ฟังคุณเทพไท ให้ความคิดเห็นแล้ว ก็น่ากังวลนะครับ ที่ใครลง รมต แล้ว ไม่มีสิทธิ์ลง สส ถ้าพรรคแพ้ คนที่ลง รมต ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในสภาเลย ซึ่งแต่ละพรรค ก็ต้องเอา หัวกะทิของพรรค เป็น รมต อยู่แล้ว แบบนี้ฝ่ายค้านที่เป็นนักการเมืองมานาน จะตรวจสอบรัฐบาลไม่ได้เลย เพราะสอบตกไปแล้ว
เคยเสนอว่าควรเลือกนายกโดยตรง แต่ที่มาของผู้สมัครชิงตำแหน่งควรมาจากสภาแบบที่อินโดนีเซีย. วิธีการคือให้สภาเลือกผู้สมัครชิงตำแหน่ง โดยต้องได้เสียงส.ส. 30% เท่ากับมีการเลือกตั้ง 2 ครั้ง นายกไม่สามารถยุบสภา แต่สภารัฐสภา(สส. + ส.ว.) สามรถถอดถอนได้ เมื่อนายกพ้นสภาพก็ให้สภาเลือกผู้ชิงตำแหน่งนายกใหม่
แต่ผมกลับคิดว่า วิธีนี้จะทำให้พรรคการเมืองมีการพัฒนาเดินหน้าไม่ย่ำอยู่กับที่นะ สส.มือเก่าที่อาวุโสสูงประสบการณ์เยอะก็ไปแข่งในสนามฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติก็สร้างคนรุ่นใหม่มาแสดงฝีมือ+หาประสบการณ์ด้านการเมืองแทน
ผมกลัวว่า ฝ่ายค้านจะอ่อนแอนี่สิครับ เพราะจะมี สส อาจจะหน้าใหม่ หรือประสบการณ์น้อย มาอยู่ในสภา แล้วจะตอบโต้รัฐบาลอย่างไร
เท่าที่ฟัง ๆ มา มันยังไม่มีรายละเอียด เห็นบอกว่า สปช จะมีการประชุมกันอยู่ คิดว่า เทพไท อาจกังวลมากไปหน่อย เพราะถ้าเป็นรูปแบบนี้ คงไม่น่าผ่านหรอก ถ้าผ่านออกไปมันจะไม่มีพรรคการเมืองไหนยอมรับได้ และผมก็มองไม่ออกว่า ถ้าเป็นรูปแบบนี้ เขาต้องการแก้ปัญหาเรื่องอะไร ทำไปแล้วมันแก้ปัญหาได้หรือไม่ ถ้าจะทำรูปแบบนี้ ทำไมไม่เลือกฝ่ายบริหารโดยตรงไปเลย เพราะเวลาเขียนรัฐธรรมนูญก็เขียนว่าเราใช้ระบบรัฐสภามีฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ สามอำนาจนี้คานอำนาจกัน เพราะฉะนั้นเมื่อจะใช้รูปแบบนี้ ก็ไปเลือกฝ่ายบริหารโดยตรงแยกจากฝ่ายนิติบัญญัติไปเลย โดยห้ามผู้ที่จะสมัคร สส ฝ่ายนิติบัญัติสังกัดพรรคการเมือง ต้องเป็นผู้สมัครอิสระเท่านั้น สำหรับฝ่ายบริหาร ก็เลือกเหมือนระบบบัญชีรายชื่อนั่นแหละ ใครได้คะแนนสูงสุดก็บริหารประเทศไป ใครได้คะแนนน้อยกว่าก็เป็นฝ่ายค้านไป ไม่ต้องไปวิ่งผสมพันธุ์กับพรรคต่าง ๆ ให้เมื่อย เพราะพรรคที่ได้คะแนนน้อยกว่าต้องเป็นฝ่ายค้านหมด เพียงแต่ สส ฝ่ายบริหารนั้นต้องกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจังหวัดของประเทศเท่านั้น เช่นมี 77 จังหวัดก็มี สส ที่ลงสมัครฝ่ายบริหารได้แค่ 77 คน ส่วนพรรคไหนจะได้เท่าไรก็ไปคิดเอาตามสัดสวนที่ได้รับเลือกเหมือนบัญชีรายชื่อนั่นแหละ ผมมองว่าวิธีนี้ จะแยกฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกันได้ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติต้องเป็นกลาง ถ้ารัฐบาลทำดีก็สนับสนุน ถ้ารัฐบาลทำเลวก็คัดค้าน แต่ทุกวันนี้ สส ฝ่ายนิติบัญญัติ กับ สส ฝ่ายบริหารมันปนกันมั่วแล้วมันจะเป็นกลางไปตรวจสอบกันได้อย่างไร อีกประเด็นหนึ่งที่ผมเห็นว่า ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันคือ หน้าที่ของ สส ในฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมันต้องกำหนดให้ชัดว่าเข้ามาทำอะไร ไม่ใช่ได้รับเลือกมาเป็น สส ฝ่ายนิติบัญญัติ แล้วไปแย่งหน้าที่ อบต ทำงานช่วยเหลือน้ำท่วมไฟไหม้แจกของ เพราะถ้าอยากทำแบบนั้่น ควรไปสมัครเป็น อบต อบจ หรือ สจ สข ดีกว่า ที่ผ่านมาบางรัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติแทบจะไม่มีบทบาทในการพิจารณาออกกฎหมายเลย เพราะมัวไปทำเรื่องให้ฝ่ายบริหารอย่างเดียวกฎหมายค้างอยู่ในสภาเป็นร้อยกลับไม่สนใจ ผมว่าถ้ายังกำหนดกฎเกณฑ์อะไรที่มันต้องเหลือบตาดูต่างประเทศว่าเขาทำหรือเปล่า ถ้าไม่มีประเทศไหนทำเราจะทำได้เหรอ มันคงแก้ปัญหาของประเทศไม่ได้หรอก
มันตอบความต้องการของประชาชนดีนะ บางที่ก็อยากให้ สส. คนเดิม ของพรรคนึงอยู่ ในพื้นที่ดูแลเรา แต่ขณะเดียวกันก็อยากใด้ คนของอีกพรรคนึงเป็นนายก ผมไม่รู้เหมือนกันมันจะดีรึเปล่าว แต่อยากให้เป็นแบบนี้ - แยกฝ่ายนิิบัญญัติออกจากฝ่ายบริหาร - สส. พิจาณากฎหมาย อย่างเดียว ไม่ต้องมีหนีประชุมไป งานบวช งานแต่งชาวบ้าน อีกต่อไป - งานซ่อมถนน ซ่อมไฟ ดูแลสาธารณูปโภคต่าง ให้เป็นหน้าที่ของ อบต. อบจ. ผู้ว่า ไป - เลือกผู้ว่ามาทำแทน สส. ไปเลยก็ดี เหล่า สส. เก่า ชอบงานบริหาร บริการประชาชนมากกว่าประชุมสภา ก็ไปสมัครลงผู้ว่าแทน - เลือกนายกโดยตรง นายกไม่ต้องเป็น สส. ก็ได้ - เลือกตั้งแมร่งบ่อยๆ อยากได้ประชาธิปไตยกันนักก็เลือกกันทุกปีไปเลย ทั้ง อบต. ผู้ว่า. สส. สว. นายก เอาให้อ้วกแตกไปข้างเลย พูดจริงไม่ได้ประชด อะไรไม่ดีไม่ถูกใจ ประชาชนจะได้ปรับเปลี่ยนได้ตลอด อาจจะเปลืองตังค์ไปบ้าง แต่หากมันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ผมว่าคุ้ม
ให้พรรคมีอำนาจเหนือ ส.ส. ผลคือเกิดปรกฎการณ์นายทุนครองพรรค แบบทีทักษิณทำ ให้เลือกนายกโดยตรง คิดหรือว่าแค่ซื้อคะแนนเกินครึ่งเพื่อให้ได้อำนาจรัฐมันจะทำไม่ได้? - พรรคเพื่อไทยเขายังได้ ส.ส.เกิดครึ่งสภา ผมก็ไม่เข้าใจนักร่างรัฐธรรมนูญว่าคิดอะไรอยู่ "ปัญหาตอนนี้คือนักการเมืองคอรัปชั่น" ทางแก้คือเขียนกติกาให้การโกงทำได้ยาก เช่น คดีคอรัปชั่นไม่มีอายุความ ถามหน่อย การให้เลือกนายกโดยตรง มันเป็นการแก้ปัญหาอะไร?
ไม่เห็นด้วยครับ ผมคิดว่า ประชาชน เลือก สส. ไปแล้ว ก็ให้อำนาจ สส. ไปเลือก นายก แล้วนายก ก็ไปเลือก รัฐมนตรี ทั้งคณะ แต่ ผมขอเสนอ ถ้า สส. ที่เราเลือก มันทรยศ ประชาชน จะต้องมีสิทธิ์ ถอดถอน จากการเป็น สส. ได้ ปีละครั้ง และให้ สส. ยกมือ ไว้วางใจ/ไม่ไว้วางใจ นายก ปีละครั้งเพื่อสะท้อนเสียงจากประชาชน
ก็ที่เลือกๆมากันหกสิบปีนี่..คิดว่าคนไทยพัฒนาดีพอจะเลือกนักการเสืองที่ดีพอมาเป็นนายกได้ไหมล่ะครับ คุณภาพคนแย่ ก็ได้นักการเมืองห่วยครับ แถมซื้อเสียงได้อีก ก็ผูกขาดนายกโดยสายตระกูลแบบเกาหลีเหนือกันไป ทั้งที่ตูประเทศประชาธิปไตยแท้ๆ
ต่อให้คิดระบบดียังไงแต่ถ้าต้องเลือกตั้งตอนนี้พวกแม๊วมันก็ยังได้เสียงข้างมากอยู่ดีแหละครับเพราะคนที่มีสิทธิ์ส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่มีคุณภาพพอจะเลือกตั้ง และเจ้าหน้าที่รัฐทาสแม๊วก็ยังมีอยู่มาก ผมมองว่าทางเดียวที่จะทำให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากวังวนนรกนี่ได้คือต้องปฏิรูประบบการศึกษา พัฒนาคุณภาพคนให้สูงกว่าที่เป็นอยู่นี่ก่อน แล้วก็ต้องไปให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับชาวบ้านอย่างจริงจัง ต่อเนื่องแบบหลายปีเลย เพราะพวกที่โดนล้างสมองนี่คงไม่สามารถกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ในระยะเวลาอันสั้น รัฐบาลพลเอกประยุทธก็ควรจะอยู่ไปนานๆหน่อย ถ้าอยู่ปีเดียวแล้วถอยออกมาต่อให้ทำไว้ดียังไงผมมั่นใจว่าเสียของแน่ๆ อยู่ไปเลย 4-8 ปี ไม่ต้องไปสนว่าพวกโคตรพ่อโคตรแม่ประชาธิปไตยจะออกมาเห่าหอนอะไร เพราะถ้าบริหารดี จัดการปัญหาในสังคมที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งไม่เคยทำได้ ถ้าเกิดมีคนในรัฐบาลทำผิดก็จัดการอย่างจริงจัง ประชาชนส่วนใหญ่เขาไม่สนใจหรอกว่าประเทศเราจะปกครองแบบใหนถ้าทำแบบนี้ได้ยังไงก็สนับสนุนรัฐบาลแน่นอน
เนี่ยะๆๆๆ...ที่ตาแกกังวล ก็น่าคิดน่ะ... ถ้าผู้คนของเราจำนวนมาก ยังชื่นชอบ ชื่นชมอยู่กับ ปชต. 3 วินาที…
น่าสนใจครับ ตรงที่ พอจับ รมต โกงได้ ก็เอาคนใหม่มาแทน รัฐบาลยังอยู่ แต่ถึงจับได้ว่าโกง ก็ต้องไปพิสูจน์ในศาลอีก กว่าจะฟ้องศาล ผ่าน ปปช ตรวจสอบ ก็พ้น 4 ปี พอดี ก็ไม่ได้เปลี่ยน รมต อยู่ดีครับ รัฐบาลก็โกงสบั่นหั่นแหลกเลย ภาพลักษณ์ไม่ต้องสน เพราะอ้างว่าประชาชนเลือกมา
ผมว่าไอ้เรื่องระบบเอาไว้แก้ทีหลังก่อนดีกว่า มาหาวิธีจำกัดและล้อมคอกพวกนักการเมืองโกงกิน อย่าให้ได้ผุดได้เกิด พวกนี้คือต้นเหตุของการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และอิทธิพลต่างๆ รวมถึงครอบครัวการเมือง ถ้าไม่มีคนเสนอ ก็คงไม่มีคนสนอง
ผมไม่รู้จักมักจี่กับ สส เลย เพราะไม่ใช่คนท้องถิ่น แต่ก็เลือกเพราะเห็นว่าอยู่ทีมเดียวกับคนที่หมายตาอยากให้เป็นนายก เพราะฉนั้นเลือกนายกไปเลยก็ดี เสนอตัว วัดกึ๋นกันเลย
ข้อสงสัย.... 1. หากเกิดเหตุการณ์เช่น สส. พื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นของพรรคเพื่อไทย แต่ชาวบ้านดันเลือกนายกโดยตรงเป็นพี่มาร์ค ซะงั้น มันจะเกิดอะไรขึ้นครับ? แล้วมันจะบริหารบ้านเมืองกันได้มั๊ย? 2. หากนายกโดยตรง มาพร้อมกับระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีมีประสิทธิภาพ ล่ะ? จะมีปัญหาอีกมั๊ย? กรณีแบบ อีปู โกงทั้งคณะ อีปูโดนข้อหาละเลยไม่ควบคุมดูแล และหากมีหลักฐานว่ารู้เห็นเป็นใจจะโดนด้วย พ้นการปฎิบัติหน้าที่โดยศาล เมื่อมีการทำผิดรัฐธรรมนูญ งั้นระบบนายกโดยตรง เป็นปัญหาตรวจสอบไม่ได้ตรงไหน? 3. ระบบปัจจุบัน มีอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกก็เหมือนไม่มีอยู่แล้ว หากรัฐบาลครองเสียงข้างมากก็รอดตลอด ก็ต้องพึ่งศาลเอาออกให้ ระบบนายกโดยตรงก็คงไม่ต่างกัน หากจะเอาอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีประสิทธิภาพ ต้องยกเลิกระบบพรรคการเมืองก่อน พร้อมร่างกฎหมาย ป้องกัน สส. ขายตัว เช่น พิสูจน์ได้ว่า สส. มีการรับเงินจากผู้มีส่วนได้เสีย โดนสอย+แบนจากสนามการเมือง 5 ปี ฯลฯ 4. ระบบนายกโดยตรง ต้องมาพร้อมกับ การกระจายอำนาจ ลด. อำนาจ สส. ลง จะให้ดี ต้องมาพร้อมเพ๊กเกจ กฎหมายควบคุม การออกนโยบายประชานิยมด้วย เช่น โครงการขาดทุนเกิน...... ต้องยุติโครงการ และให้คณะรัฐมนตรีออกทั้งคณะ ประชาชนสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากพรรคการเมือง ฯลฯ
ถ้าทำระบบเลือกตั้งแบบเก่า ให้เลือกคนที่จะเข้ามาเป็นนายก ระบุตัวไปเลย มีการดีเบต ระหว่างแคนดิเดตนายก แต่ละพรรค น่าจะป้องกันการเอาคนโง่ๆ ที่มาจากตระกูลขี้โกงได้บ้างนะครับ
เห็นด้วยนะคะ เรื่องดีเบตแคนดิเดทนายกเนี่ย จะได้ไม่ต้องมาทนอับอายเรื่องการพูดของนายกกันอีก ดีเบตกันซักสองสามรอบไปเลย
มาฟังติงเหล่ ถาม 8 ข้อ เกี่ยวกับการเลือกนายกโดยตรงครับ น่าคิดนะครับ 1. การเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารโดยตรงโดยประชาชน และแยกฝ่ายบริหาร ออกจากฝ่ายนิติบัญญัติ สาระคล้ายระบอบที่สหรัฐฯ ใช้เกือบทุกประการ ไม่ว่าจะเรียกว่าอย่างไร 2. ผู้เสนอแนวคิดนี้ให้เหตุผลว่า การเลือกตั้งในระบบเดิม มีการซื้อเสียง ถามว่า การเลือกนายกฯ โดยตรง มีหลักประกันอะไรที่จะไม่มีการซื้อเสียงกันขนานใหญ่ เพราะเดิมพันสูง คือ เก้าอี้นายกฯ ชัดเจน 3. ผู้เสนอให้เลือกคณะรัฐมนตรี พร้อมกับเลือกนายกฯ ไปด้วย โดยอ้างว่า เพื่อให้ประชาชนเห็นตัวก่อนเลือก คำถามคือ นายกฯ ยังมีอำนาจปรับ ครม.หรือไม่ เพราะรัฐมนตรีมาจากการเลือกของประชาชนโดยตรง เหมือนตัวนายกฯ 4. ระบอบประธานาธิบดี มีการเลือกตั้งเฉพาะตัวประธานาธิบดี แล้ว ปธน.ไปตั้งรัฐมนตรี หากทำงานไม่ดี ปลดได้ และตั้งคนในพรรคเดียวกัน หรือข้ามพรรคก็ได้ ยืดหยุ่นเพื่อให้ได้คนดีที่สุด 5. ตามที่เสนอ ถ้านายกฯ พ้นจากตำแหน่ง รองนายกฯ ขึ้นมาเป็นนายกฯ แทนใช่ไหม เหมือนที่เมื่อประธานาธิบดีรุสเวลท์ เสียชีวิต แล้วรองประธานาธิบดีทรูแมน ขึ้นเป็น ปธน.แทน หรือต้องเลือกตั้งกันใหม่ทั้งประเทศ 6. ตั้งแต่ ปี 2475 ประเทศไทยใช้ระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ ที่เรียกว่า เวสท์มินสเตอร์โมเดล ครั้งนี้ เราจะข้ามแอตแลนติคไปเอาวอชิงตันโมเดลแล้วใช่ไหม 7. เมื่อทั้งนายกฯ และ ส.ส. มาจากการเลือกตั้งโดยตรง นายกฯ ยุบสภาไม่ได้ ส่วนสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ไม่ได้ กลไกที่จะตรวจสอบนายกฯ และฝ่ายบริหาร ที่มีประสิทธิภาพตามรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร 8. มีคนเห็นว่า ในปัจจุบันถ้าฝ่ายบริหารเข้มแข็งมากไปจะตรวจสอบยาก ดังนั้นการให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จะทำให้ภาวะผู้นำ และความชอบธรรมแห่งอำนาจสูงส่งไปมาก โมเดลใหม่จะแก้ไขปัญหาเก่าอย่างไร
ถ้าจะแก้ปัญหาเรื่องซื้อเสียงก็แก้ให้ตรงจุดครับ อย่าได้นำมาผูกเป็นวิธีสรรหานายกที่คิดว่าจะหลบปัญหาการซื้อเสียงได้ นายกรัฐมนตรีของประเทศ ควรให้ประชาชนมีโอกาสเลือกให้ดีๆ เป็นที่ยอมรับทุกๆฝ่าย อาจจะเป็นคนนอกก็ได้ และไม่ปิดกั้นคนดีๆเข้าสภาผู้แทน คือไม่ตัดสิทธิ์คนที่ไม่ได้รับเลือกจากแคนดิแดท ออกจาก สส. ผมยังคิดว่าเลือกแบบเดิมก็ยังใช้ได้ แต่ไปแก้ปัญหาการซื้อเสียง และเพิ่มการให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตย ลงคะแนนให้ ไม่ใช้การตอบแทนบุญคุณของนักการเมือง รณรงค์ให้เห็นว่าการซื้อเสียงเป็นบาป เป็นการทำลายประชาธิปไตย ทำลายชาติ ชาวบ้านจะได้เข้าใจมากขึ้น
เราเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า การมาของนักการเมืองไม่ใช่ปัญหาแต่หลังจากมาแล้วต่างหากที่เราแทบจะตรวจสอบหรือทำอะไรไม่ได้เลยที่เป็นปัญหาครับ
ผมว่านักการเมืองเรามันพัฒนาวิธีการซื้อได้ทุกรูปแบบอยู่แล้วครับไม่ว่าคุณจะให้มาพรรค มาแบบเดี่ยว มันก็สามารถปรับวิธีการไม่ว่าจะซื้อคนซื้อพรรค ได้มาเป็น สส แล้วค่อยเหมาพรรคเหมือน take over มันก็ทำมาแล้ว บอกตรงๆผมคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร เลยคิดว่าเราควรเพิ่มการตรวจสอบให้มากขึ้น การดำเนินคดีให้เร็วขึ้น โทษให้หนักขึ้นครับ
เพจเฟซบุ๊ค อ.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ Prof. Sombat Thamrongthanyawong, Ph.D "การเลือกคณะรัฐมนตรีโดยตรงจากประชาชน" คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองที่มีผมเป็นประธานได้มีมติให้ประยุกต์ระบบแบ่งแยกอำนาจมาใช้ในการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองของไทยที่เคยใช้ระบบควบอำนาจหรือระบบรัฐสภามาโดยตลอด ทั้งนี้ได้วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคหรือจุดอ่อนของระบบรัฐสภาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันพบว่าระบบรัฐสภามีจุดอ่อนหลายประการได้แก่: 1)การให้ส.ส.เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีนั้นจะเหมาะสมถ้าส.ส.ส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งที่ สุจริต เที่ยงธรรมและโปร่งใส แต่กรณีของไทยเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่าส.ส.ส่วนใหญ่มาจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งหมายความว่าส.ส.เหล่านี้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาทั้งสิ้น เพียงแต่กกต.จับไม่ได้ การที่ประชาชนมอบอำนาจให้ส.ส.เสียงข้างมากที่มาจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงไปเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี จึงเป็นเหตุให้เกิดการตอบแทนผลประโยชน์กันขึ้น โดยคนเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อมีอำนาจแล้วก็ต้องเอื้อประโยชน์ให้ส.ส. โดยแต่ละปีจะต้องจัดงบประมาณตามโครงการของส.ส.ลงในจังหวัดของส.ส. เพื่อให้ส.ส.ไปชักหัวคิวจากโครงการเหล่านี้ 20-30%ทุกปี ทำให้การทุจริต คอร์รัปชั่นระบาดทั้งประเทศ ปัญหานี้เกิดขึ้นทุกปี การสนับสนุนระบบนี้โดยไม่มีแนวทางแก้ไขก็เท่ากับการสนับสนุนการคอร์รัปชั่นนั่นเอง 2)ระบบรัฐสภาถ้าปรากฎว่ามีพรรคโดดเด่นชนะเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาจะทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมได้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาลจะสามารถบงการได้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ การตรวจสอบจะเป็นอำมพาต การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านก็จะไม่มีผล เพราะเมื่อลงมติก็จะแพ้ทุกครั้ง การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารได้ สภาพเช่นนี้เรียกว่า"เผด็จการจากการเลือกตั้ง"( Elected Dictator) สภาพเช่นนี้จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลเหิมเกริมในการใช้อำนาจมิชอบ 3)ส.ส.ไม่มีบทบาทสำคัญในการบัญญัติกฎหมาย เพราะกฎหมายการเงินต้องเสนอโดยคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีจะสั่งการให้ส.ส.เสียงข้างมากสนับสนุน ส.ส.จึงมีบทบาทในการทำตามคำสั่งของรัฐบาลและคอยปกป้องการโต้แย้งของฝ่ายค้านเท่านั้น จากสภาพปัญหาดังกล่าวคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากจึงเห็นว่าควรจะต้องปรับโครงสร้างเสียใหม่โดยประยุกต์หลักการแบ่งแยกอำนาจมาใช้เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีความเป็นอิสระในการตรวจสอบฝ่ายบริหารมากขึ้น และให้ฝ่ายบริหารมีความเป็นอิสระจากการต่อรองผลประโยชน์ของฝ่ายนิติบัญญัติ จึงเสนอให้การเลือกตั้งฝ่ายบริหารแยกออกจากการเลือกตั้งฝ่ายนิติบัญญัติ โดยกำหนดให้: 1)ประชาชนเลือกคณะรัฐมนตรีโดยตรง ในบัญชีรายชื่อคณะรัฐมนตรีให้ระบุชื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งคณะ การสมัครต้องยื่นสมัครโดยพรรคการเมือง เพื่อให้มีเสียงส.ส.สนับสนุนในสภา การเลือกรอบแรกถ้าไม่มีผู้สมัครทีมใดได้เสียงเกินครึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ให้จัดเลือตั้งรอบสองในเวลาที่กำหนดโดยนำทีมที่ได้รับคะแนนอันดับหนึ่งและสองมาเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้ผู้ชนะที่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธ์เลือกตั้ง เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง 2)ในระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาให้จัดการเลือกตั้ง ให้มีรัฐบาลรักษาการคณะหนึ่งดูแลการบริหารราชการแผ่นดินด้วยความเป็นกลางไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มการเมืองฝ่ายใดและสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งของกกต.ให้สุจริต เที่ยงธรรมและโปร่งใส ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการเป็นผู้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีผู้วิจารณ์ว่าข้อเสนอนี้จะเป็นการนำระบบประธานาธิบดีมาใช้ ขอเรียนว่าระบบประธานาธิบดีมีเงื่อนไขที่สำคัญคือผู้ที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนต้องทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหารและดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศไปพร้อมกัน ถ้าหากเลือกนายกรัฐมนตรีให้มาทำหน้าทีหัวหน้ารัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้เป็นประมุขของประเทศดังกรณีของไทยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุขอยู่อย่างมั่นคงแล้วก็ไม่เข้าข่ายของระบบประธานาธิบดี ถ้าใครอยากศึกษาระบบประธานาธิบดีให้ชัดเจนลองไปอ่านหนังสือเรื่องการเมืองอเมริกาที่เขียนโดยผมดูจะทำให้เข้าใจระบบประธานาธิบดีอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีผู้วิตกกังวลว่าระบบนี้ถ้าฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่มีเสียงส.ส.ในสภาสนับสนุนไม่ถึงครึ่งจะมีปัญหาในการผ่านร่างกฎหมายโดยเฉพาะกฎหมายงบประมาณ ถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้นเนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่ระบบสองพรรค แต่มีพรรคที่ได้รับเลือกตั้งอาจจะ 6-7 พรรค ดังนั้นถ้าพรรครัฐบาลมีเสียงไม่ถึงครึ่งก็สามารถดึงพรรคอื่นมาเป็นพันธมิตรร่วมสนับสนุนรัฐบาลได้ คล้ายรัฐบาลผสม แต่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีอำนาจต่อรองน้อย กรณีที่กังวลว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจะเหิมเกริมถ้ามีประชาชน 20-30 ล้านคนเลือกตั้งมาอาจหลงอำนาจ รูปแบบนี้จะออกแบบให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยเฉพาะฝ่ายค้านสามารถตรวจสอบและฟ้องคดีต่อศาลการเมืองได้โดยตรง มาตรการนี้จะทำให้ฝ่ายบริหารที่ประพฤติมิชอบมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องถูกลงโทษถ้าทำผิดจริง อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งคณะรัฐมนตรีโดยตรงมีจุดแข็งหลายประการได้แก่: 1)ประชาชนจะได้ตรวจสอบประวัติของผู้สมัครนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี พร้อมทั้งนโยบายก่อนที่จะเลือกตั้ง จะทำให้ผู้สมัครต้องคัดเลือกคนดีมาเสนอให้ประชาชนพิจารณา 2)การแบ่งแยกอำนาจให้ฝ่ายบริหารทำหน้าที่บริหารอย่างเดียวไม่ต้องทำหน้าที่นิติบัญญัติในสภา จะทำให้ฝ่ายบริหารสามารถทุ่มเวลาในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างเต็มที่ จะทำให้ประชาชนมีโอกาสได้ประโยชน์สูงสุด 3)รัฐบาลจะมีเสถียรภาพอยู่ได้ครบเทอมจึงทำให้มีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าครบเทอมแล้วแก้ไขปัญหาไม่ถูกใจประชาชน เมื่อหมดสมัยประชาชนจะได้ไม่เลือก 4)ถ้าฝ่ายบริหารประพฤติมิชอบฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบและฟ้องคดีต่อศาลการเมืองโดยตรง จะทำให้ฝ่ายบริหารต้องบริหารประเทศด้วยความระมัดระวัง 5)การไม่ให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจยุบสภา จะทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีเสถียรภาพและเป็นอิสระจากการคุกคามของฝ่ายบริหาร การตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติจะมีความเข้มแข็งมากขึ้น 6)ถ้าฝ่ายนิติบัญญัติจะใช้อำนาจมิชอบในการคุกคามฝ่ายบริหารโดยใช้อำนาจต่อรองในการผ่านกฎหมาย ฝ่ายบริหารสามารถยื่นฟ้องร้องให้คณะกรรมาธิการจริยธรรมตรวจสอบได้ มาตรการนี้จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ แนวคิดเรื่องนี้อาจมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ขอให้ถือว่าเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ความเห็นแตกต่างในเรื่องนี้ไม่มีอะไรผิดอะไรถูก เพียงแต่ขอให้วิเคราะห์กันด้วยเหตุผล จะทำให้ทุกฝ่ายได้ความรู้มากขึ้น ทั้งหมดขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของอนาคตของประเทศและประชาชนเป็นหลัก ถ้ายึดประโยชน์ของตนเองเป็นหลักความเห็นก็จะไม่เที่ยงตรง เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ได้ยังมีเวลาแลกเปลี่ยนกันอีกมากครับ ถ้าในที่สุดประชาชนเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ตกไปครับ แต่เราก็จะได้ความรู้มากขึ้น สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ 10 ธันวาคม 2557