ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พันตำรวจเอกชาญชัย เนติรัฐการ อดีตผู้กำกับการตำรวจภูธรโพธิ์แก้ว อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ฐานให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ เพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ กรณีเสนอเงิน 15 ถึง 30 ล้านบาท ให้หม่อมหลวงไกรฤกธิ์ เกษมสันต์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ช่วยเหลือในการพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทย เมื่อปี 2549 คดี นี้ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำคุก พันตำรวจเอกชาญชัย เป็นเวลา3 ปี โดยไม่รอลงอาญา จนกระทั่งวันนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพร้อมปรึกษาหารือกัน แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีหม่อมหลวงไกรฤกธิ์ เบิกความยืนยันข้อเท็จจริง และพยานเบิกความสนับสนุน ซึ่งคำเบิกความสอดคล้องตรงกัน พยานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ว่าพันตำรวจเอกชาญชัย เสนอเงิน 15 ถึง 30 ล้านบาท เพื่อจูงใจหม่อมหลวงไกรฤกธิ์ ตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทยจริง แต่พันตำรวจเอกชาญชัย รับสารภาพและการนำสืบเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงพิพากษาแก้ ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี และเนื่องจากจำเลยเคยรับราชการ ซึ่งรู้กฎหมายเป็นอย่างดี แต่กลับกระทำผิดร้ายแรงเองเสียเอง โทษจำคุกจึงไม่รอลงอาญา จำคุกอดีตตร.เสนอสินบนคดียุบไทยรักไทย วันนี้มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีที่เกิดเหตุการณ์มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว คือคดีที่มีการกล่าวหาอดีตตำรวจท่านหนึ่ง คือ พันตำรวจเอกชาญชัย เนติรัฐการ เสนอสินบนให้กับตุลาการรัฐธรรมนูญท่านหนึ่ง ให้ช่วยเหลือในคดียุบพรรคไทยรักไทย ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกนายตำรวจท่านนี้ เช่นเดียวกับที่ศาลชั้นต้นเคยตัดสิน เพราะเชื่อว่ามีการเสนอสินบนให้จริง คดีนี้ พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พันตำรวจเอก ชาญชัย เนติรัฐการ อดีตผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรตำบลโพธิ์แก้ว อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เป็นจำเลยในความผิดฐาน ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน // หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิ ชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 // และผู้ใดขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานตำแหน่งตุลาการ อัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167 พฤติการณ์ตามฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ถึง 22 ตุลาคม 2549 จำเลยได้ไปพบ หม่อมหลวง ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ห้องทำงานที่ศาลฎีกา แล้วรับว่าจะให้เงินจำนวน 15 ล้านบาทกับหม่อมหลวงไกรฤกษ์ เพื่อให้ช่วยเหลือในการพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทย จากนั้นจำเลยยังตามไปพบหม่อมหลวงไกรฤกษ์ที่บ้านพัก และเสนอเงินเพิ่มเป็น 30 ล้านบาทด้วย โดยจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี อ้างเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์กับ หม่อมหลวงไกรฤกษ์ การไปพบก็เพื่อส่งหนังสือเชิญร่วมงานเลี้ยงรุ่น และการกล่าวถึงสินบนก็เพียงพูดคุยหยอกล้อในฐานะเพื่อนเท่านั้น เพราะขณะนั้นมีข่าวลือเรื่องวิ่งเต้นคดี ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 ว่า หม่อมหลวงไกรฤกษ์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ขณะที่การกระทำของจำเลย ถือเป็นการเห็นแก่ตัว ทำลายความเชื่อถือและศรัทธาของระบบศาลและตุลาการซึ่งถือเป็นที่พึ่งสุดท้าย ของประชาชน จึงพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167 ให้จำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว เห็นว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยที่อ้างว่าเป็นเพียงการพูดหยอกล้อหลังจากที่มีข่าวเรื่อง การวิ่งเต้นปรากฏทางสื่อมวลชนนั้น ศาลฟังว่า หม่อมหลวงไกรฤกษ์กับจำเลยไม่ได้มีความสนิทสนมกันถึงขนาดรับประทานอาหารหรือ ไปไหนมาไหนด้วยกัน จึงไม่ใช่เหตุที่พยานจะมาพูดคุยหยอกล้อเรื่องดังกล่าว และข้อเท็จจริงข่าวการวิ่งเต้นเกิดขึ้นภายหลังจาก นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ออกมาให้สัมภาษณ์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2550 ช่วงที่จำเลยไปพบกับหม่อมหลวงไกรฤกษ์ ยังไม่มีข่าวเรื่องการวิ่งเต้นศาล พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนัก คดีนี้จึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยไปพบหม่อมหลวงไกรฤกษ์ทั้งที่ทำงานและที่บ้าน พร้อมเสนอเงินให้ 15 ถึง 30 ล้านบาทเพื่อจูงใจให้ตัดสินคดียุบพรรคเป็นประโยชน์ต่อพรรคไทยรักไทย ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลรอการลงโทษนั้น ศาลพิพากษาเอาไว้แบบนี้ว่า “จำเลยเคยรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมมาก่อน แต่กลับมากระทำความผิดเสียเอง นอกจากจะมีผลกระทบก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยังทำให้เสื่อมเสียต่อสถานบันศาล และชื่อเสียงเกียรติภูมิของบุคคลซึ่งทำหน้าที่เป็นตุลาการ ทำให้ประชาชนคลางแคลงใจ ขาดความเชื่อถือศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนเสียหายของผู้อื่น นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือมีเหตุอื่นตามที่อ้างมาในอุทธรณ์ก็ตาม ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อย่างไรก็ตาม ในชั้นพิจารณา จำเลยได้แถลงรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์บางส่วน และทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับว่าคดีมีเหตุบรรเทาโทษ แต่ศาลชั้นต้นมิได้ลดโทษให้ จึงเห็นสมควรแก้ไขดุลพินิจการกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่ง คดี พิพากษาแก้เป็นว่า คดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี” ภายหลังรับฟังคำพิพากษา ทนายความของ พันตำรวจเอกชาญชัย ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกาสู้คดี คดีส่อเข้าข่ายต้องห้ามฎีกา สำหรับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนี้ หากพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 อาจเข้าข่ายเป็นคดีต้องห้ามฎีกา เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ซึ่งห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนปัญหาข้อกฎหมายไม่มีประเด็นให้ฎีกา เนื่องจากคดีไม่ได้มีปัญหาข้อกฎหมาย อย่างไรก็ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เปิดช่องเอาไว้ว่า หากมีผู้พิพากษาที่ร่วมพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งใน ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ลงชื่อรับรองในฎีกา ก็ให้ศาลฎีการับไว้พิจารณาได้ http://www.now26.tv/view/69776 ศาลอุทธรณ์แก้จำคุก2ปี “พ.ต.อ.ชาญชัย”ฐานติดสินบนตลก.รธน.คดียุบทรท.เมื่อปี49ไม่รออาญา
อ้าว ควายแดงในบอร์ดนี้ไม่เอาหลักฐานไปให้ไว้สู้คดีเหรอครับ ‘จาตุรนต์’ชี้ ทรท.ถูกยุบ คือความอยุติธรรมจาก‘ตุลาการภิวัฒน์’ หวังเป็นบทเรียน!! จากคดียุบ 'ไทยรักไทย'พิสูจน์ว่า ตลก. รธน.ทำหน้าที่โดยบกพร่อง ไม่ได้ทำการสืบพยานอย่างละเอียด เขามีหลักฐานแน่นหนามากๆ ครับ ที่บอกว่า ไทยรักไทยไม่ผิด พันตำรวจเอกชาญชัย เนติรัฐการ นี่ก็โง่มากๆ ด้วย ตัวเองไม่ผิด ยังไปเสนอเงินให้เขาอีก
ขี้ข้าติดคุก นายใหญ่หนีไปลั๊ลลาเมืองนอก ก็ไม่รู้ใครกันแน่ ใครไพร่ ใครอำมาตย์ หยั่งงี้ยังคิดไม่ได้อีก ก็ควายเกินคนแร้ว
อย่าไปซ้ำเติมพวกเวรนี่เลยครับ มันได้รับรางวัลเป็นการตอบแทนที่ทำงานให้กับพ่อมันแล้ว ทุกคนที่ทำงานให้พ่อมันอนาคตดีทั้งนั้น ไม่ตาย ก็ติดคุก ไม่ติดคุกตอนนี้ก็เริ่มปากแห้ง ผมว่าไอ้พวกเวรนี่ชอบอีกต่างหากที่ได้รับรางวัลชีวิตแบบนี้
ตามสูตรครับ ถ้ายกฟ้อง = ศาลตัดสินถูกต้อง ถ้าผิดจริง = ศาลเอียง, 2 มาตรฐาน, อำมาตย์อยู่เบื้องหลัง และ อีกสารพัดเหตุผลสุดแท้จะหามาอ้างได้