ผู้ประกาศและพิธีกรโทรทัศน์อยู่ในกลุ่มถูกส่งไปกินนอนกับมวลชนในชนบท เพื่อ “สร้างทัศนคติถูกต้องเกี่ยวกับศิลปะ” ด้วยเช่นกัน พรรคคอมมิวนิสต์จีนปัดฝุ่นอุดมการณ์สมัยเหมา เจ๋อตง เตรียม “ปรับทัศนคติ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับศิลปะ” แก่นักศิลปะ คนวงการภาพยนตร์ และสื่อสารมวลชน โดยส่งไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมวลชนรากหญ้าในชนบท สำนักงานบริหารสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ ภาพยนตร์ และโทรทัศน์ของจีนแจ้งว่า ในทุก ๆ 3 เดือนทางการจะส่งทีมงานผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์ไปใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในชุมชนรากหญ้า หมู่บ้าน และในเหมืองแร่ เพื่อหาประสบการณ์ชีวิตภาคสนาม ไม่เว้นแม้แต่คนเขียนบท ผู้อำนวยการสร้าง นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ ตลอดจนผู้ประกาศข่าว และพิธีกรดำเนินรายการ คนเหล่านี้ต้องทำงานและใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อยกว่า 30 วัน “ ในถิ่นอาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ชายแดน และพื้นที่ ซึ่งเคยมีส่วนสำคัญ ที่ช่วยให้สงครามปฏิวัติในจีนประสบชัยชนะ” ก่อนหน้าการประกาศนโยบายนี้ไม่นาน ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงเพิ่งกล่าวกับนักศิลปะกลุ่มหนึ่งเมื่อเดือนต.ค. ที่ผ่านมาว่า “อย่าเป็นทาสของตลาด” หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลีของทางการจีนเปรียบเทียบคำพูดนี้กับวาทะโด่งดังของเหมาเมื่อปี 1942 ระหว่างเกิด" ขบวนการแก้ไขความคิดให้ถูกต้องแห่งเหยียนอาน" ซึ่งแสดงทัศนคติของเหมาที่ว่า ศิลปะควรรับใช้การเมือง ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า ศิลปะและวัฒนธรรมไม่อาจพัฒนาขึ้นได้โดยปราศจากการแนะแนวทางจากการเมือง และเตือนนักศิลปะด้วยอย่าไล่ล่าความนิยมของประชาชนด้วยผลงาน “ตลาดดาษ ๆ” แต่ให้ช่วยกันส่งเสริมลัทธิสังคมนิยม โดยในยุคของเหมานั้น ปัญญาชนและพวกอื่น ๆ ถูกส่งลงไปทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวนาในชนบท ภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีสี จีนมีการควบคุมงานด้านศิลปะวัฒนธรรมอย่างเข้มงวด อาทิ เซ็นเซอร์ผลงานของไอ้ เว่ยเว่ย ศิลปินนักต่อต้านรัฐบาลชื่อดัง และศิลปินคนอื่น ๆ ที่สร้างผลงานท้าทายการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ นายโจเซฟ เฉิง อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยซิตี้มองว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็น “การรณรงค์แก้ไขความคิดให้ถูกต้อง” แบบเหมา เพื่อปิดปากนักวิจารณ์การเมืองในช่วงที่ประธานาธิบดีสีกำลังกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ ซึ่งไปกระทบกับพวกที่มีส่วนได้ส่วนเสียผลประโยชน์ และเกิดเสียงพากษ์วิจารณ์ สร้างแรงกดดันกับเขา อย่างไรก็ตาม นายเฉิงชี้ว่า ความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีสีครั้งนี้มีเป้าหมายมากกว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมา ที่มุ่งเป้าหมายไปที่พวกปัญญาชน กล่าวคือเป็นการส่งสัญญาณว่า ตราบใดที่คุณไม่ไปท้าทายอำนาจรัฐ คุณอยู่เงียบ ๆ ไว้ คุณก็ทำมาหากินต่อไปได้อย่างปลอดภัย ปล ไอเดียนี้แปลกดีครับ แต่จะส่งผลอย่างไรในอนาคตต้องดูกันต่อไป
เข้มงวดเกินไป ลัทธิเหมาเรียกว่าสุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย ผ่อนปรนเกิน ลัทธิเหมาเรียกว่าสุ่มเสี่ยงเอียงขวา สวิงไป - มา ระหว่างสองขั้วนี้จนกว่าจะหาสมดุลกลางๆที่เหมาะกับยุคสมัยเจอ ..