25 ข้อเท็จจริงปรส. โดย พัสณช เหาตะวานิช http://www.naewna.com/politic/columnist/15441 1.ไทม์ไลน์การบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลชวลิต 25 พฤศจิกายน 2539 ถึง 9 พฤศจิกายน 2540 ต่อมาลาออก และได้มีการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่โดยมติสภาผู้แทนราษฎรได้ รัฐบาลชวน หลีกภัยครั้งที่ 2 2.ในช่วงบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชวลิต ยงใจยุทธนั้น มีรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจชื่อ ทักษิณ ชินวัตร 3.รัฐบาลชวน หลีกภัย เริ่มทำงานหลังโปรดเกล้าฯ และถวายสัตย์ ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 4.รัฐบาลชวน เข้ามาบริหารประเทศหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งแล้ว 5.รัฐบาลชวน เข้ามาบริหารประเทศหลังจากรัฐบาลชวลิต และรองนายกฯ ทักษิณไปเซ็นสัญญากับ IMF แล้วตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2540 6.การเข้าเซ็นสัญญากับ IMF ของรัฐบาลชวลิตและรองนายกฯ ทักษิณ ทำให้ไทยต้องมีเงื่อนไขที่ต้องทำตาม IMF ต่างๆ ตามมาเป็นภาระผูกพันอีกมากมาย รวมไปถึงการจัดการกับสถาบันการเงินต่างๆ จนเป็นที่มาให้ต้องออก ปรส. 7.รัฐบาลชวลิต และรองนายกฯ ทักษิณ ออกกฎหมายด่วนเป็น พรก.ปรส.ประกาศใช้วันที่ 25 ตุลาคม 2540 ซึ่งรัฐบาลชวนยังไม่บริหารประเทศ 8.ต่อมารัฐบาลชวลิตพร้อมรองนายกฯ ทักษิณลาออก เพราะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้!!!!! 9.รัฐบาลชวนได้รับเลือกจากผู้แทนราษฎรจากรัฐสภาตามวิถีของประชาธิปไตย โจทย์หลักคือเข้ามา “แก้วิกฤติเศรษฐกิจ” หรือต้มยำกุ้ง 10.เมื่อกฎหมาย ปรส.บังคับใช้ตั้งแต่สมัยนายกฯ ชวลิตแล้ว ผลจากการออกกฎหมายนั้นจึงผูกพันต่อมายังรัฐบาลชวน ซึ่งทักษิณ ชินวัตร ในฐานะรองนายกฯ เศรษฐกิจเป็นตั้งคนต้นเรื่อง กำหนดแนวทาง และออกนโยบายในการทำ ปรส.ทั้งหมดตั้งแต่ต้น 11.ปรส.บริหารโดย ประธาน และเลขาธิการที่แต่งตั้งจากมติครม.ที่เสนอโดยรัฐมนตรีคลัง ในสมัยรัฐบาลชวลิต 12.กฎหมายของปรส.ทำตามสัญญา IMF หลักใหญ่ใจความคือ “ห้ามฝ่ายการเมืองเข้าไปก้าวก่าย” เพราะ IMF บอกว่า นักการเมืองในยุคก่อนหน้านี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในขณะที่แบงก์ชาติก็อ่อนแอ 13.จากบทสรุปของข้อก่อนหน้าคือ “นายกฯ ชวน และรัฐบาลประชาธิปัตย์ ไม่สามารถโยกย้ายประธานและเลขาฯ ปรส.และกฎหมายยังคับให้ปรส.ทำงานโดยอย่างอิสระ ตามแนวทางเดิมของกฎหมายที่ร่างมาตั้งแต่ต้นในสมัยรัฐบาลชวลิต” 14.ปรส.ชื่อเต็มคือ องค์การเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน : ปรส.(Financial Secter Restructuring Authority :FRA) 15.ปรส.มีหน้าที่ “ตามมติครม.ชวลิตลงวันที่ 14 ตุลาคม 2540” ที่เสนอโดยรองนายกฯ ที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางสำหรับบริษัทเงินทุก 58 แห่งที่มีปัญหา 16.มติครม.ของรัฐบาลชวลิตกำหนดว่า ห้ามมิให้การเมืองก้าวก่าย นั่นหมายถึง รัฐมนตรีคลังในอนาคตก็ไม่สามารถถอดถอนประธานและเลขาธิการปรส.ได้ 17.มติครม.ของรัฐบาลชวลิตกำหนดว่าการจะสั่งปิดกิจการให้เป็นอำนาจของปรส.เท่านั้น รมว.คลัง จะมีอำนาจแค่เซ็นตามที่ ประธานปรส.เสนอขึ้นมาเท่านั้น 18.อำนาจเต็มในการขายกิจการ หรือสินทรัพย์ของกิจการเป็นอำนาจเต็มของปรส. ซึ่งแต่งตั้งมาโดยมติครม.รัฐบาลชวลิต 19.คณะกรรมการ ปรส. ที่ พลเอกชวลิต ตั้งไว้ มีมติเด็ดขาดต่อ 58 สถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิดชั่วคราว ให้ปิดถาวรต่อไป 56 แห่ง อนุญาตให้กลับมาฟื้นฟูดำเนินกิจการ แค่ 2 แห่ง 20.หนึ่งในสองแห่งที่กลับมาเปิดใหม่ได้ คือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เกียรตินาคิน ซึ่งปัจจุบันได้เติบโตจนยกฐานะขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ ในปี 2548 สมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร คือธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) 21.มีความเชื่อมโยงทางเครือญาติระหว่างธนาคารเกียรตินาคิน กับ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในไทยรักไทยเองด้วย 22.คดีกล่าวหา ปรส. มีคดีอาญา 25 คดี ยกฟ้องแล้ว 20 คดี อยู่ระหว่างพิจารณา5 คดี ในคดีที่เหลือ สุดท้ายศาลอุทธรณ์ยกฟ้องอีก 3 คดี เหลือเพียงคดีส่วนที่กล่าวหาเลขาธิการ ปรส. เอื้อประโยชน์แก่ บมจ.เงินทุนหลักทรัพย์เกียรตินาคิน เกี่ยวกับเรื่องภาษี ไม่มีข้อหาเรื่องทุจริต (จากบทความ FB คุณ : พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล) ดังนั้นข้อกล่าวหาที่บอกว่า องค์กรยุติธรรมล่าช้าต่อกรณีนี้ไม่เป็นความจริง 23.สัดส่วนการขายสินทรัพย์นั้นอยู่ที่ 46% ไม่ได้ต่ำถึง 10-15% ตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด 24.บุคคลที่ต้องโทษจากการกระทำความเสียหายต่อรัฐแต่สุดท้ายถูกยกฟ้อง จากกรณี ปรส.นั้นส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่แต่งตั้งโดยมติครม.ที่มีรองนายกฯ ทักษิณกำกับดูแลโดยตรง และยังออกกฎไม่ให้รัฐบาลใหม่สามารถก้าวก่ายโยกย้ายได้ 25.ปรส.ไม่ใช่นโยบายรัฐบาลของรัฐบาลชวน แต่เป็นผลผูกพันบังคับใช้มาจากรัฐบาลก่อนหน้า จึงไม่สามารถเทียบเคียงได้กับการ “โกงจำนำข้าว” ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ตลอดจนการแถลงนโยบายต่อรัฐสภามาโดยตลอด http://www.naewna.com/politic/columnist/15441