ฝันสลายไม่ได้งาน เพียงเพราะผู้เข้าสอบสัมภาษณ์ ไม่ควรถามกรรมการใช่มั๊ย…? เป็นกระทู้ฮอตชั่วข้ามคืนของเว็บไซต์พันทิปดอทเลยล่ะค่ะ เมื่อมีหนุ่มนักศึกษาจบใหม่คนหนึ่งได้ออกมาตั้งกระทู้เล่าเรื่องราวของตนเองที่ผ่านการสัมภาษณ์งานกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวอยากเข้าทำงานที่นี่มากๆ แต่ก็ต้องดีใจเก้อ เพียงเพราะว่าไปตั้งคำถามที่ไม่น่าถามกับทาง HR ทำให้ผู้บริหารของบริษัทปฏิเสธที่จะรับหนุ่มคนนี้เข้าทำงานในองค์กร! 1) บริษัทมีค่าทำงานต่างจังหวัด(ค่ากันดาร) เพิ่มอีกมั้ยครับ ถ้ามีเพิ่มเท่าไร คำตอบ ค่าเช่าบ้านของเราก็คือค่ากันดาร 2) โบนัสประจำปีของปีที่แล้วได้เท่าไรครับ คำตอบ ได้ 4 เดือน 3) บริษัทมีสวัสดิการสำหรับเรียนต่อหรือเปล่า (เผื่ออนาคตผมอาจจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยครับ) คำตอบ ทางเราไม่มีสวัสดิการหรือเงินช่วยเหลือสำหรับการเรียนต่อ 4) ค่าโอทีคิดยังไง ทำได้สูงสุดกี่ชั่วโมงครับ คำตอบ คิดตามกฎหมายแรงงานไทย 1เท่า สำหรับทำงานในวันหยุด, 1.5 สำหรับทำงานล่วงเวลาในวันธรรมดา, 3เท่า สำหรับทำงานล่วงเวลาในวันหยุด 5) ทางบริษัทสามารถเพิ่มฐานเงินเดือนได้อีกมั้ยครับ (จากเดิม17,000บาท) คำตอบ ไม่สามารถเพิ่มได้แล้วสำหรับเด็กจบใหม่ http://chaoprayanews.com/blog/happyforever/2015/06/02/ฝันสลายไม่ได้งาน-เพียงเ/
ดูจากคำถาม... ถ้าเมิงน้องมีประสบกามสักสิบยี่สิบปี... แล้วเค้าเชิญมาสัมภาษณ์แบบกรูพี่... คิดว่าไม่น่าเกลียดเท่าไหร่นะขอรับ... ... แต่นี่จบใหม่... อยากรู้แต่ตัวเองจะได้อะไรมั่ง ยังไงมั่ง... เมิงยังไม่ได้แสดงผลงานห่านอะไรเร๊ยยยยย... ไม่รู้สินะ... ถ้ากระพ๊มสัมภาษณ์เอง... กระพ๊มก๊ะไม่เอา...
คุณเชื่อมั้ยว่า คำถามเหล่านี้เป็นแพทเทริน ที่หาอ่านได้จากบทความสมัครงานทั่วๆ ไปนะครับ อย่างทำอย่างไรให้ได้งาน คำถามที่ควรถามฝ่ายบุคคลตอนสัมภาษณ์งาน การจะรับเข้าทำงาน อยู่ที่ดุลยพินิจของฝ่ายบุคคลแต่ละคนครับ บางคนมองว่า การถามแบบนี้ แสดงถึงความกล้า แต่บางคนมองว่าเรียกร้องเกินไป มันไม่มีอะไรตายตัวครับ ต่างคนต่างใจ แล้วแต่จะเจอฝ่ายบุคคลแบบไหน ผมยังเคยเจอ มาแบบให้ผมช่วยยื่นประกันสังคมให้หลังจากทำงานแล้ว 3 เดือน เพื่อที่เขาจะได้ไปเอาเงินชดเชยจากประกันสังคม กรณีลาออกจากงาน คนแบบนี้ต่อให้เก่งแค่ไหน ผมก็ไม่รับหรอกครับ
ตอนผมจบใหม่ๆ แค่เขาบอกว่าจะรับเข้าทำงาน ถ้าไปอยู่ต่างจังหวัดได้(โคราช) แฮะๆ........ผมรีบตอบรับทันทีว่า ไปได้ครับ เงินเดือนได้เท่าไหร่ยังไม่รู้เลย คิดแต่ว่าขอให้ได้ทำงานก่อน จะได้ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ เพราะท่านจ่ายให้เรามาเยอะแล้ว อิ....อิ...ผมอาจจะเกรดไม่ดีเท่าไหร่ เลยไม่กล้าเล่นตัวมาก
ผมว่าถามได้ แต่ต้องดูว่าถามใคร ถ้าถามบริษัทที่เจ้าของเป็นคนไทย วัฒนธรรมแบบบ้านเราคงไม่ดี แต่ถ้าไปถามบริษัทของทางตะวันตก เขายินดีตอบ
นี่อาจจะเป็นเรื่องหนึ่งในหลายๆเรื่อง ที่เรารับเอาจากต่างชาติ โดยที่เราลืมไปว่าบางเรื่อง มันไม่เหมาะกับประเทศไทย
ผมว่ามาตกม้าตายตรงถามเรื่องโบนัสมากกว่า บริษัทมีสิทธิ์จะให้หรือไม่ให้หรือให้เป็นสวัสดิการอย่างอื่นได้ทั้งนั้น ผมไม่เคยเห็นเรื่องโบนัสอยู่ในใบสมัครงานนะครับ
ผมว่าถ้าถามน่าจะถามอะไรที่แสดงความกระหายที่จะทำงานดีกว่า คำถามที่ถามแล้วมันแสดงอาการกระหายสตางค์นะ ผมคิดว่า ถ้าคนที่คิดจะทำงาน เพราะต้องการทำงาน ส่วนได้สตางค์นั่นมันเป็นผลพลอยได้ มันน่าจะดีกว่า คนที่คิดทำงาน เพราะต้องการสตางค์ เพราะอย่างหลังมีแนวโน้มเช้าชามเย็นชามสูง อ้ะ..หรือว่าผมคิดผิ๊ดดด
ข้อสองกับห้าสำหรับเด็กจบใหม่ไม่ควรถามครับ ถ้ามีประสบการณ์อาจถามได้ไม่แปลกอะไรเพื่อใช้เปรียบเทียบกับที่เก่า (แต่อย่าบอกไปล่ะว่าที่เก่าได้เท่าไหร่)
แต่อย่าลืมนะ การให้ออกของเขาได้ทันทีตลอด 24ชม. ต้องรับตามกฏเขาด้วย ผมโดนไล่ออก เพราะแค่พูดคำว่า " คิดเงินทางนี้ได้นะครับ " แคสแบบนี้ ยังมีเลย นั้นยังไม่ทำงาน เตรียมเรียกร้องแล้ว ทำไปแล้ว หากไม่ได้ตามตั้งใจที่หวังไว้ ก้อขาดการมุ่งมั้นทำงาน สู้บริษัทฯ สัมภาษณ์คนใหม่ยังเขื่อมั่นว่า น่ามีคนที่มุ่งมั่นทำงานมากกว่าสวัสดิการ พนักงาน Lacoste โดนไล่ออกจากงานเหตุโพสต์รูปสลิปเงินเดือนลง Instagram! แคสนี้ ใจดี20 อาจโดนไล่ออกเข่นกัน เลยหายไป****
คำถามสื่อให้เห็นว่า จะเอาๆ ไม่มีเรื่องงานเลย ไปเป็นเจ้าของกิจการเหอะ หรือถ้ามองอีกแง่อาจไม่ใช่เรื่องนี้ก็ได้ อาจมีเรื่องอื่นที่เขาไม่เอา
ผมว่าแล้วแต่ที่... แล้วแต่ผู้บริหาร... แล้วแต่คนตอบ... ส่วนคนถามก็อาจปรับวิธีถามหรือคำถามให้ดูอ่อนลงหน่อย อาจจะทำให้ผู้ตอบรู้สึกดีขึ้นก็ได้ครับ
สิ่งเหล่านี้น่าจะหาคำตอบข้างนอก รู้แล้วชอบก็ไปสมัคร เว้นแต่มั่นใจว่าเจ๋งจริงมีตัวเลือกเยอะอยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ทางบริษัทฯมีสิทธิ์เต็มที่ครับว่าจะรับหรือไม่รับใคร บางบริษัทฯดูโหงวเฮ้งรับคนก็มี จบใหม่ไฟแรงนั้นดี แต่ต้องเผาให้ถูกจุดด้วย อีีกอย่างคนที่คำนึงสิทธิ์ของตัวเองมากไปนายจ้างคงไม่ชอบครับ(เช่นกรณีสหภาพฯ)เพราะอาจก่อหวอดเรียกร้องอะไรๆในอนาคต จบใหม่ๆทำตัวเป็นหุ่นยนตร์หาประสบการณ์ซักพัก ถ้าเจ๋งจริงๆเดี๋ยวมีคนเค้าเสนอมาให้เอง ไม่ต้องถาม
คนถามแบบนี้ ถ้าคิดจะทำงานที่นี่ เขาคงไม่ถามแบบนี้แน่ๆ แต่ที่ถาม เพราะมีทางเลือกอยู่หลายที่ เลยถามเผื่อว่า ที่ไหนให้เยอะกว่า ก็ไปที่นั่น
ใช้ครับไม่เหมาะกับบ้านเรา ตะวันตกเขาถือว่าเรามาทำงานแลกเงิน ดังนั้นการถามสวัสดิการต่างๆที่เราได้รับถือว่าปรกติ แต่ทางเอเชียถือว่างานคือหน้าที่ ดังนั้นหามถามเรื่องผลตอบแทน ไม่งั้นจะถือว่าหน้าเงิน ตะวันตกเขาพูดตรงๆ ประชุมกันก็เถียงกันเหมือนด่า แต่ก็พูดแล้วจบตรงนั้น แต่ทางเอเชียนี่ไม่ได้ ถ้าไปพูดขัด คู่ขัดแย้งอาจเงียบๆ แต่พร้อมแทงข้างหลังเสมอเพราะถือว่า"ไม่ใว้หน้ากัน" ผมไม่ได้ว่าวัฒนธรรมแบบเอเชียนะ แค่เราถูกเลี้ยงดูมาต่างกัน
ถ้าเป็นบริษัทที่ทันสมัย ผมมองว่าคำถามเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาหรอก เพราะมันถามได้เนื่องจากการที่เราจะเข้าไปร่วมงานกับใคร ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะลูกจ้าง หรือหุ้นส่วน หรือฐานะใดก็ตาม เรามีความจำเป็นต้องรู้ว่าเงื่อนไขอะไร เป็นอย่างไร ถ้าไม่เครียส์กันแต่แรก มันก็อาจไปมีปัญหาเมื่อทำงานกันไปได้ระยะหนึ่งจนอาจเกิดความเสียหายตามมาได้ เรื่อง ค่าจ้าง สวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของลูกจ้างนี่ บริษัทที่เขาก้าวหน้าพัฒนาไปแล้ว มันเป็นสิ่งจูงใจลูกจ้างที่มีความรู้ความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับเขา จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะปิดบัง หรือถามไม่ได้ ซึ่งอันนี้แล้วแต่ว่าบริษัทนั้นเป็นลักษณะใด กรณีของผู้สมัครงานรายนี้ ผมไม่แน่ใจว่า เขาเขียนขึ้นมาเองหรือเปล่า คือเขียนขึ้นมาเพราะคิดว่าถ้าไปสมัครงานแล้วถามคำถามแบบนี้บริษัทคงไม่รับเข้าทำงาน โดยที่เขาไม่ได้ไปสมัครจริง เพราะดูจากคำถามที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมด ไม่เห็นว่ามีข้อใดเลยที่บริษัทตอบไม่ได้ เขาก็ตอบได้ชัดเจนทุกข้อ ส่วนจะถูกใจผู้ถามหรือไม่มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประเด็นก็คือ ผมมองว่า ถ้าบริษัทอึดอัดกับคำถาม ไม่อยากให้ถามคำถามลักษณะนี้ เขาคงตะเพิดไปตั้งแต่ถามข้อแรก ๆ แล้ว ไม่มานั่งตอบคำถามทุกคำถามหรอกครับ
ถ้าผมเป็นคนสัมพลาดเด็กคนนั้น (ใช้คำว่าสัมพลาดเพราะน่าจะพลาดตั้งแต่เรียกมันมาแล้ว) ผมคงไม่สัมภาษณ์ต่อตั้งแต่ข้อ 1 หรือ ข้อ 2 แล้ว บริษัทเล็กๆ ของผม ผมมักได้สัมภาษณ์เด็กใหม่อยู่บ่อยๆ ถ้าสังเกตุใบสมัครงาน หลังจากกรอกชื่อ ใบสมัครมักมีให้กรอกตัวเลขที่ต้องการ ก่อนที่จะกรอกรายละเอียดอื่นๆ เวลาวัด ผมจะวัดตั้งแต่ตรงนั้นครับ สมมุติ คุณกรอกตัวเลข 24,000 มา (ผมเคยเจอจริงๆ) ผมจะไล่อ่านลงมาว่า คุณมีอะไรที่น่าจะเหมาะสมในเบื้องต้น กับตัวเลขที่คุณร้องขอ เด็กคนนั้น (ที่กรอก 24,000 มา ไม่มีประวัติการทำงาน การฝึกอบรม หรือกิจกรรมใดๆ เว้นแต่ว่าจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่ออันดับต้นๆ ผมก็เลิกอ่านต่อครับ เพราะในสายงานผม ผมไม่คิดว่า เด็กเก่งแค่ไหนในตอนเรียน จะสามารถทำงานได้ดีทันทีและคุ้มค่ากับเงินเดือนเริ่มต้นนั้น เคยเจออีกว่า เรียกเงินเดือนแพง ไล่ประวัติการทำงาน ในเวลา 1-2 ปีที่ได้ทำงานมา เปลี่ยนไป 4-5 บริษัท พร้อมเงินเดือนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน เงินเดือนที่กรอกที่ผม จะเป็นเงินเดือนที่สูงกว่าที่ลา่าสุด แสดงได้ว่า เด็กสมัครงานและลาออกภายในไม่กี่เดือน ด้วยเหตุผลเดียวคือ การอัพเงินเดือน อันนี้ก็ผ่านครับ บางกรณี หลังจากสัมภาษณ์เสร็จ ผมจะบอกเขาว่า มีคำถามอยากรู้อะไรมั๊ย ให้ถามกลับได้ บางคำถามที่ถามมา เริ่มต้นด้วยคำถามแบบนี้ มีโบนัสมั๊ย มีสวัสดิการอะไร มีโอทีมั๊ย ปรับเงินเดือนยังไง ผมก็ผ่านเช่นกันครับ ผมมองแบบอาจจะค่อนข้างเห็นแก่ตัวไปบ้าง อย่างน้อย ผมจะรับสมัครพนักงานใหม่ (สายงานผม ต้องทำงานดึก ไม่ตรงเวลาเป้นปกติ) ผมจะได้อะไรจากเด็กคนนี้บ้าง สิ่งสำคัญคือ ใจเค้ามีแค่ไหนให้กับบริษัทของผม ให้กับงานที่เค้ากำลังหาจะทำ ให้กับอนาคต ที่ไม่ได้วัดกันแค่สิ่งที่เค้าจะได้รับในวันนี้ นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมจะกดเงินเดือนหรือไม่มีสวัสดิการให้นะครับ แต่ผมพยายามจะไม่พูดถึงเพื่อให้มากลายเป็นสิ่งหลอกล่อ เพราะผมไม่ต้องการพนักงานที่ทำงานเพื่อเงิน แน่นอน การทำงาน เราต้องการเงิน แต่ผมเชื่อว่าไม่มีใคร ทำงานที่ตนเองไม่ชอบ เพียงเพื่อแลกกับเงินได้อย่างปกติ และทำมันได้ดีครับ ทัศนคติที่คุณมีต่างหาก ที่จะทำให้บริษัทรับคุณเข้ามาทำ และเมื่อคุณมีดีจริง คุณก็จะได้รับสิ่งที่ต้องการได้โดยไม่ต้องเรียกร้องหรอกครับ เพราะอย่างไรเสีย บริษัท ก็ต้องจ่ายเพื่อรักษาคุณเองไว้อยู่แล้ว พนักงานคนนึงของผม เคยได้ขึ้นเงินเดือนปีนึง 5 ครั้ง เพราะเค้าทำผลงานดี และตั้งใจครับ แต่เด็กยุคใหม่ไม่ใช่แบบนี้อีกต่อไป ทำงาน 1 ปี อยากผ่อนรถ 3-5 ปีอยากผ่อนคอนโด อยากได้เงินเดือนสูงๆ มีไลฟ์สไตล์ที่ดี โดยที่ลืมไปว่า ต้องเอาอะไรไปแลกมา ถึงจะได้แบบนั้น เชื่อเถอะ คุณเริ่มต้นแบบนั้นไม่ได้หรอกเว้นแต่คุณจะมีดีมากพอ .. แต่ก็ต้องแสดงให้เห็นด้วยนะครับ
ครั้งนึง สมัยผมยังหนุ่ม พยายามหาทางเข้าไปทำงานในบริษัทโฆษณา เป้นอาชีพในฝันเลยทีเดียว แต่โอกาสแทบไม่มีเลยสำหรับผม ก็ได้แต่ทำงานในบริษัทกราฟฟิกดีไซน์ไป เพราะเป้นสิ่งที่ชอบและถนัด (แต่ฝันอยากทำโฆษณา) จนกระทั่งวันนึง เจ้านายเก่าโทรมาบอกผมว่า เพื่อนเค้าคนนึง ที่ทำในเอเจนซี่โฆษณาแห่งนึง เห็นงานผมที่เคยทำมาแล้วชอบ เลยให้ตามผมไปสัมภาษณ์งานกับเขา โห ตื่นเต้นมากครับ เตรียมตอบคำถามไปอย่างดี จัด Portflio ไปอย่างสวยงาม จนถึงวันสัมภาษณ์ พี่ครีเอทีฟท่านนั้น ถามผมหลายอย่างเกี่ยวกับงานออกแบบ เปิดดูตัวอย่างผลงานผม สังเกตุแววตาของเขา ดูจะชื่นชอบงานผมอยู่พอสมควร จนสุดท้ายของการสัมภาษณ์ พี่เค้าถามมา “ผมทำงานบริษัทโฆษณา ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความคิด การทุ่มเท และการให้เวลา ผมทำงานวันละ 18 ชม คุณทำอย่างผมได้รึปล่าว” . . . . ขณะนั้น ผมอึ้งกับจำนวนตัวเลขไปชั่วครู่ คิดคำตอบไปด้วย ผมเป็นคนที่ทำงานได้เร็วมากคนนึงมาก่อน ผมจึงตอบคำถามไปว่า “ผมมั่นใจ ว่าในงาน 18 ชม ผมสามารถทำได้ในเวลา 15 ชมครับ” จนเวลาผ่านไป และผมไม่ได้งานนั้น ด้วยความโง่ในการคิดของผม ให้เพื่อนสมาชิกทายดูครับ ว่าผมพลาดตรงไหน
แต่จริงๆควรตอบว่าได้ใช่มั๊ย เพราะโฆษณาใช้ความคิด หมายถึงทำงานในเวลาตื่นทั้งหมด 6 ช.ม. ในการหลับจริงๆถือว่าเหลือเฟือแล้ว
18 ชม. งานโฆษณา น่าจะเป็นเวลาทำงานปกตินะ งานด่วนเข้านี้ น่าเป็น 36ชม. ก้อได้ สำเร็จนี้คุ้มได้นอนยาว ถ้ารักงานด้านนี้ต้องคิดยอมตายกับงาน จึงแจ้งเกิด
เค้าคงรู้สึกว่าคุณไปหมิ่นเขาเล็กๆมั้งว่าเขาต้องใช้เวลาถึง18ชั่วโมง ในขณะที่คุณใช้เวลาแค่15ชั่วโมง พอดีเข้าใจแวดวงราชการ เลยรู้ว่าคนบางกลุ่มคิดมากกับคำพูดเรา
จริงๆ เค้าตั้งคำถามเพื่ออยากลองหยั่งหัวใจผมเท่านั้นครับ คนเราปกติ นอนวันละ 6 ชม ก็เกินพอ เวลาที่เหลืออีก 18 ชม เราต้องเป็นนักโฆษณาครับ ต้องเรียนรู้ สังเกตุ จดจำ แม้แต่ตอนดูทีวีอยู่กับบ้าน ทานข้าว ซื้อของโลตัส เตะบอล นั่นคือความเป็นนักโฆษณา ที่ผมในเวลานั้น เข้าไม่ถึง และเผลอพลาดคิดไปว่าเป้นการทำงานจริงๆ ที่มีเวลากำหนดชัดเจน เลยคิดไปถึงการแบ่งเวลาให้ตัวเอง อะไรไปโน่น เป็นความโง่เง่าที่ไม่น่าอภัยให้ตัวเองโดยแท้จริงเลยครับ
นึกเทียบกับตัวเองสมัยนั้น ที่ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงวงการโฆษณาได้ตามฝัน เพราะคิดถึงในมุมของตัวเองมากจนลืมคิดว่า คำถามนี้เป็นคำถามของครีเอทีฟ เทียบกับเด็กสมัยนี้ ที่มีคำถามเช่นข้างต้น ผมก็รู้สึกว่า ผมมีคำตอบที่ชัดเจนให้เค้าได้ไม่ยากเลย
3ปี จาก 28,000 บาท (พนักงานทั่วไป) เป็น 92,000 บาท เป็นตรูยอมตายที่นี้แหละ ไม่ไปไหนหรอก ดีใจด้วยนะ ใจดี20
ยุคปัจจุบัน พ่อแม่มักมีลูกกันน้อยๆ 3 คนนี่ก็ถือว่ามากแล้ว พ่อแม่มักจะทำงานกันทั้งคู่ เวลาให้ลูกมีน้อย ทางเดียวที่คิดได้ว่าจะแสดงออกอย่างไร ว่ารักลูกมากคือการให้ หมายถึงให้ทั้งทางวัตถุและเงิน ลูกขออะไรก็พยายามขวนขวายหามาให้ ดูง่ายๆจากการซื้อโทรศัพท์มือถือ ของพ่อแม่ราคาหลักร้อยหลักพัน ของลูกราคาหมื่นอัป การให้โดยไม่ได้คิดจะได้อะไรตอบแทนจากลูก บางครั้งกลายเป็นทำให้เด็กยุคปัจจุบัน เลยคิดแต่ทางที่จะได้ หาเงินไม่เก่ง(อาจจะขี้เกียจด้วย) รับผิดชอบน้อย แต่ใช้เงินเก่ง พูดง่ายๆคือต้องการเงินเดือนสูงๆ แต่ทำงานน้อยๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ขัดกันเองอยู่ในตัว พ่อแม่ยุคปัจจุบันหลายๆครอบครัว เลยต้องอุ้มชูลูกไปตลอด ทำงานแล้วก็ยังต้องส่งเงินไปให้ใช้ ปัญหานี้ผมเองก็บอกไม่ถูกว่าควรโทษใคร เพราะมันสัมพันธ์ กันไปหมด (ปล.ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นแบบนี้ทั้งหมดนะครับ แต่สังเกตุจากคนรอบตัว อิ....อิ.....เพราะผมไม่มีลูก)