อย่ายอมครัชชชช เพื่อพลังงานไทย “รสนา” แฉ “ปิยสวัสดิ์” ซื้อโฆษณาคมชัดลึกบิดเบือน แจงลบโพสต์ตามทนายแนะนำ สปช.ด้านพลังงานแฉ “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” ซื้อโฆษณา “คมชัดลึก” ลงประกาศบิดเบือน จงใจให้ตนถูกมองแพ้คดี เผยแพร่ข้อมูลด้านพลังงานคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทั้งที่เหตุไกล่เกลี่ยเพราะทนายขอให้ลบโพสต์ อีกทั้งบันทึกหน้าศาลมีเพียงการลงข้อความไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำไม่สุภาพเท่านั้น ไม่คิดว่าเป็นเล่ห์เหลี่ยมใช้ประโยชน์โดยไม่สุจริต พร้อมเตือนระวังพิจารณาข้อมูลด้านพลังงานจากคนประเภทนี้ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ วันนี้ (5 ก.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านการปฏิรูปพลังงาน ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “รสนา โตสิตระกูล” ระบุว่า นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ได้ซื้อหน้าโฆษณาในหนังสือพิมพ์คมชัดลึก วันพุธที่ 2 กันยายน 2558 ลงเผยแพร่การเจรจาไกล่เกลี่ยในคดีต่างๆ ซึ่งรวมถึงการไกล่เกลี่ยกับดิฉันเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558ด้วย โดยจงใจทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดว่า คนที่ยอมไกล่เกลี่ยคือผู้แพ้คดี และเป็นคนที่เผยแพร่ข้อมูลด้านพลังงานคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทุกคน เมื่อถูกฟ้องจึงยอมไกล่เกลี่ยกับนายปิยสวัสดิ์ การที่นายปิยสวัสดิ์เอาทุกกรณีมารวมอยู่ในกรอบโฆษณาเดียวกัน และพาดหัวว่าเนื่องจากมีการเผยแพร่ข้อมูลพลังงานที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ทำให้นายปิยสวัสดิ์เสียหาย จึงมีการฟ้องร้อง ซึ่งเป็นวิธีการเหมารวมเพื่อสร้างความรับรู้ที่ไม่ถูกต้องต่อสาธารณชนว่า คดีที่ฟ้องร้องกันเป็นเพราะการให้ข้อมูลเรื่องพลังงานที่ไม่ถูกต้อง “ในกรณีของดิฉัน นายปิยสวัสดิ์เขียนระบุว่า ได้ฟ้องร้องต่อศาลอาญาในข้อหานำเข้าและเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ (คดีที่ 1) และกรณีที่ น.ส รสนาเผยแพร่คำเบิกความของนายปิยสวัสดิ์เฉพาะส่วนที่ตอบทนายจำเลย โดยไม่มีส่วนคำเบิกความที่นายปิยสวัสดิ์ตอบทนายโจทก์ (คดีที่ 2) ความจริงของคดีที่นายปิยสวัสดิ์ละเว้นไม่พูดถึงก็คือ คดีที่ 1 นายปิยสวัสดิ์ฟ้องว่าดิฉันนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์จากบทความ “มหากาพย์ฮุบท่อก๊าซสมบัติชาติ” ศาลได้พิพากษายกฟ้อง และคดีนี้เป็นคดีแรกที่นายปิยสวัสดิ์แพ้ในการฟ้องร้อง ซึ่งนายปิยสวัสดิ์ยังอุทธรณ์คดีนี้อยู่ในวันไกล่เกลี่ย คำพิพากษาในคดีนี้ทำให้เกิดบรรทัดฐานสำหรับคดีอื่นหากมีการฟ้องเรื่องเอาความเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์ คดีที่ 2 เป็นคดีที่นายปิยสวัสดิ์ฟ้องต่อศาลว่าดิฉันเอาความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในกรณีว่าดิฉันได้นำคำเบิกความในคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ 1 มาลงเฉพาะคำเบิกความในส่วนที่ทนายจำเลยถามนายปิยสวัสดิ์เท่านั้น ไม่ได้ลงในส่วนที่ทนายโจทก์ถามนายปิยสวัสดิ์ด้วย มีบุคคลภายนอกมาพูดพาดพิงนายปิยสวัสดิ์ด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ ในการไกล่เกลี่ยวันนั้น ดิฉันมิได้ต้องการไกล่เกลี่ย แต่ทนายโจทก์อยากให้ไกล่เกลี่ย อยากยุติคดีเอง และได้พูดชัดเจนว่า กรณีนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร ก็แค่มีคนมาพูดวาจาไม่สุภาพ ตกลงกันได้ก็จะได้ลดคดีไป ศาลก็อยากให้ไกล่เกลี่ยกันได้ ด้วยความเกรงใจศาล ดิฉันจึงยอมไกล่เกลี่ย โดยในข้อตกลงที่บันทึกต่อหน้าศาล มีเพียงว่าจะลงข้อความในเฟซบุ๊ก ดังนี้ “ตามที่ข้าพเจ้าได้ลงข้อความในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ในเฟสบุ๊ค และมีบุคคลภายนอกเข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อคุณปิยสวัสดิ์ ด้วยข้อความที่ไม่สุภาพนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อความไม่สุภาพเหล่านั้น และไม่สนับสนุนการกระทำดังกล่าว จึงได้ลบข้อความดังกล่าวออกจากเฟซบุ๊กของข้าพเจ้า” ดิฉันเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดทนายของนายปิยสวัสดิ์จึงคะยั้นคะยอให้ยอมไกล่เกลี่ยเพื่อยุติคดีกับดิฉันนัก เพราะเป็นเล่ห์กลที่ถูกวางไว้เช่นนี้เอง ประการที่หนึ่ง เพื่อพลิกจากคดีที่นายปิยสวัสดิ์ไม่แน่ใจว่าตนเองจะชนะคดี (โดยเฉพาะคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ 1 นั้น แม้นายปิยสวัสดิ์จะยังอุทธรณ์อยู่ แต่ไม่มีข้อเท็จจริงใหม่) มาเป็นชัยชนะของนายปิยสวัสดิ์เพื่อสร้างการรับรู้ที่คลาดเคลื่อนต่อสาธารณชนว่าการไกล่เกลี่ยคดีของนายปิยสวัสดิ์นั้น เป็นเมตตาธรรมของนายปิยสวัสดิ์ที่ยอมถอนฟ้องหลายคดี ประการที่ 2 เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ที่นายปิยสวสดิ์ฟ้องแล้วไกล่เกลี่ย ด้วยการสร้างการรับรู้ต่อสาธารณชนที่ผิดว่าคนที่ถูกฟ้องและยอมไกล่เกลี่ยกับนายปิยสวัสดิ์ล้วนเป็นพวกให้ข้อมูลด้านพลังงานที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนายปิยสวัสดิ์จะนำคดีที่ไกล่เกลี่ยไปลงโฆษณาใน นสพ.แล้ว นายปิยสวัสดิ์ยังนำกรณีที่ไกล่เกลี่ยกับดิฉันไปเขียนขยายความต่อเติมในเฟสบุ๊คของตนเองว่าดิฉัน “ยอมรับว่าการแสดงความคิดเห็นของบุคคลภายนอกในเฟซบุ๊กของดิฉันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม และยอมลบโพสต์ของตนเองที่เป็นเหตุแห่งคดี” ทั้งที่ในกระบวนการไกล่เกลี่ยไม่มีการบันทึกข้อตกลงในลักษณะนี้แต่อย่างไร ข้อความของนายปิยสวัสดิ์เป็นการจงใจทำให้คนเข้าใจผิดว่า โพสต์ของดิฉันที่เป็นเหตุแห่งคดีเป็นโพสต์ที่มีความผิด ดิฉันจึงยอมลบออก ทั้งที่คดีนี้ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ถึงที่สุดว่า “โพสต์นี้มีความผิดจริงตามที่นำมาฟ้องร้องหรือไม่ เพราะมีการไกล่เกลี่ยก่อนคดีถึงที่สุด” การกระทำของนายปิยสวัสดิ์จะเป็นการทำลายกระบวนการไกล่เกลี่ยของศาลในอนาคต เพราะต่อไปจะไม่มีใครไว้วางใจว่าจะมีคนแบบนายปิยสวัสดิ์ที่นำการไกล่เกลี่ยไปแสวงหาประโยชน์ส่วนตนในลักษณะเช่นนี้อีกหรือไม่ น.ส.รสนาโพสต์อีกว่า การที่ดิฉันลบโพสต์ออกไปทั้งที่ในข้อตกลงที่บันทึกต่อหน้าศาลมีเพียงการลงข้อความไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำไม่สุภาพเท่านั้น เพราะทนายของนายปิยสวัสดิ์โทรมาหาทนายของดิฉันขอให้ลบโพสต์นั้นด้วย เพราะไม่คิดว่านี่คือเล่ห์เหลี่ยม ดิฉันก็ลบให้เพราะเห็นว่าเป็นโพสต์เก่าที่ไม่มีคนมาเขียนความเห็นหลังวันที่ 3 พฤษภาคม 2558 แล้ว แต่การลบโพสต์ของดิฉันกลับถูกนำไปอ้างอย่างไม่สุจริต ดิฉันนึกว่าการตกลงต่อหน้าศาลในฐานะสุภาพบุรุษ สุภาพสตรีเป็นหนทางแห่งสันติและการปรองดองตามวัตถุประสงค์แห่งการไกล่เกลี่ยคดี ไม่นึกว่านี่คือเล่ห์เหลี่ยมที่พลิกเอา “โอกาสแพ้คดีหากสู้คดีถึงที่สุด” มาเป็นการประกาศชัยชนะของตัวเองในลักษณะเช่นนี้ ดิฉันนึกถึงโคลงโลกนิติบทนี้จากกรณีที่เกิดขึ้น เสียสินสงวนศักดิ์ไว้ วงศ์หงส์ เสียศักดิ์สู้ประสงค์ สิ่งรู้ เสียรู้เร่งดำรง ความสัตย์ ไว้นา เสียสัตย์อย่าเสียสู้ ชีพม้วยมรณา จึงขอให้สาธารณชนได้โปรดพิจารณาเช่นกัน ว่าข้อมูลเรื่องพลังงานจากบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากการไกล่เกลี่ยโดยไม่สุจริตนั้นสมควรได้รับความเชื่อถือเพียงไร จึงขอเตือนสาธารณชนว่าควรพิจารณาข้อมูลด้านพลังงานจากคนประเภทนี้ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างยิ่ง” ที่มา http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000100731
ต่อไปนี้ขอให้เลิกไกล่เกลี่ย สู้คดีให้ถึงที่สุดครับ เอาให้คนที่บิดเบือนมันไม่มีหน้าจะพูดเรื่องพลังงานอีกต่อไปเลยครับ... ว่าแต่จะเป็นฝ่ายไหนกันนะ
ผมว่ายากครับ เล่นกันจนฝั่งนึงแทบไม่มีที่ยืนในสังคม อีกฝั่งก็เล่นกลับจนออกมาร้องคร่ำครวญ เมื่อเริ่มด้วยการโกหกหลอกลวง มันก็ต้องไปกันเรื่อยๆน้ำขุ่นๆสีข้างถลอก จบได้เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกว่าใส่ความโกหก