อ่านบทความเรื่อง “แบงก์ต้องเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี” ของ “สุดใจ ชาญชาตรีรัตน์” ใน “ประชาชาติธุรกิจ” วันก่อนแล้วอึ้งไปเลยครับ เมื่อนายแบงก์ใหญ่บอกว่าโลกการเงินวันนี้กำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก “เทคโนโลยี” ไม่ใช่แค่ “ดิจิทัลแบงกิ้ง” แต่ยังไปไกลกว่านั้น ถามว่าคืออะไร นายแบงก์ทุกคนตอบเหมือนกันก็คือ “ไม่รู้” ความน่ากลัวของสงครามครั้งนี้ก็คือ เขาไม่รู้ว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร คู่แข่งของเขาไม่ใช่แบงก์ด้วยกันแล้ว แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ --------------------------------------------------------------------------- โลกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว และยังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ยังไม่นิ่งครับ ในอดีตคนที่เริ่มต้นก่อนคือ คนที่ได้เปรียบ เพราะมีฐานที่มั่นและฐานลูกค้าเหนือกว่ารายใหม่ แต่วันนี้บางทีคนที่โชคดี คือ คนที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ เพราะสามารถเดินตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้เลยโดยไม่มีภาระ http://chaoprayanews.com/blog/socialtalk/2015/10/31/สงครามธุรกิจยุคใหม่-สู้/
ผมยังชอบอีกบางช่วง บางตอนครับ ------------------------------------------------------- การจะขยับไปสู่รูปแบบใหม่ ๆ ก็ไม่ชัดว่า “ความเปลี่ยนแปลง” นั้นเป็น “ของจริง” หรือ “แฟชั่น” ที่บูมแบบชั่วข้ามคืน ตอนนี้คนที่ทำธุรกิจคงต้องใช้วิธีการปรับตัวแบบเดินใน”ความมืด” เมื่อเราไม่รู้ว่าในความมืดมีอะไร เราก็ต้องค่อยๆก้าว หยั่งขาลงช้า ๆ ถ้าเจออะไรไม่ชอบมาพากล จะได้ชักขากลับได้ทัน จะปรับตัวแบบวู่วามไม่ได้เลย เพราะคู่แข่งใหม่ในวันนี้ คือ อะไรก็ไม่รู้ น่ากลัวจริง ๆ ---------------------------------------------------------------- แต่ก็แปลกที่อ่านบทความนี้แล้ว ผมกลับนึกถึงคำสอนทางศาสนาพุทธ ในเรื่องความไม่ประมาท ความเป็นอนิจจัง
ผมเห็นคนแถวบ้านผมกลับมาถิ่นเดิมกันมากขึ้น คนที่ไปอยู่บางกอกแต่หนุ่มแต่สาว พอแก่ตัวก้อกลับมาบ้านกันหมด สิ่งที่ได้ยินบ่อยๆคือเบื่อ ไม่ค่อยมีพี่น้องเพื่อนฝูง อากาศไม่ดีๆลๆ
เวลาผมหาความรู้ด้านการเกษตร ในยูทูป คนที่เป็นวิทยากร หรือเกษตรกรตัวอย่าง ที่สละเวลาให้ความรู้กับบุคคลทั่วไป โดยที่ตัวท่านเหล่านั้น ก็ดูมีความสุขกับวิถีชิวิตของตัวเอง(เหนื่อย แต่มีความสุข) สิ่งที่ผมได้ยินท่านเหล่านี้กล่าวเป็นประจำคือ การน้อมนำเอาปรัชญาวิถีชีวิตแบบพอเพียงของในหลวง มาเป็นต้นแบบ ผมว่าพระเจ้าแผ่นดินของเรานี้ พระองค์ท่านช่างมองการณ์ไกลจริงๆ
ผมมองว่า ทุกวันนี้การพัฒนาไม่ใช่สิ่งไม่ดี แต่เราต่างหากที่ต้องเลือกและตีโจทย์คำว่าพอเพียงมาปรับใช้กับตัวเราเองครับ พอดีนั่งอ่านเวปไปเรื่อยๆ ดันไปเจอกูรูตนนึง ใช้คำนี้คงไม่ผิด วิจารณ์คนที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียงซะเละเทะเลย แต่ตนเองแก้ผ้าโชว์หัวนมดำๆ ซะงั้น เหอๆ ไม่อยากตัดแปะให้เสียเวลาคนอ่านนะครับ ตาม Link ไปเลยถ้ามีเวลาครับ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411041439 แหล่งซ่องสุมของเหล่ากาสรแดงสินะ ฮ่าๆๆ ไม่แปลกใจเลยที่มันไม่เคยเข้าใจคำว่าพอเพียง
เรื่องธนาคาร ผมรู้แค่ว่าสมัยก่อนธนาคารจะรับฝากเงิน-ปล่อยเงินกู้ แค่นั้นจริงๆ แต่สมัยนี้ไม่รุเขาเป็นอะไร ขอร้องให้ผมทำประกันชีวิต-อุบัติเหตุ-ขอโหวตการบริการ -ทำบัตรสินเชื่อๆลๆ เมื่อก่อนใครทำงานแบงค์ ว่ากันว่าเป็นคนมีหน้าที่การงานดีมาก มาตอนนี้ไม่ต่างจากคนขายประกัน ส่วนเรื่องธุรกิจของคนเมืองในมุมมองเด็กบ้านนอก ผมสังเกตุ และเคยถาม คนเมืองที่ผันตัวกลับมาบ้านเกิด หลายๆคนเขามีความคิดที่จะหาเงินให้ได้เยอะๆทำทุกทางเพื่อให้ได้เงินมา เพื่อจะได้กินของแพงๆขับรถหรูๆอยู่บ้านใหญ่ๆ พอแก่ตัวไป เขากลับไร้เพื่อน เพราะเหลี่ยมจัด เป็นนิสัย ร่างกายอ่อนแอเพราะกิน-นอน นั่งสบายในห้องแอร์ เป็นเบาหวาน-ความดัน-ภูมิแพ้ เพราะกินอาหารสังเคราะห์และสารเร่งเคมี คนบางคน เลยเลือกออกจากเมืองมาทำธุรกิจออนไลน์ดีกว่า ไม่ต้องทนรถติดในเมือง มีเวลาเฮฮากับพ่อแม่พี่น้องตามบ้าน ขี้เกียจวันไหนก้อหยุดได้ จริงมั้ย!
ถ้ามองที่เศรษฐกิจโลกที่เป็นภาวะ over supply การผลิตล้น ผู้บริโภคก็เงินฝืดไม่อยากเอาเงินมาจับจ่ายใช้สอยอีก พวกภาคธุรกิจตอนนี้อยู่ลำบาก
อย่าว่าแต่คนบ้านนอก กลับ บ้าน คนกรุงเทพฯ ที่เรารู้จักหลายคน ก็เริ่ม ออกไปสู่ต่างจังหวัด แลัว ทำวิถี เศรษฐกิจพอเพียงกัน
เมื่ออายุมากขึ้น คนที่คิดได้(แต่บางคนก็ยังคิดไม่ได้) จะเริ่มรู้ว่า การทำงานแล้วมีความสุข จิตใจแจ่มใส มันคือกำไรมากล้น มากกว่ากำไรที่เป็นเงินทองทรัพย์สิน บทความที่ผมยกมาตามกระทู้นี้ ผมว่าเกิดจากการเสพติดระบบทุนนิยม การทำงานทุกอย่าง เขาจึงเล็งเอาเฉพาะกำไรที่จับต้องได้(เงินตรา) และต้องคาดการณ์ล่วงหน้าว่า ปีนี้ ปีหน้า ปีต่อๆไป จะต้องทำกำไรเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม เมื่อมีปัจจัยที่เขาควบคุมไม่ได้ คาดการณ์ไม่ถูกโผล่ออกมา เขาจึงเป็นทุกข์ ซึ่งผิดกับวิถีชีวิตแบบพอเพียง เพราะแค่ทำงานวันนี้ให้ดีที่สุด เราก็พอใจแล้ว มีความสุขแล้ว วันต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เราก็รับได้ เพราะเราไม่ยึดติดว่าต้องทำกำไรให้ได้เท่านั้นเท่านี้ แค่ทำงานแล้วมีความสุข สุขภาพดี เราก็ถือว่านั่นคือกำไรที่เพียงพอแล้ว
ใช่เมื่ออยู่ต่างจังหวัด ชีวิตเรียบง่าย ผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นมิตร คอยดูแลกัน ซึ่งไม่พบในสังคมกรุง ทำให้ชาวเมืองบางคนเริ่มติด และเริ่มคิดได้ หลายคนใช้ชีวิตอย่างสงบ จะสังสรร หรือ เข้าสังคม ก็เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
เลิกใช้เงินสด มันทำลายองค์กรอาชญากรรมได้ไงอะครับ หรือทำให้การใช้เงินทุกครั้งมีหลักฐาน พอจะตามสืบได้ ผมอ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจว่า มันมีความสัมพันธ์กันยังไง?
ตอนนี้ บ้านผมกำลังมีปัญหานายทุนปั่นราคาที่ดิน ซื้อ-ขายที่ดิน ห้างชั้นนำลงมาทุบตลาดชุมชนถึง3เจ้า ธนาคารแข่งกันปล่อยกู้โดยเอาเม็ดเงินและข้อเสนอที่มันดูว่าดี โดยไม่สนใจว่าคนนั้นจะอ่านหนังสือออกหรือไม่ และกำลังสร้างสนามบินโดย นายทุน โดยทั้งหมดนี้นักการเมืองท้องถินเป็นใจ เพียงบอกว่าเอาความเจริญมาสู่ชุมชน หารู้ไม่ว่า เขากำลังขุดบ่อล่อปลาเท่านั้น
จะทุนนิยม จะสังคมนิยม จะเศรษฐกิจพอเพียง จะประชาธิปไตย จะคอมมูนิสต์ จะรัฐประหาร มันคือวิธีความเป็นมนุษย์ และมนุษย์ย่อมต้องสรรหาสิ่งที่สนองความอยากและสำคัญที่สุดในความคิดสำหรับตัวเองและความคิดตัวเองเสมอ ถ้าคุณชอบการแข่งขันกดดัน คุณก็อยู่ในที่ๆแข่งขันกดดัน ถ้าคุณอยากประชดสังคม คิดว่าแก้ผ้าโชว์หัวนมดำ แล้วคนจะสนใจ คุณก็จะไม่ลังเลที่จะทำ เพราะคุณคิดว่าดีที่สุดสำหรับคุณเอง แต่ถ้ามันผิดกฏหมายตำรวจจะไปจับเข้าคุก คุณก็อาจคิดว่าไม่ทำดีกว่าเพราะคุณจะเดือดร้อน หรือถ้ามันผิดกฏหมายตำรวจจะไปจับเข้าคุก แต่คุณคิดว่าทำแล้วมีคนนับหน้าถือตามีชื่อเสียงเลื่องระบือ ผิดกฏหมายช่างมัน คุณก็เลือกที่จะทำ สุดท้ายทุกทางเลือก ทุกการกระทำ ก็สนองตัณหา ความอยาก กิเลส สติตัวเองทั้งนั้น
สุดท้ายทุกทางเลือก ทุกการกระทำ ก็สนองตัณหา ความอยาก กิเลส สติตัวเองทั้งนั้น ถูกต้องครับ แต่ถ้ามองให้ลึกๆ วิถีชีวิตแบบพอเพียง ผมว่าน่าจะเป็นการใช้ชีวิตใกล้เคียงกับทางสายกลาง ตามคำสอนของศาสนาพุทธมากที่สุด
ผมไม่อยากฟันธง เพราะความคิดความต้องการและกิเลสของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และคนบางคนมนุษย์บางคนก็ไม่พร้อมยอมปรับยอมรับดื้อดึง เหมือนพุทธองค์ที่บอกว่าคนเราเหมือนบัวสี่เหล่าสี่กอ บางคนในความคิดเขาไม่สามารถอยู่แบบพอเพียง โลว์โปรไฟล์ได้ บางคนชีวิตนี้แพ้ไม่ได้ บางคนต้องอวดภูมิให้ได้ ดังนั้นทุกคนก็จะแสดงแก่นในแต่ละส่วนสนับสนุนตัวเองออกมาเสมอ อันนี้ไม่ว่ากัน ขออย่างเดียวอย่าให้คนอื่นเดือดร้อน เช่นสิ่งที่คุณแสดงความเห็นออกมาน่าจะตอบโจทย์ความเป็นมนุษย์ความเป็นสัตว์โลกมากที่สุด แต่สุดท้ายก็อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนอีกกลุ่มอีกแนวคิดอยู่ดี เพราะกิเลสแห่งความเป็นมนุษย์ ผมเชื่อว่า สุดท้ายจะเข้าใจและรู้ซึ้งก่อนสิ้นลมหายใจว่าอะไรคืออะไร