ศาลพิพากษาจำคุก 2 แนวร่วม นปช. 43 ปี 4 เดือน ยิง M79 ใส่ม็อบ กปปส. หน้าตึกชินวัตร 3 ********************************************************
แบบชัดๆไม่ต้องแปลซํ้า........... คุก43ปี4เดือน‘การ์ดนปช.’ยิงM79ใส่กปปส.ปี57 ศาลอาญาพิพากษาตัดสินจำคุก 43 ปี 4 เดือน ‘การ์ด นปช.-พวก’ ยิง M79 ใส่ กปปส. หน้าตึกชินฯ3 ปี 57 ชี้พยานหลักฐานชัด ที่ห้องพิจารณา 711 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 6 พ.ย.58 เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายดำ อ.3820/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายณรงค์ศักดิ์หรือตุ้ย พลายอร่าม อดีตการ์ด นปช. และนายพีรพงษ์ สินธุสนธิชาติ ผู้จัดหาอาวุธ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , กระทำการให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลฯ , ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 221 , 288 , 289 , 358 , 371 , 376 , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7 , 8 ทวิ , 38 , 55 , 72 , 72 ทวิ , 74 , 78 และ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15 , 42 โดยอัยการ บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค.57 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสอง กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันมีอาวุธปืนชนิดเครื่องยิงระเบิดสังหาร ขนาด 40 มิลลิเมตร 1 ลูก ที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ทางทหารไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วจำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันนำอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปที่ ถ.ลาดพร้าว , ถ.รัชดาภิเษก , ถ.พหลโยธิน และถ.วิภาวดี-รังสิต ที่เป็นทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุสมควร หลังจากนั้น พวกจำเลย ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุน ยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ชุมนุม หน้าอาคารชินวัตร 3 แขวงและเขตจตุจักร กทม. อันเป็นการยิงปืน ซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน และที่ชุมชน โดยมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งจำเลยทั้งสองกับพวกเล็งเห็นผลได้ว่า ลูกระเบิดยิง ชนิดระเบิดสังหารมีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรง สามารถทำอันตรายแก่ชีวิตบุคคลที่สัญจรผ่านบริเวณ ถ.วิภาวดี - รังสิต และกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ที่ชุมนุมอยู่บริเวณอาคารที่เกิดเหตุ ให้ถึงแก่ความตายและเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินได้ โดยจำเลยทั้งสองกับพวก กระทำไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากลูกกระสุนระเบิดตกห่างจากจุดที่นายประกิต กันยามา ผู้เสียหายที่ 1 ยืนอยู่ประมาณ 40 เมตร แล้วระเบิดขึ้น สะเก็ดระเบิดจึงไม่ถูกผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ถึงแก่ความตาย สมดังเจตนาของจำเลยทั้งสองกับพวก แต่มีสะเก็ดระเบิดกระเด็นถูกเสาอาคารโดมและต้นไม้ประดับของบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 20,000 บาท ภายหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ เก็บเศษสะเก็ดระเบิดได้ 1 ถุงเป็นของกลาง เหตุเกิดที่แขวงจตุจักร แขวงจันทรเกษม แขวงจอมพล แขวงลาดยาว เขตจตุจักร ต่อเนื่องแขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง , แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง , แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน , เขตสีกัน , เขตดอนเมือง และแขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม.เกี่ยวพันกัน โดยเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้ในวันที่ 16 ก.ค.57 และจำเลยที่ 2 ได้ในวันที่ 22 ก.ย.57 โดยจำเลยทั้งสอง เป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญา หมายเลขดำ อ.4334/2557 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ โดยวันนี้ศาลเบิกตัว จำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำฯ เพื่อฟังคำพิพากษา ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล จำเลยทั้งสองไม่ได้การประกันตัวแต่อย่างใด ศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์มี นายยงยุทธ หรือชินจัง บุญดี เบิกความว่า ได้โทรศัพท์หาจำเลยที่ 1 ให้มารับเพื่อเดินทางไปยิงระเบิดใส่กลุ่ม กปปส.ไม่ให้เดินมาปิดอาคารที่เกิดเหตุ โดยนัดพบกันที่บริเวณอนุสรณ์สถาน หรือสนามกีฬาธูปเตมีย์ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์มารับ โดยนั่งด้านหลังและเป็นคนยิง หลังก่อเหตุเสร็จแล้วจึงนำอาวุธปืนดังกล่าววางไว้ในรถยนต์เช่นเดิม แม้โจทก์จะมี นายยงยุทธ เบิกความเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และในชั้นสอบสวนนายยงยุทธให้การรับสารภาพ โดยให้ข้อเท็จจริงไว้สอดคล้องกัน คำเบิกความของนายยงยุทธ จึงรับฟังได้และโจทก์ ยังมีพ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ที่ร่วมสอบปากคำจำเลยที่ 1 กับเจ้าหน้าที่ทหาร เป็นพยานเบิกความว่า จำเลยที่ 1 เล่าข้อเท็จจริงให้ฟังว่า ร่วมกับนายยงยุทธ ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงออกมาจากหน้าต่างของรถยนต์ โดยจำเลยที่ 1 รับเครื่องยิงลูกระเบิด มาจากนายไข่ที่บริเวณลานจอดรถยนต์ ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว ซึ่งได้ลงบันทึกเป็นเอกสารหลักฐานสอดคล้องกันว่า จำเลยที่ 1 ทำหน้าที่ขับรถให้นายชินจัง ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่อาคารที่เกิดเหตุ และได้รับเงินจากจำเลยที่ 2 โดยโอนผ่านเข้าบัญชีนางพิสมัย หรือไหม งามผิว คนรัก ผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย และแม้ยอดเงินโอน ไม่ตรงจำนวนกัน แต่พบว่ามีการโอนโดยไม่มีสมุดคู่ฝาก หลังวันเกิดเหตุหลายครั้ง ซึ่งรวมจำนวนได้ 3,000 บาท และโจทก์ ยังมี พ.ต.ท.เฉลียง อินทิพย์ พนักงานสอบสวน เบิกความเป็นพยานยืนยันว่า ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และให้การยืนยันข้อเท็จจริงในบันทึกการซักถามว่า มีชายคนหนึ่งนำถุงใส่เต็นท์มามอบให้จำเลยที่ 1พร้อมบอกว่าภายในบรรจุเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 พร้อมลูกระเบิด จำเลยที่ 1 จึงเก็บมาไว้ที่เบาะด้านหลังรถยนต์ แล้วจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปรับนายยงยุทธจน กระทั่งไปถึงถ.หอวัง ปากทางออก ถ.วิภาวดี-รังสิตขาเข้า จำเลยที่ 1 จอดรถ นายยงยุทธซึ่งนั่งอยู่บริเวณด้านหลังเบาะ จึงเปิดกระจกข้างขวา แล้วใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เล็งและยิงไปยังอาคารที่เกิดเหตุ 1 นัด ประกอบกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.พหลโยธิน ก็เบิกความด้วยว่า หลังควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ได้ จึงพาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ชี้สถานที่ต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นพยานบุคคล พยานเอกสารและพยานวัตถุของโจทก์ที่นำสืบมา ล้วนสอดคล้องต้องกัน เชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความด้วยความจริง ส่วนพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ โดยการกระทำของจำเลยที่ 1 ถือเป็นตัวการร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนยิงไปในที่เกิดเหตุ และย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่า เมื่อยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 แล้วสะเก็ดระเบิดจะไปถูกกลุ่มผู้ชุมนุมได้ แต่เมื่อการกระทำไม่บรรลุผล จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าบุคคลอื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านและที่ชุมชน และฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นอกจากนี้เมื่อสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 กระเด็นไปถูกเสาอาคารโดมและต้นไม้ประดับของอาคารบริษัทเอสซีแอสเสท ฯ ได้รับความเสียหาย จึงมีความผิดฐานร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิดอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่นและมีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์ มี ร.ต.ท.ทรงวุฒิ นิยมพงษ์ พนักงานสอบสวนสน.พหลโยธิน เบิกความว่า เมื่อสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่า ได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 1 ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ที่ชั้น 5 ห้องอิมพีเรียลลาดพร้าว แล้วจำเลยที่ 1 เดินทางไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดที่ห้างดังกล่าว ต่อมาจึงไปรับนายยงยุทธไปก่อเหตุ แต่จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่ได้โอนเงินค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเงินนั้นเป็นค่าใช้จ่ายรายวัน และ พ.ต.ท.เฉลียง อินทิพย์ หนึ่งในคณะพนักงานสอบสวน พยานโจทก์อีกปาก เบิกความว่า ชั้นสอบสวนได้แจ้งข้อหาเดียวกับชั้นจับกุม ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ศาลเห็นว่า แม้พยานโจทก์ทั้งสอง จะเป็นพยานบอกเล่า แต่โจทก์ยังมีคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 เป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาที่มีข้อความระบุชัดว่า จำเลยที่ 2 กับพวกโทรศัพท์ปรึกษาหารือวางแผนกัน เพื่อจะยิงใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวและเลิกชุมนุม ประกอบมีข้อเท็จจริงอื่นด้วยว่า จำเลยที่ 2 เข้าร่วมกิจกรรมกับคนเสื้อแดงครั้งแรก จนกลุ่มดังกล่าวเปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่มนปช.แล้วร่วมชุมนุมกลุ่มนปช.จนไปรู้จักกับผู้ร่วมก่อเหตุ ไปร่วมฝึกอาวุธที่เขาชะเมา ซึ่งเป็นสวนหลังบ้านจำเลยที่ 2 ไปซื้ออาวุธปืนเอ็ม 16 ไปเป็นการ์ดนปช. ไปรับเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 รับอาวุธปืนอาก้า หรือเอเค 47 มาไว้ก่อเหตุ เป็นหนึ่งในผู้ประสานให้ นายกฤษดาหรือดา ไชยแค ผู้ต้องหาปาลูกระเบิดแบบ RGD 5 ใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่ ถ.บรรทัดทอง และบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลบหนีไปประเทศกัมพูชาทางด่านอรัญประเทศ ขับรถยนต์นำพวกไปปาระเบิดแบบ RGD 5 ใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส. อ.แกลง จ.ระยอง และส่งมอบเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ให้ซึ่งต่อมาพวก เอาไปก่อเหตุหลายท้องที่ เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาราชดำริ แยกราชประสงค์เป็นต้น และยังเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุอีกหลายครั้ง โดยข้อเท็จจริงดังกล่าวยาก ที่พนักงานสอบสวนจะแต่งขึ้นเพื่อปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 2 ให้ได้รับโทษทางอาญาได้ จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 288 , 289(4) , 358 , 371 , 376 พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรค , 38 วรรคหนึ่ง , 72 ทวิ วรรคสอง , 78 วรรคหนึ่ง วรรคสาม และ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง , 42 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่งจำคุกคนละ 12 ปี , จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง , ฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต แต่จำเลยทั้งสอง ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 43 ปี 4 เดือน และให้ริบของกลาง ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ จากโทษของจำเลยทั้งสอง ในคดีอาญาหมายเลขดำ อ.4334/2557 ของศาลอาญานั้น ยังไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ ผู้สื่อข่าวรายงาน ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว จำเลยทั้งสองก็ถูกนำตัวไปคุมขังยังเรือนจำต่อ ขณะที่วันนี้มีญาติ จำเลย 2-3 คน มาร่วมฟังคำพิพากษา โดยทนายความ ของจำเลย กล่าวด้วยว่า จะใช้ช่องทางตามกฎหมาย เพื่อยื่นอุทธรณ์คดีต่อ http://www.komchadluek.net/detail/20151106/216468.html
เป็น นปช. น่าภาคภูมิใจนะครับ ...ได้ช่วยกำจัดขยะ ทำให้บ้านเมืองน่าอยู่ ได้บริจาคเลือด ได้เป็นเสียงส่วนใหญ่ ได้เที่ยวเมืองนอก กินฟรี อยู่ฟรี ได้ใกล้ชิดท่านทักษิณ วีระบุหลุดประชาติ๊บไต ได้โอกาสแสดงความจงรักภักดี โดยการติดคุกแทนแกนนำ เป็น นปช. ได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด ครับ
ถึงกะท้าให้บอกลูกหลานว่าเป็นเสื้อแดงเชียวเหรอครับ เอาแค่กล้าบอกคนทั่วไปว่า “ฉันเป็นเสื้อแดง” ยังไม่กล้าพูดเล้ย เอาแค่เสื้อแดงใบบอร์ดนี้ก็เถอะ มีใครกล้าบอกตัวเองเป็นเสื้อแดงมั่ง ...กระทั่งไอ้นายเวร
ศาลสั่งจำคุกตลอดชีวิต ลุงวัฒนา อดีตวิศวกร มือวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎ และหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ก็เพราะพวกสามโพสท์ยี่สิบบาทนี่แหละครับที่ทำให้บางคนที่ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บ ต้องเอาเรื่องเลวๆของเสื้อแดงและเผาไทยมาโพสท์เตือนความจำ
กทม.23 มี.ค. – ศาลพิพากษาจำคุก”วัฒนา ภุมเรศ”อดีตวิศวกรไฟฟ้า กฟผ.มือลอบวางระเบิด กทม.สำนวนที่ 7 หากรวมโทษอีก 6 สำนวนที่จำเลยไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้ คงจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 160 ปี 54 เดือน ศาลอาญา รัชดาฯ นัดฟังคำพิพากษาคดีพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 ยื่นฟ้องนายวัฒนา ภุมเรศ อดีตวิศวกรไฟฟ้า กฟผ. เป็นจำเลยฐาน พยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำ ประกอบ มี และใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย กรณีนำระเบิดไปวางทางเท้าติดตู้โทรศัพท์สาธารณะ ปากซอยราชวิถี 24 เมื่อปี 2550 คดีนี้เป็นสำนวนที่ 7 ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในวันเวลาตามพยานหลักฐานที่โจทก์ได้ยื่นฟ้อง มีความเชื่องโยงกับวัตถุระเบิดที่ตรวจพบในบ้านและวัตถุระเบิดที่พบในที่เกิดเหตุ มีการประกอบด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นลักษณะเดียวกันกับ 6 คดีก่อนหน้า อีกทั้งจำเลยมีประวัติการศึกษาและการทำงานรวมถึงมีความเชี่ยวชาญด้านการประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวนและประกอบระเบิดให้พนักงานสอบสวนดูได้ ทำให้เชื่อได้ว่าพนักงานสอบสวน ไม่ได้เสกสรรปั้นแต่ง จึงไม่มีเหตุสงสัยว่ากลั่นแกล้ง อีกทั้งพยานโจทก์ให้การสอดคล้องต้องกัน ประกอบกับไม่เคยรู้จักหรือมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องพิพากษาให้จำคุกฐาน ทำ ประกอบ มี และใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย 3 ปี, ฐานใช้วัตถุระเบิดและพยายามฆ่า จำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐาน ทำ ประกอบ มี และใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย จำคุก 1 ปี 6 เดือน, ฐานใช้วัตถุระเบิดและพยายามฆ่า จำคุก 25 ปี รวมจำคุก 26 ปี 6 เดือน สำหรับคดีที่นายวัฒนา ถูกอัยการยื่นฟ้องต่อศาลมี 7 สำนวน พิพากษาไปก่อนหน้านี้ 6 สำนวน โดยไม่มีการยื่นอุทธรณ์ประกอบด้วยคดีครอบครองวัตถุระเบิดซึ่งพบในบ้านพักย่านบางเขน ศาลตัดสินจำคุก 4 ปี ปรับ 975 บาท, คดีระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า จำคุก 26 ปี 12 เดือน และปรับ 500 บาท, คดีระเบิดหน้ากองสลากเดิม จำคุก 26 ปี 12 เดือน ปรับ 500 บาท พร้อมให้ชดใช้หญิงผู้เสียหาย 1 ราย จำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันเกิดเหตุ, คดีระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ จำคุก 26 ปี 12 เดือน ปรับ 500 บาท และให้ชดใช้ผู้เสียหาย 1 ราย จำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันเกิดเหตุ, คดีระเบิดหน้าโรงภาพยนตร์เมเจอร์ฯ เมื่อปี 2550 จำคุก 26 ปี 6 เดือน และคดีนำระเบิดไปวางที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน จำคุก 26 ปี 6 เดือน ทั้งนี้ในการลงโทษนั้นศาลให้นับโทษจำคุกนายวัฒนา ต่อจากกันตามที่อัยการร้องขอ ซึ่งเมื่อรวมโทษ 7 สำนวนที่ศาลมีคำพิพากษา รวมจำคุกนายวัฒนา 160 ปี 54 เดือน.-สำนักข่าวไทย http://www.tnamcot.com/view/5ab49072e3f8e420a343a3b1
อยากรู้ว่านายวัฒนารู้สึกอย่างไรที่ตัวเองคงต้องหมดอายุขัยในคุกขณะบรรดานายๆของเขารวยจนปลิ้น อยู่เมืองไทยบ้างเมืองนอกบ้าง ตกลงแล้วนายวัฒนาลงทุนทำร้ายแผ่นดินเกิดเพื่อใคร?
ยุคอีโง่ ก็ตอนช่วงหลังของปี 2011 (2554) - ช่วงตอนต้นของปี 2014 (2557) อะครับ https://tradingeconomics.com/thailand/gdp-growth-annual https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?end=2016&locations=TH&start=2010
ผลงานของอิปรูในปี 55 ดีนะครับ กราฟพุ่งสูงปรี๊ด เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น หลังจากนั้นก็ 555 ฉิบหายไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวัน