ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เงียบ หายไปกับสายลมพักใหญ่ ก็กลับมาเป็นประเด็นร้อนฉ่าอีกครั้ง หลัง “ศาลโอลด์ เบลีย์” ของประเทศอังกฤษ ตัดสินยึดทรัพย์ “เจมส์ แมคคอร์มิค” มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ มูลค่ากว่า 7.9 ล้านปอนด์ หรือราว 400 ล้านบาท ฐานจำหน่ายเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดปลอม ซึ่งไม่สามารถใช้ปฏิบัติงานตรวจจับวัตถุระเบิดได้จริงตามคำโฆษณาชวนเชื่อ หลังจากที่เมื่อราว 2 ปีก่อนก็ได้ตัดสิน นายแมคคอร์มิค เป็นเวลา 10 ปี ในคดีเดียวกันมาแล้ว ทั้งนี้ ศาลระบุชัดเจนว่า เป็นการยึดทรัพย์นายแมคคอร์มิคเพื่อนำเงินไปจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ที่ตกเป็น เหยื่อในการซื้ออุปกรณ์ปลอมจากเครือข่ายของนายแมคคอร์มิค สำหรับคดีที่นายแมคคอร์มิคถูกตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์นั้น มาจากกรณีที่ บริษัท เอทีเอสซี ของเขา ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องตรวจจับระเบิด "เอดีอี 651" ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงและหลอกลวง นำอุปกรณ์ปลอมไปจำหน่าย โดยมีผู้เสียหายเป็นรัฐบาลหลายประเทศโดยเฉพาะในแถบตะวันออกกลาง พลันที่ปรากฏชื่อนายแมคคอร์มิคเป็นข่าวดังไปทั่วโลก แม้จะเป็นการลงโทษจำคุกและยึดทรัพย์ไกลอีกมุมโลกที่ประเทศอังกฤษ แต่ก็กลายเป็น “อาฟเตอร์ช็อก” มาถึงประเทศไทยแดนสยามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะกับบรรดา “ขุนทหาร” ใน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีอำนาจบริหารประเทศในปัจุบัน เพราะตามข้อมูลระบุว่า เครื่องรุ่น “เอดีอี 651” มีลักษณะการทำงานไม่แตกต่างจากเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด “จีที200” ที่กองทัพไทยจัดซื้อ มาจาก บริษัท โกลบอล เทคนิคอล บริษัทสัญชาติอังกฤษในเครือข่ายของ นายแมคคอร์มิค นั่นเอง รวมไปถึงเครื่องรุ่น “อัลฟ่า 6” ที่หน่วยงานภาครัฐของไทยจัดซื้อมาใช้ด้วย พูดง่ายไม่ว่าจะเป็น “เอดีอี 651 - จีที200 - อัลฟ่า 6” ก็แค่ของเด็กเล่นไม่ใช่เครื่องจับวัตถุระเบิดอย่างที่บริษัทจากเมืองนอกมา เร่มาขายให้กับรัฐบาลไทย โดยมีเครื่องการันตีจากศาลอังกฤษที่พิพากษาให้จำคุก-ยึดทรัพย์ นายแมคคอร์มิค เจ้าของและหัวขบวนคนสำคัญของเครือข่าย “พ่อค้าลวงโลก” ทำให้บรรดา “บิ๊กรัฐบาล” ซึ่งเติบโต-เป็นใหญ่ใน “กองทัพบก” มาก่อนร้องจ๊าก!! งานเข้าจังเบ้อเร่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา โดยเฉพาะ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่า การกระทรวงมหาดไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ตั้งแต่ปี 2550-2553 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ กองทัพบก (ทบ.) การจัดซื้อ “จีที 200” นั่นเอง จากข้อมูลพบว่า ทบ.ในยุค “ผบ.ป๊อก” สั่งซื้อเจ้าจีที 200 ที่ว่าเป็นจำนวนหลายร้อยเครื่อง โดยให้เหตุผลว่า เพื่อใช้ในภารกิจของกองทัพ ที่จำเป็นต้องใช้เครื่องตรวจจับมวลสารระยะไกล โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และไม่เพียงแต่ ทบ.เท่านั้นที่สั่งซื้อในช่วงเดียวกัน ยังมีหน่วยงานรัฐอื่นอีกหลายหน่วยงานสั่งซื้อพร้อมกับเครื่อง “อัลฟา6” รวมกันมากกว่า 1,000 เครื่องด้วย ย้อนกลับไปปมข้อสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ “จีที 200” นั่นเกิดขึ้นในช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ซึ่งได้สังการให้ คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯในตอนนั้น ตั้งกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หนึ่งในกรรมการมีชื่อ “ดร.เจษ” เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมอยู่ด้วย ก่อมมีบทสรุปว่า เครื่องเหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพ ตรวจจับวัตถุระเบิดไม่ได้ หรือเป็น “ของเก๊” ใช้งานไม่ได้จริงนั่นเอง “รัฐบาลอภิสิทธิ์” จึงสั่งให้ยกเลิกใช้อุปกรณ์ดังกล่าวในเวลาต่อมา จากนั้นก็เป็นคิวของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ ไร้คนผิดไปเสียอย่างนั้น ในระหว่างที่หน่วยงานอื่นตรวจสอบอยู่นั้น ทางกองทัพเองก็ออกมาชี้แจง พร้อมทำการทดลองการใช้เครื่องโดยตัวทหารเอง หรือกระทั่งดึงเอา คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงได้รับการบยอมรับอย่างสูง มาร่วมทดลองการใช้งาน สุดท้าย “คุณหญิงพรทิพย์” และทีมงานก็ประกาศการันตีว่า “จีที 200” ใช้งานได้ดีมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นวิวาทะทางวิชาการกับ “ดร.เจษฎา” ซึ่งเป็นประเด็นแจ้งเกิดให้กับฝ่ายหลังด้วย ผลการตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์ นายแมคคอร์มิค ของศาลอังกฤษ รวมทั้งการยกเลิกการใช้งาน “จีที 200” ของกองทัพ ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายไหน ถูกผิดอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ ขณะลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อตรวจติดตามการดำเนินงานของโรงงานกำจัดขยะโครงการรักษ์บ้านเรา เทศบาลเมืองท่าโขลง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ตามที่บอกไปแล้วเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับ “จีที 200” ขึ้นมาคราวใด หน้าของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ลอยตามมาทันที ในฐานะผู้นำกองทัพและปัจจุบันเป็นคนสำคัญระดับนำของ คสช. จึงไม่แปลกที่กระแสเรียกร้องให้ “รัฐบาล คสช.” ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในการเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกลับมาอีกครั้ง เป็นกระแสเรียกร้องในยามที่ “รัฐบาล คสช.” ประกาศเรื่องการปราบปรามการทุจริตเป็น “วาระแห่งชาติ” แต่ท่าทีของ “บิ๊ก คสช.” เกี่ยวกับ “จีที 200” ดูจะขัดกับสิ่งที่ประกาศ และท่าทีในการเอาเป็นเอาตายกับกรณีอื่นที่เข้าข่ายการทุจริต ทั้งตัว “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ที่ดูจะหงุดหงิดฉุนเฉียวทุกครั้งยามที่ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพูดราวกับว่าคำพิพากษาศาลอังกฤษไม่ได้เกี่ยวโยงอะไรกับการจัดซื้อ “จีที 200” ในไทย รวมทั้งไม่สนใจที่จะไปทวงถามค่าเสียหายจากบริษัทผู้ค้าอย่างที่หลายประเทศ ที่ตกเป็ฯเหยื่อกระทำกัน ก่อนจะมา “กลับลำ” หลังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง สั่งการให้ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ไปศึกษาและรวบรวมข้อมูลเพื่อหาแนวทางฟ้องร้องในภายหลัง ไม่ต่างจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ปากก็บอกว่า ไฟเขียวให้ทุกหน่วยงานที่จัดซื้อตรวจสอบและส่งข้อสรุปมายังรัฐบาล แต่กลับแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะให้ “รัฐบาลไทย” ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ผลักภาระไปว่า หาก “หน่วยงานรัฐ” ที่จัดซื้อมาเห็นว่าได้รับความเสียหายก็ไปฟ้องร้องกันเอาเอง โดยลืมไปว่าลูกค้า “จีที 200 - อัลฟ่า 6” นั้นมี ทบ. และกองทัพอากาศ (ทอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของตัวเองอยู่ด้วย ดูท่าที “บิ๊ก คสช.” จะอ้อมๆแอ้มๆไม่เด็ดขาดชอบกลเวลามีเรื่องที่โยงกับกองทัพ หรือคนใน คสช.เอง แม้คนอื่นจะพยายามลอยตัวจากเรื่องคาวฉาวโฉ่เพียงใด แต่รายของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่รองแห่งบูรพาพยัคฆ์ นั้นอาจจะลอยตัวเหมือนคนอื่นได้ยาก เพราะเมื่อย้อนดูการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในช่วงที่ครองเก้าอี้ ผบ.ทบ.นั้น มีเครื่องหมายคำถามติดอยู่มากมาย ทั้ง “จีที 200” ที่แม้เรื่องมันจะแดงภายหลังพ้นตำแหน่ง แต่ก็เกิดคำถามว่า เหตุใดกองทัพถึงนำเงินภาษีประชาชนไปทุ่มซื้อ “ของเก๊” อย่างบ้าคลั่งถึง 747 เครื่อง วงเงิน 683 ล้านบาท เมื่อพลิกดูสำนวน “จีที 200” ที่อยู่ในมือของ ป.ป.ช.ที่ทำตัวเป็น “จ่าเฉย” มานานกับกรณีนี้ หลัง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งเรื่องให้ตั้งแต่ปี 2554 แต่ ป.ป.ช.ไม่ได้กระดิกทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน พอมีเรื่องขึ้นมาอีกครั้งถึงไปค้นลิ้นชักออกมาบอกว่า กำลังเตรียมสอบสวนอยู่ 4 สำนวน ได้แก่ 1. การจัดซื้อ “จีที 200” ของ กรมสรรพาวุธทหารบก ใน 12 สัญญา จำนวน 747 เครื่อง วงเงิน 683 ล้านบาท หรือเครื่องละ 914,323 บาท 2. การจัดซื้อ “จีที 200” ของ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง จำนวน 6 เครื่อง วงเงิน 2.5 ล้านบาท หรือเครื่องละ 416,666 บาท 3.การจัดซื้อ “จีที 200” ของ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท จำนวน 1 ชุด วงเงิน 550,000 บาท และ 4.การจัดซื้อ “จีที 200” ของ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม จำนวน 6 เครื่อง หรือเครื่องละ 1,116,666บาท
โดยทั้ง 4 สำนวน ป.ป.ช.ตั้งธงเหมือนกันทุกสำนวนว่าจัดซื้อมาในราคาที่แพงเกินจริง โดยไม่สำรวจราคาตามท้องตลาดมาก่อน ทั้งที่ราคาจริงที่ประเทศอื่นเขาซื้อกันอยู่ที่ราคาหลักแสนต้นๆ เอาแค่ของ กองบังคับการตำรวจภูธรชัยนาท ที่ซื้อเพียงเครื่องเดียวแต่ได้ราคาถูกกว่าการซื้อของ “กรมสรรพากรทหารบก-สถาบันนิติวิทยาศาสตร์” กว่าครึ่ง ย่อมไม่สมเหตุสมผล ยังไม่พูดถึง “ต้นทุน” ของเจ้า “จีที 200” ที่เจอแฉว่าไร้กลไกข้างใน เป็นเพียงกล่องที่นำไม้มาเสียบเฉยๆ จนถูกขนานนามว่า “ไม้ล้างป่าช้า” ที่คำนวณจากวัสดุแล้วไม่มีทางถึงหลักแสนบาท แค่หลักหมื่นก็หรูแล้ว จึงถูกสังคมตั้งข้อสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า เต็มใจให้เขาหลอกทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ายุทโธปกรณ์ที่ซื้อมาใช้ไม่ได้จริง หรือไม่ จนถึงขั้นด่าแบบสาดเสียเทเสียว่า “หน้ามืด” ไม่นึกถึงทหาร-เจ้าหน้าที่ที่ต้องนำอุปกรณ์หลอกเด็กแบบนี้ไปใช้ในสถานการณ์ จริง จนทำให้เกิดการสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้นภาพของ “บิ๊กป๊อก” ยังถูกผูกติดอยู่กับทั้ง “เรือเหาะบุโรทั่ง” ที่ทุ่มงบประมาณกว่า 350 ล้านบาท ไปจัดซื้อเรือเหาะเพื่อภารกิจสอดแนมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ที่ตั้งแต่ซื้อมาก็ไม่สามารถใช้งานได้จริง จนที่สุดถูกจำหน่ายทิ้งไปเป็น “เศษเหล็ก” ในเวลาไม่นาน แล้วก็ยังมียานยนต์หุ้มเกราะล้อยาง Oplot-M จากประเทศยูเครน หรือ “รถถังยูเครน” ที่ใช้งบประมาณกว่า 7,200 ล้านบาท ตามแผนจัดการรถถังรุ่นใหม่จำนวน 200 คัน แต่ทางผู้ขายไม่สามารถส่งมอบได้ตามกำหนด อีกทั้งในส่วนที่ได้รับการส่งมอบมาแล้วก็เสื่อมสภาพใช้งานไม่ได้ ซึ่งคาดว่ามีสาเหตุก็มาจากการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใส เครื่องตรวจวัตถุระเบิดลวงโลก GT200 เรือเหาะ และรถหุ้มเกราะยูเครน ซึ่งถูกจัดซื้อในขณะบิ๊กป๊อกเป็น ผบ.ท.บ. เมื่อกางข้อมูลที่เกิดขึ้นทำให้พบว่า “บิ๊กป๊อก” ก็ไม่ต่างจาก “เสือเงียบ” ที่มักมีชื่อไปพัวพันกับโครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่ไม่โปร่งใส แต่ก็ไม่เคยถูกตรวจสอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยังเอาตัวรอดปลอดภัยจนมาเป็นเบอร์ต้นๆของ คสช.ได้ในปัจจุบัน ตำแหน่งปัจจุบันของ “บิ๊กป๊อก” นอกเหนือจากเป็น 1 ในคนสำคัญของ คสช.แล้ว ก็ยังได้ดูแลกระทรวงเกรดเออย่าง “กระทรวงมหาดไทย” ที่มีภารกิจในการกำกับดูแลหน่วยงานบริหารท้องถิ่นทั่วประเทศ แต่งานหนึ่งที่ “บิ๊กป๊อก” ดูจะให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษ ก็คือ การบริหารจัดการขยะ ที่ “บิ๊กตู่” เคยกล่าวไว้ในหลายวาระว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยรัฐบาล คสช.มีประกาศ-คำสั่งอีกหลายครั้งของรัฐบาลชุดนี้ที่ถูกมองว่า “เอื้อ” กับ “ภารกิจขยะ” ของ “บิ๊กป๊อก” ทั้งประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ยกเว้นโรงไฟฟ้าพลังขยะไม่ต้องทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และ “บิ๊กตู่” ถึงขนาดเคยใช้อำนาจมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ยกเว้นการบังคับใช้ผังเมืองกับโรงไฟฟ้าทุกประเภท รวมถึงโรงไฟฟ้าขยะเป็นต้น ซึ่งเจ้าภาพ “ภารกิจขยะ” ก็หนีไม่พ้น กระทรวงมหาดไทย ของ “บิ๊กป๊อก” ที่ดูจะรับลูกอย่างไม่อิดออด สังเกตภารกิจตรวจราชการที่ต่างจังหวัดหลายครั้ง จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการตรวจดูโรงคัดแยกขยะ และเมื่อเดือน มิ.ย.2558 กระทรวงมหาดไทยเองก็เคยเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการปรับอัตราเฉลี่ยค่าบริหารจัดการขยะอยู่ที่ 220 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน รวมทั้งเสนอให้ตั้งงบประมาณปีละ 3 พันล้านบาท การร่วมลงทุนกับภาคเอกชนบริหารจัดการขยะอีกด้วย รวมแล้วมีการเตรียมงบประมาณในส่วนนี้ไว้ถึง 2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ “บิ๊กป๊อก” เองก็เคยเปิดเผยว่า รัฐบาลได้ทำพื้นที่กำจัดขยะไว้แล้วทั่วประเทศ 141 แห่ง ในส่วนนี้มีศักยภาพทำให้โรงไฟฟ้าพลังขยะ 44 แห่ง และได้มีโครงการนำร่องแล้วที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.นนทบุรี โดยขั้นตอนต่อไปจะมีการพิจารณาในการให้ “เอกชน” ร่วมลงทุน โดยมีข่าวลือเม้าท์กันให้แซ่ดว่า ตอนนี้มี “เอกชน” ที่เป็นเครือข่ายวงศ์วานของ “บิ๊ก คสช.” เตรียมแต่งตัวเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการจัดการขยะและโรงไฟฟ้าพลังขยะทั่ว ประเทศของรัฐบาล คสช.เรียบร้อยแล้ว หากลงล็อกเป็นไปตามแผน ก็จะเป็นอีกครั้งที่ “บิ๊กป๊อก” ต้องมีชื่อไปเกี่ยวพันกับเรื่องเน่าเหม็น ซึ่งไม่ได้มาจากขยะมูลฝอย แต่เป็นกลิ่นเน่าความโปร่งใสของโครงการมากกว่า ทั้งหมดเป็นเส้นทางของ “เสือเงียบ แห่ง คสช.” ที่ผาดโผนโลดแล่นมาตั้งแต่ “เรือเหาะ - รถถัง - จีที200” มาถึงเรื่องเหม็นๆอย่าง “โรงขยะ” ในตอนนี้ เข้าคอนเซ็ปต์ เห็นเงียบๆ แต่พี่ฟาดเรียบนะจ๊ะ. http://www.manager.co.th/Weekend/ViewNews.aspx?NewsID=9590000063350
พูดถึงเรื่อง "โรงไฟฟ้าขยะ" นี่ ชื่อ "พี่แจ๊ด ปืนจิ๋ว" ลอยมาเลย http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000073279
สื่อมโน จอมเสี่้ยม ถ้าแม้วตาย พวกนี้จะอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าทางไหน ก็ต้องดิ้นให้แม้วรอด เรื่องรถถังนี่มโนล้วนๆ ที่ยูเครนส่งมอบช้า เพราะว่าบ้านเมืองเขาเกิดสงคราม รถงานผลิตรถถังนั่น ก็อยู่ไม่ห่างจากพื้นที่ความขัดแย้งมากนัก แล้วไหนจะต้องปรับปรุงรถในคลังเพื่อนำกลับเข้าประจำการ ซ่อมแซมรถที่ได้รับความเสียหายจากการรบ พร้อมๆไปกับยังต้องผลิตส่งให้เรา ยังไม่รวมกับปัญหาที่ต้องจัดหาซัพพลายเออร์ใหม่หมด จากเดิมที่เคยสั่งชิ้นส่วนบางชิ้นจากรัสเซียได้ ตอนนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว ปัญหาเรื่องคนงานขาดแคลน ฯลฯ ผู้ผลิตรายไหน เจอปัญหา ไม่คาดฝันไปขนาดนี้ เป็นเป็นใครก็คงแย่ทั้งนั้น
ให้ตายเถอะ ผมเบื่อพวกควายแดงจริงๆ เที่ยวไปตัดแปะความคิดความเห็นแล้วมโนต่อว่าคนนั้นเลวคนนี้ชั่ว แล้วก็หยุดแค่นั้นไม่ยอมไปต่อ จะเพราะว่าไม่มีกึ๋น ขาดความมุ่งมั่น รอเบิกค่าจ้างก่อน หรือเป็นเรื่องเท็จทั้งเพ หรือทั้งหมดรวมกัน ผมไม่อาจทราบได้ แต่ก็ยังหน้าด้านออกมาทวงถามสังคม บอกว่าไม่มีดำเนินการเล่นงานคนชั่วคนเลว พวกเอ็งดูตัวอย่างง่ายๆ หมอมโน กับไพบูลย์ นิติตะวัน พวกเขากล่าวหาพระธัมมชโย และไม่ได้นั่งทับคำกล่าวหาและข้อมูลที่พวกเขามี พวกเขาออกมาให้ข่าวและดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ ขยันติดตามผลอย่างไม่ลดละ พระธัมมชโยจะผิดและถูกลงโทษหรือไม่หรือไม่ ศาลยุติธรรมและองค์กรสงฆ์จะเป็นผู้ตัดสิน แต่หมอมโนกับคุณไพบูลย์ ได้ทำหน้าที่ที่เขาพึงกระทำครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ควายแดงในนี้และข้างนอกพึงดูไว้เป็นแบบอย่าง