https://www.facebook.com/media/set/?set=a.396616833445.177944.257455723445&type=3 ขันธมาร อัพเดตเมื่อ มากกว่าหนึ่งปี · ถ่ายที่ วัดอ้อน้อย ธรรมะอิสระ การฝึกวิชาขันธมาร ของพระเณร ตอนบวช รุ่น 80 พรรษา ครับ เป็นภาพที่ไม่งามนัก แต่ สามารถนำมาพิจารณาได้นะครับ ว่า ขันธ์ ทั้ง 5 มีอะไรบ้าง และเป็นอย่างไร ผมพิจารณาได้ครับ ว่า ขันธ์ ทั้ง 5 มีอะไรบ้าง..... ก็มีแต่ขี้กับขี้ เป็นที่สังเวทไงครับ สาวกของหลวงปู่สุวิทย์ในนี้ ผู้ใดสนใจใคร่ฝึกสามารถฝึกได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ก่อนและหลังอาหารได้ ...... ยิ่ง ถ้าเป็นการใช้ขี้ของหลวงปู่สุวิทย์ อาบ ขี้ที่ผ่านการปลุกเสกและเบ่งอย่างไร้กิเลสของหลวงปู่สุวิทย์ด้วยแล้ว ยิ่งจะฝึกสำเร็จเร็วไว
ไม่เคยเข้าไปขุดขุ้ยดู แต่ตามไปดูจากลิ้งค์ ก้อไม่คิดว่า มีการฝึกอย่างนี้ น่าเป็นฝึกจิตอย่างหนึ่ง ฝึกทหารหน่วยเฉพาะการหนักกว่านี้มาก หากฝึกเพื่อให้บรรลุ เชื่อว่าไม่สามารถเข้าถึงได้อรหันต์ได้ แต่ฝึกให้จิตแข็งเพื่อสละกิเลสชั่วครู่เพื่อปล่อยวาง น่าทำได้ แต่มนุษย์บางตน ไม่สามารถรับรู้ได้หรอก ยากนะที่จะบอก ให้เขาเป็นตามที่เขาอยู่ ดีที่สุด
ขอสละสิทธิ์การรับรู้ ไม่อยากรับรู้ ไม่ต้องมาบอกกล่าววิธีอุบาทว์เเบบนี้ เอาเถอะ.... คิดว่ามันดี จิตแข็งก็พากันกินขี้ซะเลยสิ จะได้สละกิเลสตลอดไม่ใช่แค่ชั่วครู่ อยากปล่อยวางกัน ก็พากันกินขี้แทนข้าวเลยนะ ผมคนแรกจะเบ่งบริจาคให้
ใครอ้างว่าเป็นครับ ไหนครับ ไหนๆๆๆ แต่บางตัวเคยเล่าเรื่องแม่ชีปัดระเบิดครับ ไม่เชื่อถามโล้นทัมมี่นะจ๊ะ กับโล้นช่วงเบิ้ลแรงได้ครับ
จะของใครซะอีก ก็ของเถรอลัชชีสุวิทย์ อิสระจากพุทธ คงอาบมาก่อนจนแก่กล้าในอาจม แล้วจึงเปิดสอน รายละเอียดวิชาขันธมาร วัดอ้อน้อย http://www.onoi.org/index.php/2010-12-24-12-37-59/2010-12-24-12-46-06/650-2010-12-19-00-36-53 ภาพการฝึก วิปริต หรือ อวิชชา ? ใช่แนวทางพุทธหรือไม่ ? https://www.facebook.com/media/set/?set=a.396616833445.177944.257455723445 แล้วประเด็นคืออะไร เอาภาพพระแดง ภาพพระอื่นๆ มาแปะกลบเกลื่อนเป็นสุนัข แมว กลบอึ แบบนั้นก็ยิ่งซ้ำเติมเถรโล้นอลัชชีสุวิทย์ อิสระจากพุทธ สันดานเทวทัต เสียเปล่าๆ เพราะไม่ได้ช่วยแก้ต่างอะไรได้เลย โง่จัง
สมัยโบราณ พุทธกาล ผ้านุ่ง ผ้าห่ม พระ คือ ผ้าห่อศพ และ ทีสำคัญ พระองค์นั้น ต้องไป จัดทำปฏิสังขร เอง แค่ขี้ !!!!!! เด็กสมัย นี้ ยัง ไม่รู้ ความเงียบ ความสงัด ความวังเวง น่ากลัว ขนาดใหน แม้แต่เสียง ลมพัด ใบไม้ไหว ใจคนนี่ฝ่อ จนเป็นบ้า เพราะความกลัว ในป่าช้าเมื่ออยู่คนเดียว ได้แต่นั่งหลับตา ถ้าใจไม่นิ่ง ไม่ยึดคำสอน ของครูบาอาจารย์ วิ่งอย่างเดัยวครับ โลกเราเี๋ยวนี้คนเยอะครับ กินที่ทางไปหมด บางที่อยู่ในตัวเมือง เลยไม่ค่อยได้สัมผัส
ปิดเทรมนี้ก็ชวนลูกเมียและบุตรหลาน ไปฝึกจิต จะได้รับรู้สัมผัส ความเงียบ ความสงัด ความวังเวง น่ากลัว โดยการเอาขี้ราดหัวเลยนะ
ก็ไม่ได้แก้ต่างนี่ครับ แต่ย้ำว่าสันดานเทวทัตปัดระเบิดเนี่ย เขาชอบแบบไหนครับ โง่จัง อันนั้นผมว่าไปเตือนคุณนายเวรดีกว่านะ เวลามันแถไม่ได้มันชอบเอาภาพอื่นมาแปะบ่อยๆ ผมว่าแนวทางนี้ไม่ชอบก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนแทนนี่ครับ แนวทางส่องพระอาทิตย์ หรือบวชทันควันก็มีมาแล้ว ไม่เห็นเดือดร้อนกันเลย แค่ไม่ไปหลอกไถตังค์ชาวบ้านซื้อที่บนสวรรค์ก็พอครับ
วิถีพระ วิถีชาวบ้านต่างกัน อย่าเอาตัวเป็นบรรทัดฐานตัดสินพระ กรณีนี้พิจารณาได้แค่ว่าเป็น อัตตกิลมถานุโยค คือ การประกอบตนเองให้ลำบากเกินไป หรือไม่เท่านั้น อย่างพระถือธุดงค์ฉันอาหารรวมในบาตร นำอาหารคาวหวานรวมกันในบาตรแล้วฉัน ชาวบ้านเห็นก็ทำท่าผะอืดผะอม ตำหนิว่าอาหารอุตส่าห์ทำมาดี ๆ ทำไมพระเอามารวมกันเหมือนอาหารในถังขยะ เสียศรัทธาหมด
จริงเหรอ!!! โผ้มก้อกินอย่างน้าน ชอบตักแกงเผ็ดผัดผักแกงจืดน้ำพริกรวมๆกับข้าว ถ้วยเดียว บางครั้งคนๆให้เข้ากันด้วย อย่างนี้ พอตำติพระนอกรีตได้เปล่า เพราะกินเหมือนกัน ถามจริง! ยังมีพระที่กินอย่างนี้เหรอ???
อ๋อครับ สมัยปัจจุบัน ยังมีอยู่ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพระวัดป่า นิกายธรรมยุติ วิธีที่ญาติโยม ถวาย ภัตราหาร หลังจาก กลับมาจาก บิณฑบาติ ก็เป็นว่า ส่วนใหญ่จะมีโรงทานครับ ข้าวของ ที่บิณฑบาตร มา จะเอาไปรวมไว้ที่นั่น ญาติโยมก็จัด ใส่ถาด ให้เป็นระเบียบ เพื่อถวายอีกที่ จุดที่คุณสงสัย ก็อยู่ตรงนี้หละครับ เวลาโยม เอาไปประเคน ก่อน ที่จะให้พร พระต้องฉันฑ์ ในบาตร เท่านั้น ตามที่คุณ GuoJia กล่าว ของหวานของคาว พระ ต้องจัดเรียงดี ๆเวลา หยิบจับ มันไม่น่าอภิรมณ์ หรอกครับ เวลาแกงปลา เจอกับ น้ำลอดช่อง ดังนั้นจึงว่าเป็นการ ทรมาน เกินไป ญาติโยมส่วนใหญ่ ก็เข้าใจ แต่แบบนี้ก็ดีครับ
แบบใส่ปนมาในบาตร ส่วนมากใส่เป็นถุงๆ แล้วมาแยกใส่จานใส่ถ้วย พอเข้าใจ แต่หมายถึงนะ คือแบบตักทุกอย่างรวมๆ ถ้วยเดียวเลย ใข่เจียวแกงผัดต้ม๐๐๐๐ แต่ไม่ชอบของหวาน บางครั้งมีขนมจึนก้อใส่รวมเลย คือถ้วยเดียวจิงๆ + น้ำแก้วนึง ที่บ้านยังบอกว่า กินเข้าไปได้อย่างไร ถ้าแยกกินคนเดียวกินแบบนี้ทุกที
ครับ ในบาตร ถ้าพูดจริงๆแล้ว เหมือนอ้วกครับ ตามวิธีพระ ถ้าพูดจริงๆ เรืองอาหาร จะใช้คำว่า หล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่ใช้คำว่า บำรุง ส่วนเรื่องรสชาติ เพิ่งมีมา สมัยไม่นาน ที่มีการ ถวายกับข้าว ถ้าเป็นสมัยโบราณ จะมีเป็นเมล็ดข้าวสุก แค่นั้น
ครับ อยากให้เป็นแบบ ใส่รวมแบบโบราณ ไม่มีใส่แบบถุงๆ ถึงชนบท ใส่แต่ข้าวสวย (บางบ้านใส่ถุง) แต่ปลาทอดแกงต่างๆ ผัด ขนม ใส่ถุงหมด ตอนเพล ก้อแยกถ้วยแยกจาน ไม่มีแบบ ตักมารวมๆ จานละองค์ ไม่น่ามีแบบนี้นะ ที่กินนี้ ใส่รวมจิงรัยจิง เริ่มจากกินแบบข้าวแกง ใส่ข้างถ้วย ชอบใช้ถ้วย มันเลยไหลรวมๆกัน กินเรื่อยๆ ก้อเลยเป็นทุกอย่างรวมกัน ขนมจีนปนข้าวใส่แกงไตปลา+แกงจืดหมูสับ+ปลาดุกผัดเผ็ด ประมาณนั้น ชิตังเม โป้ก รวย.
แย่จัง นึกว่าจะมีคำตอบที่ดีกว่านี้ซะอีก เห็นว่าคนอื่นโง่ สุดท้ายhot boyก็แค่คนที่ขี้อิจฉารังแกแม้กระทั้งคนแก่
ทวัตติงสาการปาฐะ (อาการ 32) อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ปุโรนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้ เกสา คือผมทั้งหลาย โลมา คือขนทั้งหลาย นะขา คือเล็บทั้งหลาย ทันตา คือฟันทั้งหลาย ตะโจ หนัง มังสัง เนื้อ นะหารู เอ็นทั้งหลาย อัฏฐิ กระดูกทั้งหลาย อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ไต หะทะยัง หัวใจ ยะกะนัง ตับ กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง ม้าม ปัปผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่ อันตะคุณัง สายรัดไส้ อุทะริยัง อาหารใหม่ กะรีสัง อาหารเก่า ปิตตัง น้ำดี เสมหัง น้ำเสลด ปุพโพ น้ำเหลือง โลหิตัง น้ำเลือด เสโท น้ำเหงื่อ เมโท น้ำมันข้น อัสสุ น้ำตา วะสา น้ำมันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงฆานิกา น้ำมูก ละสิกา น้ำมันไขข้อ มุตตัง น้ำมูตร มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในสมอง เอวะ มะยัง เม กาโย กายของเรานี้อย่างนี้ อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ปุโรนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆอย่างนี้แลฯ ท่านสอนให้พิจารณาอาการ ๓๒ ซึ่ง กรีสัง ก็คือ ขี้, มุตตัง ก็คือ เยี่ยว ที่นี้จะพิจารณาอย่างไร ก็แล้วแต่ความเข้มข้นของแต่ละท่าน พระบางท่านผ่าศพดูอาการ ๓๒ เห็นจริงเห็นจังกว่าท่องสวด พอเป็นข่าวขึ้นมาก็หาว่าเป็นสำนักเถื่อน สำนักวิปลาส อย่างข่าวพระเอาอุจจาระปัสสาวะขี้เยี่ยวราดตัว ไม่ดูกันที่ผลว่าพระท่านพิจารณาอะไร เกิดประโยชน์อะไร เห็นจริงเห็นจังขนาดไหน ผมถึงได้บอกว่า วิถีพระ วิถีชาวบ้านอย่ามาตัดสิน
ตราบใดที่เค้าไม่ได้โกงใคร ไม่ได้หลอกเอาเงินใคร ไม่ได้ขายสวรรค์ ก็ถือเป็นเรื่องของเขา ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปเข้าร่วม ก็แค่นั้น