กิตติรัตน์ออกมาโวยว่าทำไม ไม่เอาผิด ปรส. แบบจำนำข้าว ถ้าคนไม่รู้เรื่อง พวกเด็กเกรียนคีย์บอร์ด มาโวยวายเรื่องนี้ เราจะไม่ว่าอะไรเลยนะ เพราะถือว่า ไม่มีความรู้ ข้อมูลไม่พอ ฟังคนอื่นตามๆกันมา แต่คนเคยเป็นระดับรัฐมนตรี กลับมาโวยวายอะไรเรื่องนี้ ผมว่ามันโคตรน่าอนาถเลย ที่ประเทศเคยมี รมต.แบบนี้ ปรส. คือการขายกิจการหนี้เสีย หนี้เสียก็แน่นอนว่า มันไม่มีทางที่จะได้มูลค่าเต็มอยู่แล้ว เหมือนเราขายซากรถที่เอาไปชนมา มันย่อมไม่ได้ราคารถคันเดิมกลับมา แล้ว ปรส. เนี่ย ตั้งขึ้นมาในสมัยบิ๊กจิ๋ว ที่มี ทักษิณ เป็นรองนายก เพราะ บิ๊กจิ๋ว พาประเทศไปกู้ IMF IMF ให้กู้โดยมีเงื่อนไขโหดๆมาหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือ การตั้งหน่วยงานมาจัดการหนี้เสีย ซึ่งก็คือ ปรส. นั่นเอง (และยังมีข้อตกลงที่ให้ออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับด้วย ที่ทักษิณด่ามาตลอด ทั้งๆที่มีส่วนในการออกกฎหมายนี้ แต่พอตัวเองมาเป็นรัฐบาลกลับไม่ยกเลิก แถมยังเอา ปตท.มาแปรรูป ขายหุ้น ซะงั้น ) บิ๊กจิ๋ว ออกกฎหมายคุ้มครอง ปรส.ให้อีก เพราะ แน่นอนว่า ปรส. จะต้องเข้ามาทำงานเผือกร้อน ขายสถาบันการเงินในราคาขายหนี้เสีย มันขาดทุนแน่นอน IMF ก็มองว่าความเสียหายเกิดจากพรรคการเมือง ปรส. จึงต้องเป็นองค์กร อิสระ ปราศจากฝ่ายการเมือง เลยกัน ปรส. ออกไป ไม่ให้รัฐบาลเข้าไปรับผิดชอบด้วย ปรส.จึงเป็นองค์กรอิสระ ที่การเมืองเข้าไปสั่งการไม่ได้ และการกระทำของ ปรส. ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายอีกด้วย รัฐบาลบิ๊กจิ๋ววางไว้ เพื่อป้องกันรัฐบาลถึง 2 ชั้น เมื่อมีความผิดของ ปรส. ก็ต้องแยกแต่ละเคสว่าเคสไหนมีปัญหา ใครเป็นผู้รับผิดชอบ (ซึ่งก็เป็นตัว ปรส. เองนั่นแหล่ะ ) จะมาเหมารวมผลขาดทุนทั้งหมด จากการขายหนี้เสีย แล้วโยนความผิดให้รัฐบาลชวน มันไม่เกี่ยวกันเลย ไม่ว่ารัฐบาลไหนมาต่อรัฐบาลบิ๊กจิ๋ว ก็ต้องเจอเรื่องนี้ เพราะ บิ๊กจิ๋ว มันวางขี้เอาไว้ให้ คดี ปรส. วันก่อนก็เอารายละเอียดมาลงให้แล้วว่า ตัดสินกันไปถึงไหน เรื่องอยู่ที่ไหน คดีเป็นอย่างไร ตามลิงค์ http://www.nacc.go.th/ewt_news.php?nid=10216 ไอ้โต้งมันเป็นถึงรัฐมนตรีเสียเปล่า ดันมาพล่ามเรื่องนี้ แม่งโคตรหมดราคาเลยว่ะโต้ง ปล ก็จริงครับ เห็นบางคนแถว่าทำไมรวมหนี้ดีกับหนี้เสียหละ เขาก็ตอบแล้ว มันมีเงื่อนเวลากับกฏ ไอเอมเอฟ กำหนดว่าต้องทำภายในวันนี้ แล้วใครที่ไหนจะบ้ามาซื้อหนี้เสียวะ
ในความคิดของพวกควายแดง ความผิดของ รัฐบาลชวน คือขาย ทรัพย์สิน ปรส ขาดทุน มันต้องขายหนี้เสีย ให้ได้เท่าทุน หรือกำไรเท่านั้น
.ใช่เลยครับ แต่ความจริง การประเมิน 8 แสนล้วนนั่นทำก่อนช่วง 40 แล้วมาตอนนี้จะให้ได้เท่าก่อน 40 คงสนุกพิลึกครับ555
5555 ขำ หลักฐานซิครับ ถ้าผมเอาภาพเจ้าพระยามาใส่ว่าเลว ก็แปลว่าเจ้าพระยาเลวจริงใช่ไหม รูปแบบนี้เอาไปฟ้องศาลหรือพิสูจน์อะไรไม่ได้นะครับ แถมเอามาจากมิตรสหายตลอด ไม่มีปัญญาทำเองซินะ ถึงได้ไม่เคยเฉลียวใจ หน้าแตกประจำ
ตายแล้วตอนนั้น พล.อ.ขวลิต เป็นหัวหน้าพรรคปชป.นี่เอง http://www.fpo.go.th/FPO/index2.php?mod=Category&file=categoryview&categoryID=CAT0000500
อ้าว ขายข้าวให้ชาวนาแล้วเอาข้าวที่ไหนขายให้ชาวนา คดีปรส.ถามจิ๋วนะจ๊ะ อ้อ ท่านสมาชิกเอาความรู้มาแปะให้ก็ลองอ่านก่อนดิ้นนะจ๊ะ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก โอเค พรรคเผาไทยขายข้าวให้ชาวนา จำไว้นะพี่น้อง
คดีปรส. ขาดทุน 8 แสนกว่าล้าน เงินไปอยู่ในมือต่างชาติ กับนักการเมืองหน้าซื่อใจโกงทั้งหมด ชาวบ้านไม่ได้อะไรแม้แต่บาทเดียว ทำไมไม่โวยให้ตรวจสอบกันหละครับ พี่น้องผู้ผูกขาดความรักชาติทั้งหลาย.... คดี ปรส. โดยพรรคประชาธิปัตย์ทำประเทศชาติเสียหาย แปดแสนล้านบาท 14 มีนาคม 2013 เวลา 10:46 น. หาก ย้อนอดีตไปเมื่อปี 2540 วิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ปาเข้าไปนานถึงสิบกว่าปี กับสำนวนคดี การขายทรัพย์สินขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือปรส. เกี่ยวกับการเร่ขายสินเชื่อที่อยู่อาศัย 56 สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ มูลค่า 851,000 ล้านบาท ไปประมูลขายเพียง 190,000 ล้านบาท อีกทั้งกำหนดหลักเกณฑ์เอื้อประโยชน์ให้เอกชนและหลบเลี่ยงภาษี คดีหมายเลขดำที่ อ.3344/2551 ซึ่งแต่เดิมนั้น ปรส. ในสมัยของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี นั้นได้สั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ และตั้ง ปรส.ขึ้นมา เพื่อแยกหนี้ดี-หนี้เสียออกจากกัน แล้วค่อยประมูลขาย เพื่อปลดล็อกสินทรัพย์ทั้งหลายถูกแช่แข็งอยู่ออกมาหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์ อย่างรวดเร็วที่สุดและโปร่งใสที่สุด โดยสินทรัพย์ดี จะได้ขายได้ในราคาที่ดี (โดยใช้วิธีประมูล) อีกทั้งช่วยเหลือผู้ฝากเงิน และเจ้าหนี้ที่สุจริต โดยเฉพาะกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ในสัดส่วน 87.54% และเพื่อชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ไม่สามารถฟื้นฟูกิจการได้ แต่ ในทางปฏิบัติ สมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปปัตย์มาบริหารประเทศนั้น มีการตั้งข้อสังเกตกันว่ากระทำขัดต่อ วัตถุประสงค์ของกฎหมายที่มุ่งแก้ไข ระบบสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินการ ไม่ได้มีการแยกสินทรัพย์ดี และเสีย ( Good Bank – Bad Bank ) ทำรัฐเสียหายกว่า 800,000 ล้าน เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์โดยมิชอบ รูปที่ 2 จาก 8 แสนล้าน เหลือ 2 แสนล้าน มีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 5 คดี ประกอบด้วย คดี ที่ 1 กรณี บริษัท เลห์แมนบราเดอร์ โฮลดิ้ง อิงค์ ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยจาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมโกลบอลไทยพร็อพเพอร์ตี้ เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2541 ยอดคงค้างทางบัญชี 24,616.95 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 11,520 ล้านบาท คดีที่ 2 กรณี บริษัท โกลด์แมน แซคส์ เอเชีย ไฟแนนซ์ จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมบางกอกแคปปิตอล ยอดคงค้างทางบัญชี 115,890.96 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 22,454.87 ล้านบาท คดีที่ 3 – 4 กรณี บริษัท เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับ กองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 1 – 3 ยอดคงค้างทางบัญชี 64,303.34 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 23,176.38 ล้านบาท คดีที่ 5 กรณี บริษัท วีคอนกลอมเมอเรท จำกัด ผู้ชนะการประมูลซื้อสินทรัพย์ จาก ปรส. แล้วโอนสิทธิให้กับกองทุนรวมวีแคปปิตอล ยอดคงค้างทาง บัญชี2,376.73 ล้านบาท แต่ประมูลขายไปเพียง 3,189.90 ล้านบาท เหล่านี้คือผลของการกระทำดังกล่าวทำให้การประมูลทรัพย์ได้ราคาที่ต่ำมาก ซึ่งดีเอสไอสรุปสำนวนคดี ปรส. ชี้การกระทำดังกล่าวว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และนายวิชช์ จีระแพทย์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีล้มละลาย แถลงสรุปผลการประชุม ยังพบว่ามีการดำเนินการหลายกรณี ไม่เป็นไปตามกฎหมายระเบียบ หลักเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น 10 ประเด็น ดังนี้ 1.ปรส.ยินยอมให้นิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปรส.เข้าประมูลซื้อทรัพย์สิน จากปรส.โดยมิชอบ 2.คณะกรรมการปรส.บางคนมีส่วนเกี่ยวข้องปกปิดข้อเท็จจริง กระทำการโดยไม่โปร่งใส 3.ข้อกำหนดของปรส.ที่ให้ผู้ชนะการประมูลโอนสิทธิได้ขัดต่อกฎหมาย 4.การโอนสิทธิของผู้ชนะการประมูล ไม่ชอบ ขัดต่อพรก.ปรส. 5.ข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของคณะกรรมการปรส.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 6.คณะกรรมการปรส.และกลุ่มนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปรส.ฝ่าฝืนข้อสนเทศการขาย ทรัพย์สิน 7. กองทุนรวมที่รับโอนสิทธิจากผู้ชนะการประมูลซื้อทรัพย์สินจากปรส. ยังไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล 8.มีการทำสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย 9.สิทธิของนิติบุคคลที่ชนะการประมูลไม่สมบูรณ์ เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามข้อกำหนดการขายทรัพย์สินของปรส. และ 10.ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการปรส.บางคนขาดคุณสมบัติเนื่องจากดำรงตำแหน่งทับซ้อน กับสถาบันการเงินอีกแห่ง หากปปช. ปล่อยให้คดี ปรส. หมดอายุความไปกับมือ ปปช.จะแสดงความรับผิดชอบค่าเสียหายอย่างไรต่อประเทศชาติ ผม ขอแนะนำให้รัฐบาลชุดนี้ใช้คดีนี้เพื่อเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็นการสร้างบรรทัดฐานว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เคยปล่อยให้การคอรัปชั่นเล็ด รอดไปได้ ที่มาข้อมูล : Mthai News รูปภาพจาก : https://www.facebook.com/media/set/?set=a.323180457763648.85306.115983271816702&type=3 ชอบแหกปากกัน ประเภทว่า ........ เรื่องนี้เกิดขึ้นในรัฐบาลบิ๊กจิี๊ว อันนี้เข้าใจ เกิดในยุคจิ๊ว แต่เข้าใจดีเลย มันพากันขายชาติ ในยุคนังชวน หลีกภัย โดยพรรคจัญไร คนจัญไร
ตั้งยุคจิ๋ว ออกกฎหมายก็ได้ยุคจิ๋ว เอาเข้า imf ก็ยุคจิ๋ว ดังนั้นคนออกกฎหมายคนเอาชาติไปขายให้ imf ก็ต้องรับผิดชอบ ออกโดยคนจัญไร ชื่อแม้ว พรรคจัญไรของจิ๋ว และคดีปรส.ถูกดำเนินไปหลายคนแล้ว ก๊ากกกกกกกกกกกก แถใหม่
ประเทศเข้าสู่วิกฤติ ต้มยำกุ้ง ทำให้เกิด ปรส พวกไอ้แม้ว รวยค่าเงินบาทเป็นหมื่นๆ ล้าน ทำคนในชาติล่มจม ทั้งประเทศ
คดีปรส. : เรื่องมั่วๆที่หาว่า ปชป. ทำรัฐเสียหายถึง 8แสนล้านบาท 29 มกราคม 2014 เวลา 23:16 น. วิธีใช้ : 1. ใช้อ่านเพิ่มความรู้ให้กับตนเองจะเป็นการดีที่สุด 2. ส่งลิ้งให้คนใกล้ชิดเพื่อนำเสนอความรู้ ปรส. หรือชื่อเต็มคือ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (ทักษิณเป็นรองนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ออกพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน 2540 เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2540 ทำให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ ปรส. ชุดแรกขึ้น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2540 โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ เป็นอันดับแรก โดย ปรส. มีฐานะเป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการดูแลบริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ 1. คดีที่เกี่ยวพันกับปรส.คือกรณีขายสินทรัพย์สถาบันการเงิน 56 แห่ง ที่ อมเรศ ศิลาอ่อนและ วิชรัตน์ วิจิตรวาทการ อดีตเลขาธิการ ปรส. ถูกฟ้องฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 (เฉพาะในส่วนของ ปรส.) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 คือไปเอื้อประโยชน์เอกชนที่ประมูลสินทรัพย์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยไม่ได้ให้เอกชนรายดังกล่าวคือ บริษัท เลแมน บราเดอร์ส โดยราคาสินทรัพย์ที่เป็นปัญหาอยู่ที่ 11,520 ล้านบาท วางหลักประกัน 10 ล้านบาท แต่บริษัทไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับ ปรส.ภายใน 7 วันนับจากวันที่ 20 ส.ค. 2541 พร้อมทั้งต้องชำระเงินงวดแรกร้อยละ 20 ของราคาเสนอซื้อที่ชนะการประมูลเป็นเงิน 2,304 ล้านบาท แต่ไม่ได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีแต่การวางเงินประกัน 10 ล้านเท่านั้น ศาลจึงเห็นว่า การประมูลดังกล่าวไม่เกิดสัญญาขึ้น อย่างไรก็ตามต่อมามีการชำระเงินเต็มจำนวนจากการประมูลสินทรัพย์ดังกล่าว ความหมายคือ ไม่มีความเสียหายทางการเงินเกิดขึ้น ปรส.ได้เงินตามราคาที่ประมูล เพียงแต่ขั้นตอนทำสัญญาผิดกฎหมาย และผู้บริหาร ปรส. (อมเรศ ศิลาอ่อน และ วิชรัตน์ วิจิตรวาทการ)ไปเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน ศาลจึงสั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 3 ปี เพราะอายุมากและเคยทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ลิ้งข่าวรายละเอียดคดีอมเรศ ศิลาอ่อน http://goo.gl/SgHv2K 2. คดีล่าสุดเกี่ยวกับ ปรส. ที่ ป.ป.ช.เพิ่งตัดสินไปเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ว่า มนตรี เจนวิทย์การ เลขา ปรส. เอื้อประโยชน์ให้กับ เกียรตินาคิน ซึ่งเป็นบริษัทของ ภรรยาพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล (ยิ่งลักษณ์1 จากการเลือกตั้งปี2554) ในการประมูลสินทรัพย์ของ ปรส. ลิ้งข่าวรายละเอียดคดีมนตรี เจนวิทย์การ http://goo.gl/ugHKZK อ้าว...แล้วความเสียหาย 8 แสนล้านบาทคืออะไร??ความเสียหายแปดแสนล้านนั้นก็คือ ผลงานของรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ, ดร.วีรพงษ์ รามางกูร, ทักษิณ ชินวัตร และทนง พิทยะ ที่ร่วมกันบริหารประเทศจนล้มละลาย ต้องเอาประเทศเข้า IMF เพื่อขอกู้เงินมาใช้หนี้ระยะสั้น ทำให้ IMF เข้าควบคุมการเงินของประเทศ นำไปสู่การปิดสถาบันการเงินและการตั้ง ปรส. มาเผื่อจัดการหนี้เสียที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นหนี้สินของสถาบันการเงิน 56 แห่งรวมกันแล้วเป็นเท่าไหร่ นั่้นคือผลงานของชวลิตกับพวกโดยตรง การที่ปรส. ไม่สามารถขายหนี้ 8 แสนล้านได้เท่ากับจำนวนหนี้ เหตุผลหลักก็เป็น เพราะชวลิตทำให้หนี้พวกนี้เป็นหนี้เน่า ปล่อยกู้โดยไม่มีหลักประกันใดๆ "คนทำให้หนี้เน่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร คนขายหนี้เน่าไม่ได้ราคากลับกลายเป็นคนผิด" คดี ปรส. นี้เองเป็นสิ่งที่พรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน และปัจจุบันคือ พรรคเพื่อไทยพยายามบิดเบือนมาตลอด ข้อมูลเพิ่มเติม"ข้อเท็จจริงในด้านนโยบาย ปรส."
ความจริงมันเจ็บปวดนะควาย อ่านมติชินมากไปก็งี้แหละ อันนี้เขาพูดมีที่มาหมด http://www.naewna.com/politic/136582 วันอังคาร ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557, 13.24 น. tags : ศิริโชค, ปรส., ชวลิต, ปชป. 23 ธ.ค. 57 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.สงขลา และหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ และนายศิริโชค โสภา รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ถึงกรณีที่จะมีการฟ้องร้องบุคคลที่โจมตีว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำความเสียหายต่อชาติในกรณีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) โดยนายศิริโชค แถลงว่า ประเด็น ปรส.เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยและนักวิชาการเสื้อแดงใช้เป็นประเด็นโจมตีให้พรรคเกิดความเสียหายมาโดยตลอด จึงมีความจำเป็นต้องฟ้องดำเนินคดี และขอชี้แจงความจริง 10 ประการเกี่ยวกับ ปรส. ดังนี้ 1 วิกฤตเศรษฐกิจเกิดในสมัยพล.อ.ชวลิต ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินการคลังผิดพลาด ปล่อยให้นักการเมืองนำหลักทรัพย์ที่ไม่มีมูลค่าไปกู้เงิน เช่น กรณีธนาคารกรุงเทพและพาณิชยการ (บีบีซี) และมีการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปแทรกแซงเงินบาทจนหมดตัวก่อนลอยตัวค่าเงินบาท 2 การลาออกของ พล.อ.ชวลิต ไม่ใช่การรับผิดชอบแต่เป็นการทิ้งปัญหาเพราะคิดว่าประเทศไทยไปไม่รอด อีกทั้งก่อนลาออกยังได้ลงนามสัญญาทาสกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จนทำให้รัฐบาลต่อมาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น 3 องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. เกิดในสมัยพล.อ.ชวลิต มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีการแยกสถาบันการเงินที่มีปัญหาออกจากสถาบันการเงินที่ยังสามารถดำเนินการได้ด้วยการระงับสถาบันการเงินที่มีปัญหา 16 แห่ง เป็นการชั่วคราวในวันที่ 26 มิถุนายน 2540 และตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจคือ คณะกรรมการกำกับควบหรือโอนกิจการของสถาบันการเงิน (คคส.) ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 เพื่อกำกับดูแลการควบหรือรวมกิจการ กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน ต่อมารัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยังระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินเพิ่มเติมอีก 42 แห่ง ในวันที่ 2 สิงหาคม 2540 รวมทั้งหมด 58 แห่ง โดยกำหนดให้มีการยื่นแผนฟื้นฟูให้ คคส.ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2540 4 รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2540 5 ตามข้อจำกัดที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ทำสัญญากับไอเอ็มเอฟ ทำให้ ปรส.ต้องพิจารณาแผนการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 และประกาศผลการพิจารณาในวันที่ 7 ธันวาคม 2540 ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าบริหารประเทศในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 อีกทั้ง ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยการบริหารของ ปรส.ในขณะนั้นมีสถาบันการเงิน 2 แห่งจาก 58 แห่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการตามแผนฟื้นฟู โดยหนึ่งในนั้นคือ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งนางพนิดา เทพกาญจนา ภรรยาของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ในปี 2556 ป.ป.ช.ยังมีการชี้มูลความผิดผู้บริหาร ปรส.ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเกียรตินาคินด้วย 6 ยอดหนี้ที่ ปรส.เข้าไปสะสางมีเจ้าหนี้รวม 93,656 ราย มูลค่า 873,973.81 ล้านบาท เป็นหนี้กองทุนฟื้นฟูฯประมาณ 769,284.83 ล้านบาท 7 จากยอดหนี้ 769,284.83 ล้านบาท เป็นหนี้สินทรัพย์ไม่ใช่เป็นทรัพย์สินซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการลอยตัวค่าเงินบาทจึงทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นตามค่าเงินบาทที่อ่อนลงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 50 บาทต่อดอลลาร์ 8 หลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันมีมูลค่าลดลงจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังมีปัญหาว่าหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันในขณะนั้นเป็นหลักทรัพย์มีการประเมินราคาสูงเกินความเป็นจริง 9 ยอดสินทรัพย์ที่มีการประมูลขายคือ 748,091.78 ล้านบาท ได้เงิน 264,093.99 ล้านบาท และมีสินทรัพย์จำนวน 120,868.05 ล้านบาท เป็นหนี้ที่ต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาไม่สามารถนำไปประมูลขายได้ ดังนั้นจึงไม่มีการประมูลขายทรัพย์สินมูลค่า 873,973.81 ล้านบาท และได้เงินคืนเพียง 190,000 ล้านบาท ตามที่มีการปลุกระดมให้เกิดความเข้าใจผิดและ 10 กรณีอ้างว่าคดี ปรส.หมดอายุความเดือนพฤศจิกายนเป็นเรื่องเท็จ เพราะปัจจุบัน ป.ป.ช.ได้ชี้แจงแล้วว่าไม่มีคดีค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. โดยมีการสั่งฟ้องไปแล้วสองคดี คือ เรื่องการวางหลักประกันการประมูลหนี้ ที่ฟ้องผู้บริหาร ปรส. ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้องอยู่ในชั้นการพิจารณาคดีของศาลฎีกา และกรณีกล่าวหานายมนตรี เจนวิทย์การ เลขา ปรส. กับพวก เอื้อประโยชน์บริษัทเกียรตินาคินจนทำให้รัฐได้รับความเสียหาย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการฟ้องร้องดำเนินคดี นายศิริโชค กล่าวอีกว่า จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่าคนที่บริหารจนเกิดความเสียหายคือรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ไอเอ็มเอฟ และมีการตั้ง ปรส.เพื่อบริหารแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน โดยมีการออกกฎหมายให้เป็นหน่วยงานอิสระที่รัฐบาลแทรกแซงไม่ได้ อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตามแผนของไอเอ็มเอฟตามพันธะสัญญาที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิตไปลงนามด้วย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่ผู้ทำให้เกิดความเสียหายแต่เข้ามาแก้วิกฤตประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีข้อมูลชัดเจนว่าคนที่ได้ประโยชน์จากการบริหารของ ปรส. คือบริษัทเกียรตินาคินที่มีภรรยานายพงษ์เทพ กาญจนา เป็นเจ้าของ
กฎหมายออกมาดี แต่สมัยนังชวน พรรคอัปปรีย์เข้ามาบริหาร ทำขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย แต่ ในทางปฏิบัติ สมัย นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปปัตย์มาบริหารประเทศนั้น มีการตั้งข้อสังเกตกันว่ากระทำขัดต่อ วัตถุประสงค์ของกฎหมายที่มุ่งแก้ไข ระบบสถาบันการเงินด้วยการฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินการ ไม่ได้มีการแยกสินทรัพย์ดี และเสีย ( Good Bank – Bad Bank ) ทำรัฐเสียหายกว่า 800,000 ล้าน เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้ต่างชาติเข้ามากอบโกยผลประโยชน์โดยมิชอบ
อ่อ เอาชาติเข้า imf ออกกฎหมายขายสินทรัพย์ ว่าดีนะครับ อันนี้นายเวรว่าไว้ วัตถุประสงค์คืออะไรครับ มันขัดตั้งแต่วัตถุประสงค์แล้ว แถใหม่นะนายเวร 4 รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2540 5 ตามข้อจำกัดที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ทำสัญญากับไอเอ็มเอฟ ทำให้ ปรส.ต้องพิจารณาแผนการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 และประกาศผลการพิจารณาในวันที่ 7 ธันวาคม 2540 ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าบริหารประเทศในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 อีกทั้ง ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยการบริหารของ ปรส.ในขณะนั้นมีสถาบันการเงิน 2 แห่งจาก 58 แห่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการตามแผนฟื้นฟู โดยหนึ่งในนั้นคือ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งนางพนิดา เทพกาญจนา ภรรยาของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ในปี 2556 ป.ป.ช.ยังมีการชี้มูลความผิดผู้บริหาร ปรส.ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเกียรตินาคินด้วย ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ ใครออกหล่ะครับ
ผิดตรงที่พรรคนี้ มันพากันบรมโง่ หัวกลวง ไร้ความคิด กันสิครับ ขนาดจะแก้ไขปัญหาไข่แพง มันยังต้องไปจ้างบริษัทเอกชน คิดให้ แต่ไม่รู้ว่า มันใช้ส้นพระเท้าคิดรึไง ถึงคิดได้เยี่ยงนี้ แต่ก็ยังดีกว่า พรรคที่ไม่มีความคิด หัวกลวง ดีแต่พูด ขยันโกง ต้องมาจ้างให้ช่วยคิดให้ เสียเงินใช่เหตุไม่รู้กี่ร้อยล้าน
เเต่งตั้งเอง แทรกแซงไม่ได้เลย คณะกรรมการ ปรส.ชุดที่ขายสินทรัพย์สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ 56 แห่งนั้น ได้ถูกตั้งขึ้นในยุค “รัฐบาลชวน 2 (9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544)” มี “นายชวน หลีกภัย” เป็นนายกรัฐมนตรี และมี “นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์” เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดย คณะกรรมการ ปรส. ชุดที่ 2 แต่งตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2540 ประกอบด้วย 1. นายอมเรศ ศิลาอ่อน เป็นประธานกรรมการ 2. นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ เป็นผู้แทนกระทรวงการคลัง 3. นางธัญญา ศิริเวทิน เป็นผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย 4. นางจันทรา อาชวานันทกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นางเกษรี ณรงค์เดช ผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นายวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ กรรมการและเลขานุการแต่ในการดำเนินการประมูลขาย
ชอบจัง ที่บอกว่า เกิดยุคจิ๊ว แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ คณะกรรมการ ปรส.ชุดที่ขายชาติ ขายสินทรัพย์สถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการ 56 แห่งนั้น ได้ถูกตั้งขึ้นในยุค รัฐบาลนังชวน 2
กรุณาอ่านใหม่นะครับ 3 องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. เกิดในสมัยพล.อ.ชวลิต มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นรองนายกรัฐมนตรี มีการแยกสถาบันการเงินที่มีปัญหาออกจากสถาบันการเงินที่ยังสามารถดำเนินการได้ด้วยการระงับสถาบันการเงินที่มีปัญหา 16 แห่ง เป็นการชั่วคราวในวันที่ 26 มิถุนายน 2540 และตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจคือ คณะกรรมการกำกับควบหรือโอนกิจการของสถาบันการเงิน (คคส.) ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2540 เพื่อกำกับดูแลการควบหรือรวมกิจการ กำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำแผนฟื้นฟูสถาบันการเงิน ต่อมารัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยังระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินเพิ่มเติมอีก 42 แห่ง ในวันที่ 2 สิงหาคม 2540 รวมทั้งหมด 58 แห่ง โดยกำหนดให้มีการยื่นแผนฟื้นฟูให้ คคส.ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2540 4 รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2540 5 ตามข้อจำกัดที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ทำสัญญากับไอเอ็มเอฟ ทำให้ ปรส.ต้องพิจารณาแผนการฟื้นฟูให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2540 และประกาศผลการพิจารณาในวันที่ 7 ธันวาคม 2540 ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าบริหารประเทศในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 อีกทั้ง ปรส.เป็นองค์กรอิสระที่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงได้ โดยการบริหารของ ปรส.ในขณะนั้นมีสถาบันการเงิน 2 แห่งจาก 58 แห่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการตามแผนฟื้นฟู โดยหนึ่งในนั้นคือ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งนางพนิดา เทพกาญจนา ภรรยาของนายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นเจ้าของ นอกจากนี้ ในปี 2556 ป.ป.ช.ยังมีการชี้มูลความผิดผู้บริหาร ปรส.ว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเกียรตินาคินด้วย รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2540
แหมที่บางพรรคคิดอะไรไม่ออกหันไปถามทักษิณ ทักษิณคิดเผาไทยทำ ด่าคนอื่นโคตรเก่ง จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ใส่ร้ายไว้ก่อน แก้ปัญหาไม่ได้โทษนู่นนี่นั่น แต่ไม่รู้ว่า มันใช้ส้นพระเท้าคิดรึไง ถึงคิดได้เยี่ยงนี้ แต่ก็ยังดีกว่า พรรคที่ไม่มีความคิด หัวกลวง ดีแต่พูด ขยันโกง ต้องมาให้ทักษิณช่วยคิดให้ เสียเงินใช่เหตุไม่รู้กี่ร้อยล้าน
แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ แต่ รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ประกาศใช้พระราชกำหนด 6 ฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินการทั้ง 58 แห่ง มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2540 2. คดีล่าสุดเกี่ยวกับ ปรส. ที่ ป.ป.ช.เพิ่งตัดสินไปเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ว่า มนตรี เจนวิทย์การ เลขา ปรส. เอื้อประโยชน์ให้กับ เกียรตินาคิน ซึ่งเป็นบริษัทของ ภรรยาพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล (ยิ่งลักษณ์1 จากการเลือกตั้งปี2554) ในการประมูลสินทรัพย์ของ ปรส.
คดีปรส. : เรื่องมั่วๆที่หาว่า ปชป. ทำรัฐเสียหายถึง 8แสนล้านบาท 29 มกราคม 2014 เวลา 23:16 น. วิธีใช้ : 1. ใช้อ่านเพิ่มความรู้ให้กับตนเองจะเป็นการดีที่สุด 2. ส่งลิ้งให้คนใกล้ชิดเพื่อนำเสนอความรู้ ปรส. หรือชื่อเต็มคือ องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ (ทักษิณเป็นรองนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ออกพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน 2540 เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2540 ทำให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ ปรส. ชุดแรกขึ้น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2540 โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขฟื้นฟูฐานะของบริษัทที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ เป็นอันดับแรก โดย ปรส. มีฐานะเป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการดูแลบริษัทเงินทุนที่ถูกระงับการดำเนินกิจการ 1. คดีที่เกี่ยวพันกับปรส.คือกรณีขายสินทรัพย์สถาบันการเงิน 56 แห่ง ที่ อมเรศ ศิลาอ่อนและ วิชรัตน์ วิจิตรวาทการ อดีตเลขาธิการ ปรส. ถูกฟ้องฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 (เฉพาะในส่วนของ ปรส.) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 คือไปเอื้อประโยชน์เอกชนที่ประมูลสินทรัพย์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ โดยไม่ได้ให้เอกชนรายดังกล่าวคือ บริษัท เลแมน บราเดอร์ส โดยราคาสินทรัพย์ที่เป็นปัญหาอยู่ที่ 11,520 ล้านบาท วางหลักประกัน 10 ล้านบาท แต่บริษัทไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายกับ ปรส.ภายใน 7 วันนับจากวันที่ 20 ส.ค. 2541 พร้อมทั้งต้องชำระเงินงวดแรกร้อยละ 20 ของราคาเสนอซื้อที่ชนะการประมูลเป็นเงิน 2,304 ล้านบาท แต่ไม่ได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย มีแต่การวางเงินประกัน 10 ล้านเท่านั้น ศาลจึงเห็นว่า การประมูลดังกล่าวไม่เกิดสัญญาขึ้น อย่างไรก็ตามต่อมามีการชำระเงินเต็มจำนวนจากการประมูลสินทรัพย์ดังกล่าว ความหมายคือ ไม่มีความเสียหายทางการเงินเกิดขึ้น ปรส.ได้เงินตามราคาที่ประมูล เพียงแต่ขั้นตอนทำสัญญาผิดกฎหมาย และผู้บริหาร ปรส. (อมเรศ ศิลาอ่อน และ วิชรัตน์ วิจิตรวาทการ)ไปเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน ศาลจึงสั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท แต่ให้รอลงอาญา 3 ปี เพราะอายุมากและเคยทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ลิ้งข่าวรายละเอียดคดีอมเรศ ศิลาอ่อน http://goo.gl/SgHv2K 2. คดีล่าสุดเกี่ยวกับ ปรส. ที่ ป.ป.ช.เพิ่งตัดสินไปเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ว่า มนตรี เจนวิทย์การ เลขา ปรส. เอื้อประโยชน์ให้กับ เกียรตินาคิน ซึ่งเป็นบริษัทของ ภรรยาพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล (ยิ่งลักษณ์1 จากการเลือกตั้งปี2554) ในการประมูลสินทรัพย์ของ ปรส. ลิ้งข่าวรายละเอียดคดีมนตรี เจนวิทย์การ http://goo.gl/ugHKZK อ้าว...แล้วความเสียหาย 8 แสนล้านบาทคืออะไร??ความเสียหายแปดแสนล้านนั้นก็คือ ผลงานของรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ, ดร.วีรพงษ์ รามางกูร, ทักษิณ ชินวัตร และทนง พิทยะ ที่ร่วมกันบริหารประเทศจนล้มละลาย ต้องเอาประเทศเข้า IMF เพื่อขอกู้เงินมาใช้หนี้ระยะสั้น ทำให้ IMF เข้าควบคุมการเงินของประเทศ นำไปสู่การปิดสถาบันการเงินและการตั้ง ปรส. มาเผื่อจัดการหนี้เสียที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นหนี้สินของสถาบันการเงิน 56 แห่งรวมกันแล้วเป็นเท่าไหร่ นั่้นคือผลงานของชวลิตกับพวกโดยตรง การที่ปรส. ไม่สามารถขายหนี้ 8 แสนล้านได้เท่ากับจำนวนหนี้ เหตุผลหลักก็เป็น เพราะชวลิตทำให้หนี้พวกนี้เป็นหนี้เน่า ปล่อยกู้โดยไม่มีหลักประกันใดๆ "คนทำให้หนี้เน่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร คนขายหนี้เน่าไม่ได้ราคากลับกลายเป็นคนผิด" คดี ปรส. นี้เองเป็นสิ่งที่พรรคไทยรักไทย, พรรคพลังประชาชน และปัจจุบันคือ พรรคเพื่อไทยพยายามบิดเบือนมาตลอด ข้อมูลเพิ่มเติม"ข้อเท็จจริงในด้านนโยบาย ปรส."
http://www.naewna.com/politic/columnist/15441 25 ข้อเท็จจริงปรส.-คำกล่าวหาซ้ำซากที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำ งวดเข้ามาทุกทีกับประเด็นการเอาผิดนักการเมืองในระบอบทักษิณ กับการทุจริตครั้งมโหฬารกับมหากาพย์โกงจำนำข้าวโดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โครงการจำนำข้าวนี้เพาะพันธุ์เชื้อร้ายมาตั้งแต่ยุครัฐบาลไทยรักไทย แต่ความสุกงอม ของมันได้มาสิ้นสุดที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับเม็ดเงินภาษีที่ใช้ไปทั้งสิ้น 8.6 แสนล้านบาทในการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ดที่เข้าโครงการ 54 ล้านตัน ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี เดือนพฤศจิกายนนี้จะมีกระบวนการ ยุติธรรมมากมายที่จะโยงไปเอาผิดนักการเมืองผู้ออกนโยบายผลาญภาษีชาติและเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็นจำนวนเงินที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และในเดือนเดียวกันนี้เอง ลิ่วล้อของระบอบทักษิณนำโดยลูกชายของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรที่ปัจจุบันสถานะทางสังคมเป็น “นักโทษหนีคดี” ก็ออกมาจงใจเบี่ยงประเด็นสังคมต่อการเอาผิดการโกงจำนำข้าว ไปพูดถึงเรื่อง ปรส.อย่างไม่มีความรู้ลึก ไม่มีความเข้าใจ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งได้เช่นเดียวกันว่า “จงใจบิดเบือน” วิธีการนี้ของคนฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน มาถึงเพื่อไทยนั้น ไม่น่าแปลกใจนัก ที่มีการทำเป็นขบวนการในลักษณะ ซ่องโจรทางข้อมูล แบบนี้ ซึ่งจะว่าไป ทักษิณเข้ามาอยู่ในการเมืองก็ด้วยการใช้การตลาดนำ ประชาสัมพันธ์นำ พอเข้ากับการเมืองสุดท้าย เลยกลายเป็นแบบสุดโต่ง อะไรที่ตัวเองทำผิด ทำพลาด หรือโกงเอาไว้ ก็จะโบ้ยให้เป็นขี้ของคนอื่น อะไรที่คนอื่นทำไว้เป็นผลงานเด่น แต่เขาเพียงพูดเก่งน้อยกว่า ทักษิณก็จะโม้จากสิบเป็นล้าน คราวนี้กรณี ปรส.ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์ดำที่ทักษิณนั้นทำเอาไว้ผิด และเสียหายอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ก็ดันมีลูกชายไร้จิตสำนึก เอาผลงานชั่วๆ ของพ่อมาป้ายสีโทษคนที่เขาเข้ามาเช็ดล้างสิ่งสกปรกของพ่อตัวเองได้ลงคอ ทางเราอยากจะขอชี้แจงข้อเท็จจริง ปรส.เอาไว้ ซึ่งได้จากการรวบรวมเอกสารราชการ รายงานข่าวราชการ มติคณะรัฐมนตรี ผลการตัดสินคดีความ รวมไปถึงบทความเขียนของบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่มีบทบาทหลักในชำระล้างปฏิกูลทางการเมืองที่ตกทอดมาจากรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต่อกรณีปัญหาวิกฤติต้มยำกุ้ง และปรส. โดยจะขอนำบทความของ คุณพิเชษฐ์พันธุ์วิชาติกุล บางส่วนมาเรียบเรียงในบทความนี้อีกครั้งครับ >>> ข้อเท็จจริง ปรส. <<< 1.ไทม์ไลน์การบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลชวลิต 25 พฤศจิกายน 2539 ถึง 9 พฤศจิกายน 2540 ต่อมาลาออก และได้มีการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่โดยมติสภาผู้แทนราษฎรได้ รัฐบาลชวน หลีกภัยครั้งที่ 2 2.ในช่วงบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชวลิต ยงใจยุทธนั้น มีรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจชื่อ ทักษิณ ชินวัตร 3.รัฐบาลชวน หลีกภัย เริ่มทำงานหลังโปรดเกล้าฯ และถวายสัตย์ ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 4.รัฐบาลชวน เข้ามาบริหารประเทศหลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งแล้ว 5.รัฐบาลชวน เข้ามาบริหารประเทศหลังจากรัฐบาลชวลิต และรองนายกฯ ทักษิณไปเซ็นสัญญากับ IMF แล้วตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2540 6.การเข้าเซ็นสัญญากับ IMF ของรัฐบาลชวลิตและรองนายกฯ ทักษิณ ทำให้ไทยต้องมีเงื่อนไขที่ต้องทำตาม IMF ต่างๆ ตามมาเป็นภาระผูกพันอีกมากมาย รวมไปถึงการจัดการกับสถาบันการเงินต่างๆ จนเป็นที่มาให้ต้องออก ปรส. 7.รัฐบาลชวลิต และรองนายกฯ ทักษิณ ออกกฎหมายด่วนเป็น พรก.ปรส.ประกาศใช้วันที่ 25 ตุลาคม 2540 ซึ่งรัฐบาลชวนยังไม่บริหารประเทศ 8.ต่อมารัฐบาลชวลิตพร้อมรองนายกฯ ทักษิณลาออก เพราะแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้!!!!! 9.รัฐบาลชวนได้รับเลือกจากผู้แทนราษฎรจากรัฐสภาตามวิถีของประชาธิปไตย โจทย์หลักคือเข้ามา “แก้วิกฤติเศรษฐกิจ” หรือต้มยำกุ้ง 10.เมื่อกฎหมาย ปรส.บังคับใช้ตั้งแต่สมัยนายกฯ ชวลิตแล้ว ผลจากการออกกฎหมายนั้นจึงผูกพันต่อมายังรัฐบาลชวน ซึ่งทักษิณ ชินวัตร ในฐานะรองนายกฯ เศรษฐกิจเป็นตั้งคนต้นเรื่อง กำหนดแนวทาง และออกนโยบายในการทำ ปรส.ทั้งหมดตั้งแต่ต้น 11.ปรส.บริหารโดย ประธาน และเลขาธิการที่แต่งตั้งจากมติครม.ที่เสนอโดยรัฐมนตรีคลัง ในสมัยรัฐบาลชวลิต 12.กฎหมายของปรส.ทำตามสัญญา IMF หลักใหญ่ใจความคือ “ห้ามฝ่ายการเมืองเข้าไปก้าวก่าย” เพราะ IMF บอกว่า นักการเมืองในยุคก่อนหน้านี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในขณะที่แบงก์ชาติก็อ่อนแอ 13.จากบทสรุปของข้อก่อนหน้าคือ “นายกฯ ชวน และรัฐบาลประชาธิปัตย์ ไม่สามารถโยกย้ายประธานและเลขาฯ ปรส.และกฎหมายยังคับให้ปรส.ทำงานโดยอย่างอิสระ ตามแนวทางเดิมของกฎหมายที่ร่างมาตั้งแต่ต้นในสมัยรัฐบาลชวลิต” 14.ปรส.ชื่อเต็มคือ องค์การเพื่อการปฏิรูปและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน : ปรส.(Financial Secter Restructuring Authority :FRA) 15.ปรส.มีหน้าที่ “ตามมติครม.ชวลิตลงวันที่ 14 ตุลาคม 2540” ที่เสนอโดยรองนายกฯ ที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางสำหรับบริษัทเงินทุก 58 แห่งที่มีปัญหา 16.มติครม.ของรัฐบาลชวลิตกำหนดว่า ห้ามมิให้การเมืองก้าวก่าย นั่นหมายถึง รัฐมนตรีคลังในอนาคตก็ไม่สามารถถอดถอนประธานและเลขาธิการปรส.ได้ 17.มติครม.ของรัฐบาลชวลิตกำหนดว่าการจะสั่งปิดกิจการให้เป็นอำนาจของปรส.เท่านั้น รมว.คลัง จะมีอำนาจแค่เซ็นตามที่ ประธานปรส.เสนอขึ้นมาเท่านั้น 18.อำนาจเต็มในการขายกิจการ หรือสินทรัพย์ของกิจการเป็นอำนาจเต็มของปรส. ซึ่งแต่งตั้งมาโดยมติครม.รัฐบาลชวลิต 19.คณะกรรมการ ปรส. ที่ พลเอกชวลิต ตั้งไว้ มีมติเด็ดขาดต่อ 58 สถาบันการเงินที่ถูกสั่งปิดชั่วคราว ให้ปิดถาวรต่อไป 56 แห่ง อนุญาตให้กลับมาฟื้นฟูดำเนินกิจการ แค่ 2 แห่ง 20.หนึ่งในสองแห่งที่กลับมาเปิดใหม่ได้ คือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เกียรตินาคิน ซึ่งปัจจุบันได้เติบโตจนยกฐานะขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์ ในปี 2548 สมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร คือธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) 21.มีความเชื่อมโยงทางเครือญาติระหว่างธนาคารเกียรตินาคิน กับ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นรัฐมนตรีในไทยรักไทยเองด้วย 22.คดีกล่าวหา ปรส. มีคดีอาญา 25 คดี ยกฟ้องแล้ว 20 คดี อยู่ระหว่างพิจารณา5 คดี ในคดีที่เหลือ สุดท้ายศาลอุทธรณ์ยกฟ้องอีก 3 คดี เหลือเพียงคดีส่วนที่กล่าวหาเลขาธิการ ปรส. เอื้อประโยชน์แก่ บมจ.เงินทุนหลักทรัพย์เกียรตินาคิน เกี่ยวกับเรื่องภาษี ไม่มีข้อหาเรื่องทุจริต (จากบทความ FB คุณ : พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล) ดังนั้นข้อกล่าวหาที่บอกว่า องค์กรยุติธรรมล่าช้าต่อกรณีนี้ไม่เป็นความจริง 23.สัดส่วนการขายสินทรัพย์นั้นอยู่ที่ 46% ไม่ได้ต่ำถึง 10-15% ตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด 24.บุคคลที่ต้องโทษจากการกระทำความเสียหายต่อรัฐแต่สุดท้ายถูกยกฟ้อง จากกรณี ปรส.นั้นส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่แต่งตั้งโดยมติครม.ที่มีรองนายกฯ ทักษิณกำกับดูแลโดยตรง และยังออกกฎไม่ให้รัฐบาลใหม่สามารถก้าวก่ายโยกย้ายได้ 25.ปรส.ไม่ใช่นโยบายรัฐบาลของรัฐบาลชวน แต่เป็นผลผูกพันบังคับใช้มาจากรัฐบาลก่อนหน้า จึงไม่สามารถเทียบเคียงได้กับการ “โกงจำนำข้าว” ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ตลอดจนการแถลงนโยบายต่อรัฐสภามาโดยตลอด นอกจากประเด็น ปรส.แล้วยังมีกรณีโฮปเวลล์ โรงพัก และเงินกู้ IMF ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องในอดีตทางการเมืองที่มีรายละเอียด มากมายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง กรณีโฮปเวลล์รัฐบาลประชาธิปัตย์ยกเลิกการก่อสร้างเองเพราะเห็นแล้วว่าไปไม่รอด ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนเริ่ม ส่วนโรงพักที่มีปัญหานั้นเรื่องตอนนี้กลับไปสู่การดำเนินคดีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั่นคือ ฝ่ายบริหารในสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุคสมัยที่เครือญาติของอดีตนายกฯ ทักษิณดำรงตำแหน่ง แล้วมีการไปเซ็นเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจัดจ้างจนกระทั่งพอพรรคเพื่อไทยปูดเรื่องกันไปมา เจอว่าเป็นลายเซ็นคนกันเองก็เงียบไป แต่ทางอดีตรองนายกฯ สุเทพที่โดนกล่าวหาโดยตรงก็ไม่ยอม ตอนนี้กำลังฟ้องกลับซึ่งกระบวนการก็ยังอยู่ในหน่วยงานยุติธรรมแต่ลิ่วล้อก็เอามาเล่นไม่เลิก แล้วยังโยงไปเงินกู้ IMF ซึ่งกรณีนี้ตามเอกสาร IMF ระบุชัดว่า รัฐบาลที่ไป เซ็นสัญญากับ IMF ก็คือรัฐบาลชวลิต ที่มีรองนายกฯ ชื่อทักษิณนี่แหละไปเริ่มกู้เอาไว้ รัฐบาลชวน 2 เข้ามาช่วยจ่ายเงินคืนไปเกือบถึง 80% ของมูลหนี้ทั้งหมดแล้ว ไทยรักไทย โดยนายกฯทักษิณเข้ามาเหมาจ่ายที่เหลือนิดเดียว แต่อวดอ้างใหญ่โตว่าใช้หนี้ทั้งหมด ที่สำคัญยังยอมเสียค่าปรับบวกค่าโง่และกับค่าดอกเบี้ยอีกต่างหาก และสิ่งหนึ่งที่คนไทยต้องพึงตระหนักไว้คือ เงินที่เอาไปคืนนั่นคือ ภาษีของประชาชนคนไทยนี่แหละ เรื่องทั้งหมดนี้จำเป็นต่อคนไทยอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยกันเผยแพร่ขยายข้อเท็จจริงให้คนส่วนใหญ่ได้ทราบครับ ข้อเท็จจริงในอดีตมากมายที่ ถูกบิดเบือนในปัจจุบันโดยเฉพาะจากแกนนำอย่างลูกชายนักโทษหนีคดีที่มีสว่นได้ส่วนเสียโดยตรงจากปรส. อย่าปล่อยให้คนชั่วปั้นสะกดจิตคนไทยปั้นคำโกหกให้กลายเป็นเรื่องจริงครับ
http://www.isranews.org/isranews-news/item/36117-nacc_1047_01.html ป.ป.ช. งัดผลไต่สวนคดี ปรส. โชว์หราหน้าเว็บ! หลังถูกมวลชนบางฝ่าย-พรรคบางแห่งตั้งแง่ปล่อยคดีหมดอายุความ รายงานหมด วันที่มีมติ-ข้อกล่าวหา-ผลพิจารณาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เว็บไซต์สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ผลการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ภายหลังถูกหลายฝ่ายในสังคมตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ยอมดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในกรณีนี้ ส่งผลให้คดีต้องสิ้นอายุความ โดยผลการไต่สวนข้อเท็จจริงดังกล่าว ระบุว่า มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวคดี ปรส. ทั้งหมด 6 คดี โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป 4 คดี เหลือ 2 คดี คือ 1.กล่าวหา นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง และนายอมเรศ ศิลาอ่อน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ปรส. กับพวก กรณีขายทรัพย์สินของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการตามสัญญาขายสินเชื่อพาณิชย์ และสินเชื่ออื่น (FRA 06-CO) ให้บริษัท ASOI (Delawere) L.L.C. และกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกรณีจัดตั้งกองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอลโดยไม่ชอบตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดวินัย-อาญา นายมนตรี เจนวิทย์การ เลขาธิการ ปรส. สำหรับผู้ถูกกล่าวหาคนอื่น ๆ ข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้ข้อกล่าวหาตกไป หลังจากนั้นได้ส่งสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษ และส่งให้อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้ฟ้องคดี ล่าสุด อสส. ได้ฟ้องคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล 2.กล่าวหา นายอมเรศ ศิลาอ่อน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ปรส. กับพวก กรณีขายขายทรัพย์สินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยแม็กซ์ จำกัด (มหาชน) ที่ถูกปิดกิจการ ให้บริษัทเงินทุนเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) และกองทุนรวมเอเชียรีคอฟเวอรี่ 3 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด วินัย-อาญา นายมนตรี เจนวิทย์การ เลขาธิการ ปรส. หลังจากนั้นได้ส่งสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษ และส่งให้ อสส. เป็นผู้ฟ้องคดี ล่าสุด อสส. ได้ฟ้องคดีต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล (อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่นี่ : http://www.nacc.go.th/ewt_news.php?nid=10216) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีมวลชนบางฝ่าย และพรรคการเมืองบางพรรค ตั้งข้อสังเกตถึงการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดี ปรส. ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีการส่งหนังสือร้องเรียนให้เร่งรัดดำเนินคดีเนื่องจากใกล้จะหมดอายุความ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงหลายครั้งว่า คดีนี้ไม่ได้อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว
ผมว่าไอ้พวกชอบบิดเบือนนี่มันเก่งนะ แล้วมันก็ตีกินเอาความดีใส่ตัวเอาความชั่วใส่คนอื่น ซึ่งมะนอาจจะเป็นเพราะว่าตอนมันบริหารประเทศจนใกล้เจ๊งมันก็มีเหตุให้มันต้องไปเสียก่อน พอคนอื่นมาแก้ไขปัญหารับขี้มันไปทำอย่างไรก็คงไม่ได้ดี เคยมีช่วงไหนที่มันบริหารประเทศไว้ดีแล้วคนอื่นมาทำแล้วแย่บ้างมีแต่มันทำไว้แย่แล้วคนอื่นมาเก็บขี้ให้ตลอดพอเขาทำฟื้นขึ้นมาก็ไม่เห็นมันทำให้ดีขึ้นล่าสัดก็ถลุงซะจนขาดทุนจำสำข้าวมโหฬาร ถ้ามันไม่ไปก่อนนี่มันจะมีปัญญาแก้ปัญหาที่มันทำไว้ไหม สุดท้ายคนมาบริการต่อก็โดนพวกมันด่าก็โดนพวกมันด่าทั้งๆที่พวกมันทำแย่ๆเอาไว้เอง ชาวบ้านก็หลงแต่ไอ้นโยบายซื้อเสียงของพวกมัน ผมยังจำได้ว่ามันจะแก้ปัญหาจราจรให้ได้ภายใน6เดือนแล้วมันทำได้ไหม นโบบายซื้อเสียงอื่นๆตอนหลังก็ไม่เห็นจะทำได้ตามที่หาเสียง เงินในอากาศมาทำรับจำนำข้าวก็เห็นมีแต่มาจากภาษีประชาชนแถวยังดเข้ากระเป๋าพวกมันทั้งนั้น
พวกนี้เขาชอบย่อความครับ ทั้งที่ภาษาไทยไม่แข็งแรง จะได้ประมาณนี้ มาร์คตกลงกับแกนนำเสื้อแดงแล้วว่าจะลาออก โดยเสื้อแดงต้องไม่ก่อเรื่องอีก แต่เสื้อแดงไม่ฟังได้ก่อความวุ่นวายบวกกับมีกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายแอบแฝงมาในที่ชุมนุมด้วย จึงได้เตือนให้เลิกและค่อยสั่งสลายการชุมนุม แต่เสื้อแดงไม่ฟังและก่อการจราจล ปล้นทำลายทรัพย์สิน คาดว่ามีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์วุ่นวายรวมทั้งสองฝ่ายประมาณ 99 คน ชวนรับผิดชอบปรส.ที่จัดตั้งขึ้นโดยชวลิต เพราะชวลิตบริหารเศรษฐกิจผิดพลาดจนต้องกู้เงินจาก IMF
สมกับเป็นไอ้ขี้เรื้อนจริง ๆ จะโชว์ข้อมูลตัดแปะทั้งที หาที่มันดี ๆ กว่านี้ได้มั๊ย ทำห่วยยิ่งกว่าเด็กมัธยมต้นซะอีก แถมเครดิตคนทำก็ยังไม่กล้าจะใส่ไว้ เอาแบบ วิเคราะห์โดยสถาบัน......สำนักข่าว...... ถ้าหาอ้างอิงของไทยไม่ได้ หาของต่างชาติก็ได้ นี่เล่นแบบใช้ภาพพื้นหลังสีห่วย ๆ แล้วใส่ข้อความมโนเพ้อเจ้อ ....... ไม่มีแม้กระทั่งเชิงอรรถ อ้างอิงจากเอกสารราชการหรือสถาบันวิจัยใด ๆ เลย .....ตกลงนี่คิดจะเอามาให้คนอ่าน หรือให้ควายอม กันนะ เรื้อนต้องแหกตา เปิดกระโหลกหนา ๆ ดูที่คนอื่นเอามาแปะเป็นตัวอย่างบ้าง .....จะได้ไม่ดักดานย่ำอยู่กับที่ ผ่านไปกี่ปี ๆ ก็ยังได้แค่ชาร์ตภาพห่วย ๆ .........แล้วแบบนี้จะมีปัญญาสั่งสอนลูกเมียให้หายโง่ได้อย่างไร
เอาแค่จิกหัวด่าก็พอครับ ไม่ต้องอธิบายเหตุผลหักล้าง เสียเวลาเปล่าๆ เพราะยังไงมันก็ยังจะเอาข้อมูลเน่าๆเท็จๆไปแปะที่อื่นอยู่ดี