แม้ว่า คุณปู จิตกร จะเขียนไว้และอยากให้ทุกท่านได้อ่าน ให้แชร์กันไปมากๆ สำหรับผม รู้สึกว่าแม้จะยาวซักนิดนึง แต่อ่านง่าย ได้ข้อมูล ความรู้ และ เห็นภาพการเปรียบเปรย ได้ชัดเจน. และแสบสัน ดีจริงๆ .. ------------------------------------ หยุดหนีโทษ ‘จำนำข้าว’ หยุด ‘เวียนเทียนสมอง’ กันซะที! เห็นพลพรรคผู้รัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังต่อสู้คดีทั้งทางอาญาและ พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการไม่ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ด้วยถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมา พูดจาซ้ำๆ ซากๆ ทุกอาทิตย์ ทั้งๆ ที่เกือบทุกประเด็นที่พูดย้ำๆกันอยู่นั้น มีคนช่วยชี้แจง จนเชื่อได้ว่า หากเป็นวิญญูชน มีสมอง และสมองยังประมวลผลได้ ก็น่าจะ “เข้าใจตรงกัน” ไปนานแล้ว แต่ยังครับ, ยังมีตัวละครใหม่ๆ ผลัดกัน “ออกแขก” เล่นตลกหน้าม่าน “ถ่วงเวลา” ไปเรื่อยๆ โดยใช้ “บทพูดซ้ำกัน” อย่างน่าสมเพช ดูถูกคนดู ดูถูกตัวเอง แต่ตัวละครเหล่านี้ เหมือนไม่รับรู้ถึงความน่าสมเพชนั้น กลับแน่วแน่ที่จะเป็น “ตัวตลกที่สัตย์” ต่อนางเอกในท้องเรื่องของพวกเขา ล่าสุด 13 พ.ย. 2558 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานจากพรรคเพื่อไทย จะใช่ “ตลกหน้าม่าน”ที่คว้าบทพูด “ซ้ำๆ และโง่เขลา” ออกมาเต้นเร่าๆ อย่างอุ้ยอ้ายที่หน้าม่านอีกคนหรือไม่ ลองพิจารณากัน 1) นางลดาวัลลิ์ได้ออกมากล่าวว่า จำได้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดอยู่เสมอว่าเหตุที่ท่านยึดอำนาจและมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพื่อมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่มีทางออก ก็เข้าใจตลอดมาว่าท่านคงจะทำตัวเป็นคนกลางประสานทุกภาคส่วนในประเทศไทยเพื่อแก้ไขปมปัญหาทางการเมือง ที่จะลดความขัดแย้งทางการเมืองให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้แล้วท่านก็จะไป 2) แต่เมื่อเห็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2558 เห็นแย้งข้อ กม. การฟ้องคดีแพ่งมี 2 วิธี คดียังไม่ขาดอายุความ อย่าเร่งรีบ แนะนำให้ส่งกฤษฎีกาวินิจฉัย และย้ำว่า “รัฐ” เป็นคู่กรณีไม่ควรออกคำสั่งทางปกครองแทนศาล นั่นแสดงว่า น.ส.ยิ่งลักษฺณ์เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือรู้สึกไม่สบายใจต่อท่าทีของรัฐบาลและของนายกรัฐมนตรี 3) ซึ่งที่จริงการรับจำนำข้าวนั้น เป็นการทำตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาแล้ว ถือได้ว่าเป็นการทำตามหน้าที่ย่อมไม่เป็นการละเมิดตามกฎหมาย ในเมื่อไม่ละเมิด ก็ไม่ผิด พ.ร.บ.ปี 2539 ทั้งสองฉบับ 4) ดังนั้น กรณีข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่ามีเหตุอันควรสงสัย ว่าผู้ถูกกล่าวหาเพิกเฉย ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว และอัยการสูงสุดก็ส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วนั้น นายกรัฐมนตรีก็ไม่ควรที่จะดำเนินการใดๆ นอกเหนือจากกระบวนการทางศาลอีก 5) และต้องให้ความเคารพเชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีมาตรฐานดีกว่าการใช้อำนาจทางปกครองที่อาจจะพิจารณาสืบสวนหาเอกสารพยานหลักฐานไม่ครบถ้วน ไม่เป็นธรรม ไม่น่าเชื่อถือ เหมือนกระบวนการพิจารณาคดีของศาลที่ใช้หลักการยุติธรรม อันสอดคล้องกับสากล 6) “หากใช้อำนาจฝ่ายปกครองลงโทษในกรณีนี้ ก็จะเป็นผลเสียต่อประชาชนแน่นอน คือจะไม่มีนักการเมือง พรรคการเมืองใด กล้าเสี่ยงทำนโยบายดีๆ เพื่อช่วยเหลือชาวนาอีกเลย ความยากลำบากก็คงอยู่กับชีวิตของชาวนาตลอดไปอย่างน่าสงสาร” นางลดาวัลลิ์กล่าวครับ, แต่เดิมผมก็นึกว่า มีแค่การ “เวียนเทียนข้าว” คือ เอาข้าวในโกดังออกไป เพื่อนำเข้าสู่โครงการรับจำนำใหม่ แล้วได้เงินไปกินกันครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เคยคิดเลยว่า จะถึงกับมีการ“เวียนเทียนสมอง” คือ ใช้สมองก้อนเดิมซ้ำๆ กัน เพียงผลัดเวียนกันเอาหัวกลวงๆ มาบรรจุสมองก้อนนั้น แล้วออกมา “สื่อสารกับสังคม” ด้วยถ้อยคำเดิมๆ เพียงแต่เปลี่ยน “หุ่น” ก็มีด้วย นางลดาวัลลิ์พึงพิจารณา ว่าตนเป็นหนึ่งในหุ่นที่ว่านั้นหรือเปล่า พบคำตอบแล้ว รบกวนตอบกลับมาด้วยนะครับ (มีต่อ)... ------------------------
คราวนี้ มาดูเรื่องนี้ อย่างคนที่ “มีสมองและสมองยังประมวลผลได้” กันดีกว่า [หนึ่ง] การยึดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เพราะสภาพการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ไม่มีทางออก และความขัดแย้งกำลังจะกระฉอกขึ้นไปแปดเปื้อนพระผู้ทรงเป็นศูนย์รวมใจคนทั้งแผ่นดิน กล่าวคือ ไม่มีรัฐบาลปกครองประเทศ มีแค่รัฐมนตรีรักษาการไม่กี่คน ซึ่งไม่มีอำนาจพอที่จะ “เดินหน้า” ประเทศได้ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการก็ไม่ได้ เพราะไม่มีแม้กระทั่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ไม่มีสภาที่จะอนุมัติงบประมาณปี 2558 ไม่มีผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมายจะประกาศการเลือกตั้งใหม่ คือ ทำอะไรไม่ได้เลย อีกด้านคือ รองประธานวุฒิสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ก็มีแรงกดดันให้ “ผ่าทางตัน” ด้วยการนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อให้มีนายกฯโดยใช้ประเพณีที่เคยปฏิบัติ หรืออีกทางคือ ปวงชนชาวไทย มีมติให้เลขาธิการ กปปส. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศชื่อนายกฯผ่าทางตัน ซึ่งดูเหมือนทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันให้ฝ่ายวุฒิสภาทำจะงดงามกว่า แต่ฝ่ายวุฒิสภาก็ไม่แน่ใจในข้อกฎหมาย และไม่ประสงค์ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท พลเอกประยุทธ์ ซึ่งประกาศกฎอัยการศึกเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อยอยู่ในเวลานั้น ได้ให้ทุกฝ่ายมาพบกัน เพื่อหาทางออก ประเด็นก็ไปติดขัดอยู่แค่ หากรัฐมนตรีหยิบมือเดียวที่รักษาการอยู่ยอมลาออก ก็เป็นความชอบ ให้รองประธานวุฒิสภานำความขึ้นกราบบังคมทูลอย่างสมบูรณ์ โดยไม่เหลือเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองค้างคาอยู่ แต่คำตอบที่ได้รับจากนายชัยเกษม นิติสิริ คือ “นาทีนี้ ไม่ลาออก” จึงเป็นที่มาของประโยคที่ว่า “นาทีนี้ผมยึดอำนาจ” การรัฐประหารครั้งนี้ของ คสช. จึงไม่ใช่ยึดอำนาจจากรัฐบาลใดๆ เพียงแต่จำเป็นต้องยึด เพื่อเอาอำนาจที่ไม่สมประกอบที่คาอยู่ในมือของคนที่ไม่ยอมเปิดทางให้บ้านเมืองมาประกอบกันอีกครั้ง และป้องกันความขัดแย้งทางการเมืองลามไปถึงองค์พระประมุข ซึ่งทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง และเพื่อหยุดการเผชิญหน้ากัน ตลอดจนความล้มตายที่ส่อเค้าว่าจะเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงซึ่งน่าเสียดายว่า ในระยะแรก คสช. กังวลเรื่องบรรยากาศการปรองดองมากเกินไป จนไม่ยอมแถลงให้คนทั้งชาติได้รู้ว่า ทหารตรวจยึดอาวุธสงครามร้ายแรงได้มากขนาดไหน และสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองฝ่ายใด ดังนั้น การยึดอำนาจ จึงไม่ใช่ยึดมาเพียงเพื่อจะ “เป็นคนกลางประสานทุกภาคส่วนในประเทศไทยเพื่อแก้ไขปมปัญหาทางการเมือง ที่จะลดความขัดแย้งทางการเมืองให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้” อย่างที่นางลดาวัลลิ์พร่ำเพ้ออย่างเดียว แต่ยังต้อง “ชำระสะสาง” ความถูก-ผิด ดำเนินคดีกับคนผิด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างถึงที่สุดด้วย [สอง] ความเสียหายจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว เป็นข้อผูกพันทางกฎหมายที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะเพิกเฉย หรือปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปวันๆ หนึ่งมิได้ เพราะอะไร 2.1 เพราะทุกวัน รัฐบาลต้องจ่ายค่ารักษาสภาพข้าว(โกดัง เซอร์เวลา ค่าเก็บรักษา รมยา ประกัน ฯลฯ) ราวๆ 42-46 ล้านบาท นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขล่าสุดว่า เดือนละประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นเงิน 1,000 ล้านบาทที่ประโยชน์มิได้ตกอยู่กับ “ชาวนา” หรือประชาชนที่ยากจนข้นแค้นกลุ่มใดเลย 2.2 เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งหนังสือมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงการคลังกับกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำเนินการ “เรียกค่าเสียหาย”อันเกิดจากการกระทำโดย “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องใช้ พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิด พ.ศ.2539 ซึ่งกำหนดไว้แล้วว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยประมาท ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินแผ่นดิน ให้ออกคำสั่งทางปกครอง สั่งให้ผู้นั้นชดใช้คืน นี่จึงมิใช่ความกระสันส่วนตัวที่จะใช้อำนาจทางปกครองต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 2.3 หรือต่อให้กฎหมายเปิดช่อง ว่ารัฐบาลจะ “ฟ้องแพ่ง” ให้ใช้ พ.ร.บ.รับผิดทางละเมิด มันก็เป็นสิทธิโดยชอบ ที่รัฐบาลจะใช้กฎหมายใดก็ได้ เพราะมันคือ “กฎหมาย” ที่มีมาก่อนการรัฐประหาร และ “ใช้กับกรณีอื่นๆ มาแล้วจำนวนมาก” นี่ไม่ใช่การสู่ขอ หาผู้หญิงมาทำเมีย ที่ต้องไปขอเขา แล้วให้เขากำหนดวิธีเป็นผัวเป็นเมียกัน ว่าสินสอดทองหมั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ เรือนหอต้องเป็นยังไง ยิ่งลักษณ์คือ “จำเลย” ไม่ใช่เจ้าสาว จะดีดดิ้นกระบิดกระบวนอะไรนักหนา และพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ใช่เจ้าบ่าวหรือว่าที่ผัวที่จะต้องตามใจ เอาใจ แต่ท่านมีหน้าที่ใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อแผ่นดิน มิใช่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ “จำเลย” [สาม] นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อขอความเป็นธรรมในการเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวว่า เป็นการยื่นตามช่องทางที่ถูกต้อง รัฐบาลจะรับมาพิจารณา ส่วนเรื่องอายุความนั้น รัฐบาลสามารถเลือกดำเนินการได้ 2 ทาง คือ 1.ฟ้องแพ่งฐานละเมิด ซึ่งอายุความจะก้ำกึ่ง 1 ปี หรือมากกว่านั้น หากคดีความมีมูลความผิดทางอาญา ก็จะให้อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายยาวเท่าคดีอาญา 15 ปี และ 2.การออกคำสั่งทางปกครอง ซึ่งใช้มาแล้วประมาน 3 พันคดี ซึ่งกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่ามีอายุความ 2 ปี เมื่อเราเลือกการออกคำสั่งทางปกครองก็ไม่ต้องมาเถียงกันเรื่องอายุความ ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล พิจารณาแล้วว่า วิธีนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่สุด ไม่ใช่ประโยชน์ต่อจำเลยหรือโจทก์ทั้งนี้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ปี 2539 เป็นกฎหมายที่ช่วยเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะหากเกิดความเสียหายจากการปฏิบัติหน้าที่ หน่วยงานนั้นๆ ต้องรับผิดชอบ แต่หากเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เจ้าตัวต้องรับผิดชอบ ซึ่งกรณีนี้นั้นถือเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่อดีตรัฐมนตรี โดนเรียกค่าเสียหาย และจ่ายมาแล้วด้วย หากรัฐแพ้ผู้ถูกร้องก็ไม่ต้องจ่าย ส่วนที่เรื่องนี้ ไม่ฟ้องร้องถึง ครม.นั้น เพราะเรื่องนี้ไม่เคยเข้า ครม. [สี่] และเลิกบิดเบือนเสียทีเถิดว่า นี่เป็นนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา หมายจะช่วยชาวนา เพราะมันเป็น “ความกะล่อนผสมความหน้าด้าน ไร้ยางอาย” อย่างที่สุด ทั้งดูถูกสติปัญญาประชาชนไปในตัว คุณมีนโยบาย ประกาศนโยบาย และขับเคลื่อนนโยบาย ไม่มีความผิดแต่มูลความผิดเกิดจาก “การกำกับดูแลการดำเนินนโยบายดังกล่าว” ที่เปิดช่องให้มีความรั่วไหล มีคนแจ้งเตือนแล้ว กลับไม่แก้ไข ปล่อยให้เกิดความเสียหายซึ่งไม่ควรเกิด รัฐก็ต้องเอาผิด และให้คุณชดใช้ “ความเสียหายในส่วนนั้น” ไม่ได้ให้ไปเอาเงินคืนจากชาวนา หรือจ่ายเงินทั้งหมดที่เอาไปดำเนินโครงการเสียหน่อย ไม่ได้ห้ามว่า เฮ้ย! อย่าไปช่วยชาวนากันอีกนะ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบความเสียหาย ทั้งๆ ที่ ป.ป.ช.เขาตรวจมาแล้ว และส่งเรื่องมาแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ตั้งกรรมการตรวจสอบอีกครั้งเพื่อความเป็นธรรม และให้โอกาส น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาชี้แจงถึง 2 ครั้ง แต่ไม่มา แล้วมาโอดครวญภายหลังว่า ไม่มีโอกาสชี้แจง จนต้องต่อเวลา 30 วันให้อีก 2 รอบ แล้วจะเอาอะไรอีก [สี่] หลังจากนี้ หากมีคำสั่งทางปกครองออกมา ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้ความเสียหายจากการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ในการกำกับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ก็ใช่ว่ายิ่งลักษณ์จะต้องทำตาม เธอมีสิทธิ์อุทธรณ์คำสั่ง และนำคำสั่งไปขอให้ศาลปกครองเพิกถอน หากศาลปกครองกลางไม่เพิกถอนหรือมีคำวินิจฉัยใดๆ ที่ยิ่งลักษณ์ไม่พอใจ หรือรู้สึกว่ายังไม่เป็นธรรม ก็ไปร้องต่อที่ศาลปกครองสูงสุด นี่ไม่ใช่ “กระบวนการยุติธรรม” หรือ “กระบวนการทางศาล” ตามที่ลดาวัลลิ์จีบปากจีบคอปั้น เรื่องขึ้นหรือ? ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ นางลดาวัลลิ์จะทำไปเพราะความเขลา ไร้สมอง ไม่รู้ หรือเพราะเป็นขี้ข้าเขา หรือด้วยเหตุใดก็เกินกว่าจะไปคาดเดาหรือทึกทักเอา แต่เรื่องนี้มีคนและคำอธิบายเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ควรที่ประชาชนอย่างเราๆ พึงเรียนรู้ ก่อนจะอยู่ในสภาพเดียวกับลดาวัลลิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันที่ 16 พ.ย. คือพรุ่งนี้นั้น พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาแล้วว่า จากการที่มีบางกลุ่มบางฝ่ายยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการในโครงการรับจำนำข้าวในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง จนอาจจะทำให้สังคมเข้าใจเรื่องดังกล่าวคลาดเคลื่อน คณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้นายวิษณุเครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะในประเด็นการดำเนินการทางปกครองเพื่อเรียกเก็บค่าเสียหายจากโครงการนี้ โดยอาศัย พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เพื่อต้องการอธิบายให้สังคมรับทราบว่า เหตุผลที่ดำเนินการด้วยกระบวนการดังกล่าว มีที่มาอย่างไร รัฐบาลได้ดำเนินการตามกรอบของกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นกฎหมายใหม่ที่รัฐบาลคิดขึ้นมา ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการทำให้สังคมเกิดความสบายใจ และความเข้าใจที่ถูกต้องว่ารัฐบาลปฏิบัติตามกฎหมาย ก็คอยฟังกันต่อไป ตามศักยภาพของสมองที่เรามีส่วน ใครไม่มี...ก็ช่างหัวมัน! http://www.naewna.com/politic/columnist/21502 ------------------------------------ เหอๆๆ…ประกาศ โฆษณากันไว้ ตั้งแต่สมัยหาเสียงเลือกตั้งนู่นแล้ว... จะทำตัวให้มีสมอง แล้วจะอยู่ได้เหร๋อ...
เอาผลงานเก่า ๆ นางลดาวัลย์มาปลากรอบครัช พลิกขุมธุรกิจ“เจ๊ต้อย-ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์”เจ้าของสื่อโฆษณา ขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพิ่งตั้ง หจก.ทำวิทยุ จ.พะเยา เคยรับงานยุค“แม้ว” ขาดทุนสะสม 20 ล้าน ก่อนนำม็อบบุกประท้วง“ชัย ราชวัตร” นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างน้อย 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ที วี อาร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ลดาวัลลิ์ เรดิโอ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า บริษัท ที วี อาร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 7 มีนาคม 2532 นางลดาวัลลิ์ เป็นผู้ก่อตั้งทุน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจรับผลิตรายการข่าว สารคดี เพลงทางโทรทัศน์ วิทยุ ถ่ายทำโฆษณา รายการประเภทต่างๆ ทุกชนิดทางโทรทัศน์และวิทยุด้วย ที่ตั้งเลขที่ 586 ถนนโชคชัย 4 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ มีนางลดาวัลลิ์ และ นางเพ็ญศรี ศรีเนียน ถือหุ้นใหญ่ ต่อมาเพิ่มทุนเป็น 10 ล้านบาท ผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 เมษายน 2555 จำนวน 6 คน ได้แก่ นายสุวิทย์ วงศ์ศรีวงศ์ สามีนางลดาวัลลิ์ จำนวน 84,497 หุ้น (84.49%) นายสุวรรณ วงศ์ศรีวงศ์ 13,501 หุ้น (13.50%) นายพิสุทธิ์ สมฤทธิ์ 999 หุ้น นายสุพล สมฤทธิ์ 999 หุ้น นายคณิศร์ งามกาละ และ นายพลวัฒน์ นัยโกวิท คนละ 2 หุ้น รวม 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท นายดุลยวิทย์ วงศ์ศรีวงศ์ นายพลวัฒน์ นัยโกวิท นายสุวิทย์ วงศ์ศรีวงศ์ เป็นกรรมการ ขณะที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ลดาวัลลิ์ เรดิโอ จดทะเบียนวันที่ 7 ธันวาคม 2555 ทุน 900,000 บาท ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ตัวแทน จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และแปรรูป ที่ตั้งเลขที่ 20 หมู่บ้านสันป่างิ้ว ตำบลบ้านต๋อม อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา มีผู้เป็นหุ้นส่วน 3 คน ได้แก่ นายดุลยวิทย์ วงศ์ศรีวงศ์ น.ส.วงจันทร์ มูลเชื้อ และนายศิริวัฒน์ จุปะมัดถา นายดุลยวิทย์ วงศ์ศรีวงศ์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า บริษัท ที วี อาร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ได้รับว่าจ้างจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ทำการโฆษณาธุรกิจหรือกิจกรรมต่าง ๆของธนาคารในรายการวิทยุ วงเงิน 1,444,500 บาท เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2546 จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท ที วี อาร์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด แจ้งผลประกอบการปี 2554 รายได้ เพียง 73 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,763,006 บาท สินทรัพย์ 574,585.85 บาท หนี้สิน 10,951,345 บาท ขาดทุนสะสม 20,376,759.64 บาท นางลดาวัลลิ์ เคยทำงานเป็นพนักงานพิสูจน์อักษร สำนักข่าวไทย อสมท. เป็นผู้ประกาศข่าวช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เป็น ส.ส.จังหวัดพะเยา ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ต่อมาเป็นผู้บริหารธุรกิจขายเครื่องสำอาง“ยู สตาร์” ปัจจุบันนอกจากเป็นประธานชมรมเสียงสตรีและยังทำธุรกิจขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดาวัลลิ์ ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 พ.ค.เวลา 13.00 น. สื่อหลายสำนักรายงานว่า นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ได้นำกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณกว่า 100 คน เดินทางไปวางพวงหรีดที่หน้าสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย กรณี “ชัย ราชวัตร” นักเขียนการ์ตูนการเมืองอาวุโส โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า “โปรดเข้าใจ กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว กะหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงคนชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงได้เรียกร้องให้ นสพ.ไทยรัฐ ตรวจสอบการทำงานของ “ชัย ราชวัตร” โดยทาง นสพ.ไทยรัฐ มอบหมายให้ นายประกิต หลิ่มสกุล ที่ปรึกษา กองบรรณาธิการ เข้ารับหนังสือเรียกร้องดังล่าว ล่าสุด วันที่ 3 พ.ค. 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯได้มอบหมายให้ตัวแทนเข้าแจ้งความที่ สน.ดุสิต เอาผิด “ชัย ราชวัตร” (นายสมชัย กตัญญุตานันท์) กล่าวหาหมิ่นประมาท ที่มา http://www.isranews.org/investigative/investigate-news-person/item/20972-2013-05-06-13-34-03.html
ทั้งนาย ทั้งขี้ข้า ออกมาเห่าหอนกันระงม "ยิ่งลักษณ์" ตั้งข้อสังเกต 5 ข้อ หลัง "วิษณุ" แจมปมฟ้องคดีจำนำข้าว วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 15:43:00 น. (ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra) (16 พ.ย.58) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กแฟนเพจ Yingluck Shinawatra แสดงความคิดเห็นภายหลังจากที่นายวิษณุ เครืองาม ได้ชี้แจงกรณีการดำเนินการให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีนี้โดยระบุว่า " ดิฉันได้ฟังคำแถลงของ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ใช้เวลานานร่วมชั่วโมงที่จะสร้างความชอบธรรมในการที่รัฐบาลนี้จะใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ดิฉันชำระค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวแทนวิธีการที่กระทรวงการคลังจะฟ้องคดีแพ่งต่อศาล ดิฉันคงไม่อยู่ในฐานะจะเรียกร้องอะไรหลังจากนี้แม้แต่คำว่า “ความเป็นธรรม” เพราะทุกอย่างคงจะดำเนินการไปตามที่รัฐบาลนี้ต้องการ ดิฉันอยากจะขอฝากข้อคิดให้กับพี่น้องประชาชนได้พิจารณาว่า การกระทำแบบนี้หรือที่ คสช. อ้างว่ายึดอำนาจแล้วจะสร้างความปรองดอง ความเป็นธรรม และ หลักนิติธรรมในประเทศนี้ได้ ดังนี้ 1. รัฐบาลเลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ดิฉันชำระค่าเสียหายทั้งที่คดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น เท่ากับว่ารัฐบาลใช้อำนาจตุลาการแทนศาล และยังเลือกใช้มาตรา 44 คุ้มครองรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่สอบสวนข้อเท็จจริงให้พ้นจากการถูกฟ้องร้องใดๆ จากดิฉันใช่หรือไม่ 2. ที่อ้างว่า พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 นั้นใช้มานานกว่า 19 ปี และกว่า 5,000 คดี ดิฉันเห็นว่าเวลาและจำนวนคดีไม่ใช่สาระสำคัญที่จะใช้เป็นข้ออ้าง เพราะเชื่อว่ายังไม่มีคดีไหนเหมือนดิฉันซึ่งเป็นคดีแรกที่นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชนถูกยึดอำนาจ ถูกดำเนินคดี จากนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาเพื่อช่วยเหลือประชาชน จะเป็นเรื่องของการที่ทำให้รัฐต้องเสียหาย และต้องรับผิดชอบทั้งที่คดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น 3. รัฐบาลต้องตอบกับพี่น้องประชาชนด้วยว่า การที่เลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ดิฉันชำระค่าเสียหายนั้น ประชาชนได้ประโยชน์อย่างไร และจะรับประกันได้หรือไม่ว่า คณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่อยู่ภายใต้การชี้นำ แต่สามารถใช้ดุลพินิจได้อย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมเช่นศาล แม้รัฐบาลพยายามที่จะพูดว่าขั้นตอนยังไม่เป็นที่สิ้นสุดและสามารถใช้วิธีการฟ้องคดีแพ่งต่อศาลได้ แต่กลับไม่มีคำตอบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ให้กระบวนการเรียกร้องค่าเสียหายเป็นไปตามขั้นตอนของศาลยุติธรรมเพื่อเป็นหลักประกันแห่งการอำนวยความยุติธรรมแทนการใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ดิฉันชำระค่าเสียหาย 4. อะไรที่เรียกว่าสร้างความเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรง ทั้งๆที่โครงการรับจำนำข้าวได้จ่ายเงินตรงถึงมือชาวนาผ่าน ธกส. ทุกบาททุกสตางค์ 5. การเพิ่มประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเป็น “พยานล่วงหน้า” ในคดีอาญา ถือเป็นข้อสังเกตที่เป็นนัยยะสำคัญว่าอาจนำผลการสอบสวนข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง ทั้งที่ยังไม่มีข้อยุติมาทำให้เป็นผลร้ายกับดิฉันในคดีอาญาหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่ดิฉันขอฝากไว้กับพี่น้องประชาชนเพื่อพิจารณา คงไม่คาดหวังความเป็นธรรมจากรัฐบาลนี้อีกแล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลตัดสินใจอย่างไร กรณีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่คงต้องจารึกในหัวใจของดิฉันและประชาชน และจะเป็นบรรทัดฐานที่นำไปใช้กับนายกรัฐมนตรีที่ดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนหลังจากนี้ต่อไป"
อิเม้ย! ตั้งเองเป็นเหรอ??? ถ้าตั้งเป็นข้อๆ น่าเชิญไปเป็นองค์ปาถกที่ไหนซักแห่ง นี้ไม่เคยเห็นเลย ขนาดเปิดปฐมนิเทศน์ รร.อนุบาล ยังไม่มีที่ไหนสักแห่งเชิญชีเลย