ผมอ่านความเห็นเกี่ยวกับมาตรา 112 ของไอ้พวกนิติเรด ไอ้พวกครก และไอ้พวกร่านฯ มาเยอะแล้ว ผมสรุปได้อย่างนั้นครับ ความผิดฐานดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาตร้ายต่อสถาบัน ความจริงแล้วโทษมันก็ไม่ได้เยอะอะไรนัก แถมส่วนมากยังสามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้ด้วย ซึ่งเป็นความจริงที่นักกฎหมายของนิติเรดมันก็รู้ดี แต่สิ่งที่ตามมาของคนที่โดนคดีตามมาตรานี้คือ การถูกสังคมส่วนใหญ่ ตราหน้า เหยียดหยาม และไม่ยอมรับ ซึ่งมีผลไปถึงการได้เกียรติคุณทางวิชาการต่าง ๆ การสมัครเข้าทำงาน และการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งเมื่อไหร่ที่พวกมันโดนมาตรานี้เข้า ชีวิตปกติในฐานะมนุษย์ก็จบแล้ว เหลือแค่ชีวิตในฐานะไอ้พวกล้มเจ้า ที่นอกจากธรรมศาสตร์ คงไม่มีที่ไหนอีกที่ยอมให้ไอ้พวกนี้ได้รับตำแหน่ง ร.ศ. หรือ ศ. เนื่องจากผมสังเกตถึงพฤติกรรมแห่ศพของไอ้พวกนี้ทุกครั้ง เวลาเอาไปโยงกับกฎหมาย ซึ่งคนที่เกี่ยวข้องเขารู้ดีว่ามันเลอะเทอะ คนผูกคอตายในที่คุมขัง มันต้องด่าผู้คุมสิวะ ไปด่าอะไรสถาบัน แต่ไอ้พวกนี้มันก็ดราม่าเบี่ยงประเด็นไปก็เพราะสาเหตุนี้แหละครับ สาเหตุแค่เพราะถ้าโดนตราหน้าว่าเป็นไอ้ล้มเจ้าแล้ว ชีวิตมันทั้งชีวิตก็กระเทือนไปหมด จะมีอนาคตก็แค่ในฐานะอาจานตาสว่าง ไม่ก็แกนนำม๊อบ แค่นี้เอง ใครที่มีหัวการค้าหน่อยก็พอเอาตัวรอดไปได้ แต่ส่วนใหญ่ไอ้พวกนี้มันไม่ค่อยจะมีหัวการค้าซักเท่าไหร่ เพราะอีโก้มันแรง เลยทำงานร่วมกับใครลำบาก อยู่ในสังคมปกติก็ไม่ได้ เพราะกูฉลาดเกินกว่าจะอยู่ร่วมกับคนโง่ ๆ ในสังคมคนอื่น แต่จริง ๆ ถ้ามันมีธรรมะในใจอยู่บ้าง มันก็น่าจะรู้ตัวดีว่าทุกสิ่งที่เกิดมันมีกรรมเป็นที่ตั้ง ทำอะไรไว้มันก็ได้ผลแบบนั้น อยากล้มเจ้ามันต้องจิตใจเข้มแข็งพอจะรับสิ่งที่ตามมาได้สิวะ หลายคนเป็นคอมมี่เก่า มันก็น่าจะชินกับการโดนสังคมรังเกียจนะ อ่อนไหวง่ายแบบนี้จะทำการสำเร็จได้ยังไง หรือชีวิตนี้ต้องการแค่สำเร็จความไคร่เวลาโหนศพคนโดนคดี 112 ไปวัน ๆ
ไม่ต้องการ 112 เพราะอยากใส่ร้ายเจ้าโดยไม่ต้องรับผิดชอบ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ก็เป็นแค่ข้ออ้าง ปล. ทางการน่าจะเพิ่มความผิด แอบอ้างสถาบันฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ หรือฉ้อโกงประชาชน แยกจากความผิดดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้าย ... ไว้ต่างหาก เพราะมีความรู้สึกว่าความผิดตาม 112 นี้ถูกใช้แบบครอบจักรวาลไปมาก มากจนพวกตาสว่าง หัวก้าวหน้าเมื่อ 300 ปีที่แล้ว เอามาเล่นไม่รู้สี่รู้แปด
เหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา ที่มันชอบเอามาอ้าง เพื่อด่าเจ้านั่นแหละครับ เมื่อคิดจะสู้กับรัฐบาล เพื่อล้มรัฐบาล พอตายมา ดันไปโทษเจ้าซะงั้น ถ้าเหตุผลระยัมของคนไทยมีแค่นี้ ไม่แปลกใจเลย ทำไมมันถึงได้เลือกไอ้แม้ว
ที่ผมจะสื่อก็คือ ไอ้พวกร่านฯ นิติเรด และไอ้พวกครก มันไม่ใช่นักต่อสู้เพื่อเสรีภาพที่แท้จริงครับ แค่เป็นพวกโรคจิตต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) เท่านั้นเอง หรือพูดในภาษาวัยรุ่น คือโรคถ่อยแล้วเท่ แต่เสือกอยากให้คนชมเรื่องถ่อย ๆ ของมัน
มีอยู่ช่วงหนึ่ง อาจารย์เคยให้คำแนะนำเตือนสติผม บอกว่า การคิดต่างในบางเรื่องก็สะท้อนความตกต่ำทางวุฒิภาวะของตัวเอง ไม่ได้นับว่าแสดงความกล้าหาญด้วย แต่อยากคิด อยากทำ เพื่อสนองสัญชาตญาณดิบของตัวเองก็เท่านั้น
ส่วนใหญ่แล้ว มาจากบล็อค หรือแม่พิมพ์ครับ เหมือนโครงการล้างสมอง สั่งสอนทุกเมื่อเชื่อวัน ปากบอก ให้อิสระเสรี ทางความคิด แต่ในอิสระเสรีที่สอนไว้ มันมีเส้นขีดไว้ให้เดินตามนั้น ผมดูข่าวนานมาแล้ว ที่มีเด็กนักเรียนให้สัมภาษณ์ เรื่องศาสนา จะถาม จะหาคำตอบ วิเคราะห์ แยกแยะ อยู่นัันหละ ทำไมพระพุทธเจ้าประสูตร และทรงดำเนินได้ 7 ก้าว เด็กสมัยนี้ มีคำถามเดียว ทำไมคนเกิดมาแล้วเดินได้ แต่ไม่เคยสงสัย เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ยอม ค้นคว้า หาคำตอบ จากธรรมที่พระพุทธองค์ ทรงสอนไว้
ถ้ากลัวก็ต้องหลีกหนีจากการด่าเจ้าสิ ดังนั้นจุดมุ่งหมายของพวกนี้คือ การได้ฟินน้ำแตก ยามได้ด่าเจ้า หมิ่นศาสนา เหยียดผู้อื่น ฟินในการเสพ เสรีภาพแบบเบียดเบียนผู้อื่น แค่นั้นแหละ
สมัยยังเยาว์ผมก็แยกไม่ค่อยออกครับ มองว่าเป็นความกล้าแถมยังชมพวกเขาว่าช่างพลิกหามุมมาด่าได้ทุกเรื่อง พอวัยล่วงมา นึกย้อนกลับไปดูพวกนักคิดต่างที่เคยรู้จักทั้งหลาย สรุปว่าส่วนใหญ่ขมขื่น ครอบครัวไม่มีความสุข ล้มเหลว อยากดัง และตอแหลครับ
เท่าที่เห็น ไอ้พวกร่านตัวดังๆ นี่มักจะเบี่ยงเบนทางเพศ หน้าตาอุบาทศ์ เข้าสังคมไม่ได้ หรือมีความผิดปกติอะไรสักอย่างเสมอ ไม่เชื่อดูหน้าไอ้หงอก ยิ่งวันยิ่งเหมือนกอลัม