น ซึ่งไม่เคยมีแบบอย่างของเทวราชามาก่อนในยุคกรุงสุโขทัยหรือก่อนหน้านั้นแม้ในยุคอู่ทองก็ตาม จะบอกว่าเรารับเต็มๆ มาจากราชสำนักขอมก็ว่าได้ แต่หลักฐานของแต่โขนนั้นเก่าแก่กว่านั้นมากมาย เพราะอุษาอาคเนย์นั้นได้รับอิธิพลมาจากอินเดียใต้ตั้งแต่ครั้งอาณาจักรพระนครของขอมยังรุ่งเรืองและอาณาจักรศรีวิชัยเจริญเต็มที่ จะบอกว่าใครก่อนใครคงไม่ได้เพราะอาณาจักรสิบสองนักกษัตริย์ของศรีวิชัยที่กินพื้นที่ไปถึงอินโดนีเซียเมื่อครั้งยังเป็นพุทธนั้น เก่าแก่ไม่น้อยกว่าอาณาจักรพระนคร ดังนั้นโขนจึงเป็นสิ่งที่บอกไม่ได้เลยว่าใครมีก่อนใคร เพราะการแสดงรามายณะนั้นมีมาพร้อมกับวัฒนธรรมอินเดียที่เข้ามาในภูมิภาคแห่งนี้. แต่เดี๋ยวก่อน !!!! เขมรสมัยนั้นกับเขมรสมัยนี้นั่นต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกว่าเขมรเวลานี้กับเขมรในเวลานั้นคนละเชื้อพันธุ์กันก็พอจะพูดได้ เพราะเวลานั้นมีแต่ขอม ไม่ใช่เขมรเวลานี้ เรากวาดต้อนขอมมาอยู่กรุงศรีอยุธยาเสียหมดเมือง หมดจนกระทั่งนครวัดและนครธมกลายเป็นเมืองร้างไปหลายร้อยปี เขมรที่อยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่ขอมที่สร้างอาณาจักรพระนครที่สืบเชื้อสายจากเจนละบกและเจนละน้ำ แต่เป็นจามปาที่เข้ามาแทนที่ในเมืองร้างหลังจากที่ขอมโดยกวาดต้อนไปอยู่อยุธยาจนหมดเมืองพระนคร จะบอกว่าเวลานั้นคือจุดสิ้นสุดของวัฒนธรรมขอมในพื้นที่เขมรในเวลานี้ก็ว่าได้ เพราะว่าต่อมาสมัยพระเจ้าบาทพญายาตได้ย้ายเมืองไปที่ ตวลบาสาน แล้วต่อมาย้ายอีกไปยัง พนมเปญจตุมุข จนถึง บันทายละแวก ในสมัยที่พระนเรศวรยกทัพไปตีเมืองเขมรอีกรอบ เมื่อครั้งที่เขมรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาในฐานะดินแดนประเทศราชหลักฐานของนาฏศิลป์ของไทยและเขมรคงไม่มีบันทึกเอาไว้เพราะโดนทำลายหมด แต่เราเริ่มบันทึกเมื่อสมัยต้นรัตนโกสิทร์เมื่อสองร้อบปีก่อนเราได้ส่งครูนาฏศิลป์เข้าไปในราชสำนักเขมร แม้กระทั่งบทโขนยังใช้บทพากษ์ของไทยซึ่งเป็นบทในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่1 มีทั้งโขนพากษ์ไทยและพากษ์เขมร แต่ถ้าดูไปให้ไกลกว่านั้น การไหลของวัฒนธรรมและนาฏศิลป์ทั้งภูมิภาคอุษาอาคเนย์มาจากอินเดีย ซึ่งแน่นอนว่าอินเดียถ่ายทอดเรื่องนาฏศิลป์ให้ขอมและศรีวิชัย อยุธยาตอนต้นก็รับอิทธิพลนาฏศิลป์มาจากขอมจากการกวาดต้อนขอมมาทั้งเมือง เมื่อถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ไทยก็ถ่ายทอดนาฏศิลป์กลับให้ราชสำนักเขมรที่ขาดแคลนครูฝึกสอน แทึกของฝรั่งเศสจะมีบันทึกว่าในต้นยุค ศตวรรตที่ 20 หลังจากพระนโรดมทิวงคตไปแล้ว ในราชสำนักเขมรนั้นมีคณะนาฏศิลป์จากสยามเหลืออยู่กว่า 300 คน !!!! ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีบันทึกว่า "หม่อมเจ้าหญิงฉวีวาดยกโรงละครทั้งโรงขึ้นเรือสำเภาหนีไปเมืองเขมร" จากโครงกระดูกในตู้ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อีกทั้งในหนังสือนิราศนครวัด ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึงละครไทยในราชสำนักเขมร โดยเรียกตามภาษาเขมรว่า "ระบำพระราชทรัพย์" ซึ่งหมายถึงการเลี้ยงดูคณะนาฏศิลป์โดยกษัตริย์เขมรนั่นเอง และในพงศาวดารต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการบันทึกไว้ว่าเจ้านายและกษัตริย์เขมรได้เข้ามาอาศัยในราชสำนัก แล้วเครื่องโขนชุดละครก็โดนขนย้ายไปเขมรในตอนที่กลับไปเขมรด้วย รวมถึงครูฝึกและนางละคร และที่เป็นจุดเปลี่ยนของนาฎศิลป์เขมรคือนักองด้วงได้ทูลขอให้ราชสำนักสยาม ให้ส่งครูนาฏศิลป์ไปฝึกสอนที่ราขสำนักเขมร ซึ่งจุดนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนที่กระทบต่อนาฏศิลป์เขมรรวมถึงท่ารำและบทละครรวมถึงดนตรีจนถึงทุกวันนี้. ความจริงผมยังมีเกร็ดที่จะเขียนอีกหลายตอน แต่มันยาวเกินไป เอาไว้วันหลังผมจะแยกเป็นเรื่องๆ ไปดีกว่าครับ เขียนแบบขยำรวมเรื่อราวของนาฏศิลป์ในอุษาอาคเนย์ มันเหมือนนั่งรถชมสวนดอกไม้ มันไม่จุใจเหมือนเดินชมไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เครดิตภาพ สวธ.
เอารูปมาประกอบเจ๋ย ๆ ฮะ ภาพเก่าเล่าประวัติ สุวรรณภูมิ 15 พฤษภาคม 2014 · "เจ้าหญิงบุปผาเทวี พระราชธิดาในพระเจ้านโรดมสีหนุ พระบรมรัตนโกศ แห่งราชอาณาจักร์กัมพูชา" Robam Tep Apsara is the title of a Khmer classical dance created by the Royal Ballet of Cambodia in the mid-20th century under the patronage of Queen Sisowath Kossamak. The Apsara is played by a woman, sewn into tight-fitting traditional dress, whose graceful, sinuous gestures are codified to narrate classical myths or religious stories. ถูกใจแสดงความรู้สึกเพิ่มเติม แสดงความคิดเห็นแชร์ ความคิดเห็นยอดนิยม 6767 ความคิดเห็น 8 รายการ แชร์ 3 ครั้ง ภาพเก่าเล่าประวัติ สุวรรณภูมิ สมเด็จพระเรียมโรดมบุปผาเทวี ณ ปัจจุบัน ถูกใจ · ตอบกลับ · 5 · 15 พฤษภาคม 2014 เวลา 19:34 น. ภาพเก่าเล่าประวัติ สุวรรณภูมิ พระองค์ยังทรงฝึกซ้อมนาฏศิลป์ให้แก่ คณะนาฏศิลป์กัมพูชาเช่นเดิม ถูกใจ · ตอบกลับ · 3 · 15 พฤษภาคม 2014 เวลา 19:35 น. · มีการแก้ไข ที่มา
ข้อมูลยอดเยี่ยมครับ ผมอยู่ตามศูนย์อพยพเขมรชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่พอลพตยึดเขมรสำเร็จ จนถึงสมัยเฮงสัมริน ลูกกระเป๋งญวนที่ขับไล่เขมรแดงกระเจิงไป มีศูนย์อพยพเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อศูนย์เขาล้าน อยู่เชิงเขาที่เป็นแผ่นดินแคบๆระหว่างอำเภอเมืองตราดกับอำเภอคลองใหญ่ ถ้าขับรถจากตัวเมืองตราดซ้ายมือของถนนเป็นภูเขาของเขมร ขวามือของถนนคือศูนย์เขาล้านและทะเล ศูนย์เขาล้านอยู่ในความดูแลของสภากาชาดไทย อยู่ที่นั่นทำงานสนุกเพราะวันดีคืนดี เขมรเฮงสัมรินมันจะยิงปืนใหญ่เข้ามาในศูนย์ ต้องวิ่งหลบกันจ้าละหวั่น ทหารเรือของเราต้องลอยเรือนอกฝั่งและตอบโต้ด้วยปืนใหญ่เช่นกัน กาชาดไทยเก่งเรื่องวัฒนธรรมจึงพยายามฟื้นฟูนาฏศิลป์ของเขมรในศูนย์ ตอนนั้นนาฏศิลป์ชั้นสูงของเขมรสูญหายไปหมดแล้ว ที่พอจะรวบรวมมาได้คือระบำพื้นบ้านเช่นระบำนกสาริกาแก้วและระบำกะลาเป็นต้น ในศูนย์ที่UNHCRควบคุมก็มีความพยายามฟื้นฟูวัฒนธรรมเขมรเช่นกัน แต่ทำโดยฝรั่ง ไม่ได้รู้ลึกซึ้งอะไร ตอบไม่ได้ว่าถ้าไม่มีความพยายามจากทางเราที่จะอนุรักษ์นาฏศิลป์เขมรไว้ ตอนนี้จะเหลืออะไรอยู่บ้าง เพราะเขมรตอนนั้นอยู่ใาสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด จุดหมายเดียวคือหนีตาย พวกที่มีโอกาสได้ไปประเทศที่สามในช่วงนั้นคงไม่มีกำลังจะอนุรักษ์ศิลปะของชาติไว้ได้แน่ สิ่งที่ไอ้ปึ้งออกมาฉวยโอกาสตำหนิรัฐบาลลุงตู่นั้น เป็นเรื่องประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของความเป็นชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไอ้ปึ้ง ปูกี้ และพวกพ้องไม่มีวันหยั่งถึงถึงความละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้
อันนี้ เข้าใจหาภาพประกอบ แต่..."ไม่รู้จะหัวเราะ หรือร้องไห้" ดี… เพราะเชื่อว่า ต้องเป็นเรื่องจริงแหง๋ๆ ถ้าไอ้ปึ้งเหน่งยังยิ่งใหญ่อยู่...มันทำแน่นอน ... QQQ QQQ QQQ QQQ QQQ QQQ
โอ้..โหหห นี่มันเรื่องใหญ่เลยนะ ไปว่าคนขอมไม่ใช่คนเขมร เท่ากับคนเขมร ไม่สร้างได้นครวัด หรือนครธม พูดอย่างนี้ เดี๋ยวก็มี 48 hours of Royal Thai Embassy ภาค 2 หรอกท่าน แต่...มันก็อาจจะจริงก็ได้
ทำไมยังเรียกเขมรกันอยู่ได้ ปึ้งขอร้องห้ามเรียกมาแล้ว มันบอกว่าพ่อมันไม่ได้เป็นฝรั่ง ผมเดาว่าพ่อมันเป็น เข มร